IoT – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 27 Jun 2023 03:33:09 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถอด 5 กลยุทธ์ ‘AIS Business’ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Cognitive Telco’ สู่การเป็น Growth Engine ใหม่ขององค์กร https://positioningmag.com/1382999 Wed, 27 Apr 2022 08:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1382999

เป็นเวลา 31 ปีแล้วที่ ‘เอไอเอส’ (AIS) อยู่คู่กับองค์กรธุรกิจไทย จากที่ช่วงแรกให้บริการเฉพาะด้านโมบายมาสู่ดิจิทัลเซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์, GPS Tracing, โซลูชั่น IoT, 5G จนมาสู่ยุคของ AI, Machine Learning และ Metaverse ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี Positioningmag จะพาไปเจาะลึกกลยุทธ์ในฝั่งของ เอไอเอส บิสซิเนส (AIS Business) ที่ต้องปรับตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง รวมถึงวิสัยทัศน์ใหม่ ‘Cognitive Telco’


จากปั้น Infra สู่ Vertical Solutions

ในแต่ละปีเอไอเอสใช้เงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานปีละกว่า 30,000-35,000 ล้านบาท จนปัจจุบัน เอไอเอสมีสถานีฐาน AIS 5G กว่า 19,000 สถานีฐานครอบคลุม 76% ของประชากรทั่วประเทศ และในพื้นกรุงเทพฯ ปริมณฑล สามารถครอบคลุมถึง 99% ส่วนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ครอบคลุมถึง 90%

สำหรับปีนี้ เอไอเอสตั้งเป้าจะขยายสัญญาณ 5G ให้ครอบคลุมประชาชนคนไทยให้ได้ 85% และเมื่อสัญญาณ 5G เริ่มครอบคลุมการใช้งานแล้ว AIS Business จะเริ่มเน้นที่ 5G Vertical Solutions หรือการพัฒนา 5G ในแนวดิ่ง เป็นการใช้ 5G เจาะลงลึกเฉพาะอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในการทำ Digitization อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยี AR, VR, Data Solutions เป็นต้น


5 กลยุทธ์รับวิสัยทัศน์ Cognitive Telco

ในส่วนกลยุทธ์ของ AIS Business ปีนี้จะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Cognitive Telco หรือการขยับขึ้นไปเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ โดยจะประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1.เชื่อมต่อ 5G Ecosystem ในการเชื่อมต่อโครงข่าย AIS 5G ที่เปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ ให้สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้งานได้อย่างเหมาะสม ภายใต้การดึงศักยภาพของเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้เกิดอีโคซิสเต็มที่สมบูรณ์

2.ยกระดับการทำงานของโครงข่ายด้วย Intelligent Network จากปริมาณความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบนด์วิดท์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตต่างประเทศในช่วงปีที่ผ่านมา ที่มีปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 50% ด้วยการเป็นผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อที่ครบวงจรทั้งเครือข่ายใยแก้วนำแสง และเครือข่ายไร้สายสำหรับลูกค้าองค์กร

3.มุ่งเสริมความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์ม ด้วยการขยายผลในฐานะผู้ให้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มด้าน CCII ที่ครอบคลุม เทคโนโลยีที่ครบครัน ทั้งโซลูชันคลาวด์ (Cloud) บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) บริการ IoT (Internet of Things) และบริการด้านไอซีทีโซลูชัน (ICT Solution)

4.เสริมอาวุธด้านการตลาด และเพิ่มโอกาสการเติบโตด้วย Business Big Data การนำประสบการณ์ด้านงานดูแลลูกค้าทั่วไป เพื่อสร้างโอกาสทางการแข่งขัน รวมถึงอาวุธใหม่ๆ สำหรับการสื่อสารทางการตลาดที่จะสร้างยอดขายและการเติบโตได้มากยิ่งขึ้น

5.ส่งมอบบริการด้วยทีมงานมืออาชีพ จากการที่มีซีเอส ล็อกซอินโฟ หรือ CSL เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ทำให้วันนี้ เอไอเอส บิสสิเนส เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในตลาดที่มีความพร้อมสูงสุด มีบุคลากรในสายงาน ICT ที่เชี่ยวชาญและรอบด้าน ทำให้การส่งมอบบริการเพื่อตอบโจทย์องค์กรธุรกิจมีความต่อเนื่อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ประเมิน ติดตั้ง บริหารโครงการ และบริการหลังการขายอย่างมืออาชีพ

“นอกจากขยายการลงทุนเรื่อง 5G และหาพาร์ทเนอร์เพิ่มเติมแล้ว จะเห็นว่าเราเน้นเรื่องดาต้า เอไอ เรื่องอินเทลลิเจนท์เน็ตเวิร์ก ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้พัฒนาไปตลอดเวลา ที่สำคัญคือคนไอที โดยเราตั้งเป้าเพิ่มอีก 3 เท่าเพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับความต้องการลูกค้า” ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าว


โอกาสมีสูง ความท้าทายยิ่งสูงตาม

การระบาดของ COVID-19 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้องค์กรเริ่มเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ดังนั้น จะเห็นว่าทุกอุตสาหกรรมตื่นตัวมาใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่ม Healthcare, Retail, Transportation และ Manufacturing ด้วยความต้องการที่มีมาก สิ่งที่ตามมาคือ การแข่งขันโดนเฉพาะเรื่องของ ราคา

อย่างไรก็ตาม เอไอเอสมองว่าการแข่งขันในด้านราคานั้น ไม่ยั่งยืน ดังนั้น วิสัยทัศน์ของเอไอเอสคือต้องการเป็น Part of Success โดยจะเน้นสร้างโซลูชันใหม่ ๆ ออกมาเพื่อรองรับความต้องการลูกค้า โดยปีนี้เอไอเอสมั่นใจว่าจะมียูสเคสใหม่ ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นตลาด

“ลูกค้าต้องการโฟกัสที่ธุรกิจหลัก ไม่ได้อยากเก่งเรื่องเทคโนโลยี เขาต้องการพาร์ทเนอร์ที่ให้คำปรึกษาเรื่องเทคโนโลยีได้ ซึ่งความท้าทายตอนนี้คือ ลูกค้ามีความคาดหวังมากขึ้น ต้องการโซลูชั่นที่ยากมากขึ้น แน่นอนว่าสงครามราคามันมี แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของการแข่งขัน สุดท้ายมันคือเรื่องของเซอร์วิส”


ตั้งเป้าโต 2 หลัก ขึ้นแท่น Growth Engine ของ AIS

AIS Business มีลูกค้าในกลุ่มองค์กรใหญ่กว่า 60% และ SME กว่า 40% โดยปีที่ผ่านมา AIS Business เติบโตได้ 16% ทำรายได้ 5,291 ล้านบาท สูงกว่าตลาดที่เติบโต 10% และเมื่อรวมกับรายได้จากองค์กรธุรกิจในฝั่งโมบายแล้วจะคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 10-12% โดยในปีนี้ คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในอัตรา 2 หลัก

“แม้การเป็น Growth Engine มาพร้อมความคาดหวังที่สูง แต่การเติบโตในปีที่ผ่านมาถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าเรามาถูกทางแล้ว และเรามีโอกาสที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด แม้ AIS Business จะมีหลายบทบาทแล้วแต่มุมมองของลูกค้า แต่เรามองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เขาเติบโตได้ เปรียบเสมือนอะไหล่รถที่ให้เขาวิ่งได้”

 

]]>
1382999
“โลตัส” ผนึก “กลุ่มทรู” เปิด Smart LivingTECH เติมเต็มไอเดียแต่งบ้านให้เป็น “สมาร์ทโฮม” https://positioningmag.com/1363867 Fri, 26 Nov 2021 04:00:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363867

เมื่อ “โลตัส” ผู้นำแห่งวงการค้าปลีก และ “กลุ่มทรู” ผู้นำการให้บริการสื่อสารและดิจิทัลครบวงจรในประเทศไทย มาเจอกัน ต้องมีนวัตกรรมล้ำๆ ให้คนไทยได้สัมผัสอย่างแน่นอน การจับมือกันล่าสุด ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า ผ่าน Lotus’s Smart LivingTECH powered by True แห่งแรกในไทยที่โลตัส สุขุมวิท 50

Lotus’s Smart LivingTECH powered by True เป็นเหมือนโชว์รูมที่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่างๆ ที่จะพลิกโฉมที่อยู่อาศัยสู่บ้านอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัลของทุกคนในบ้านทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค อุปกรณ์ IoT ครบวงจร และนวัตกรรมโซลูชันบ้านอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติและควบคุมผ่านแอปพลิเคชันเดียว LivingTECH คอยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ยังจำลองการอยู่อาศัยแบบอัจฉริยะด้วยอุปกรณ์ IoT ครบวงจรที่แรกในประเทศไทย โดยนำร่องที่โลตัส สุขุมวิท 50 ให้ลูกค้าสามารถทดลองและสัมผัสประสบการณ์สุดสมาร์ทได้ด้วยตัวเอง

เจมส์ พาโดแวน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการพาณิชย์ – สินค้าอุปโภค โลตัส กล่าวว่า

“โลตัส มุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกค้าของเรา รู้สึกดีดีทุกวัน ที่โลตัส ผ่านการส่งมอบสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง และประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีเยี่ยมทุกที่ ทุกเวลา การร่วมมือกับกลุ่มทรู ในการเปิด Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ภายในสาขาของเรา จะช่วยยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของโลตัส ให้ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะลูกค้าในยุคปัจจุบันต้องการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ

บ้านและที่อยู่อาศัยจึงจำเป็นที่จะต้องสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ นวัตกรรม IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกเชื่อมต่ออย่างอัจฉริยะ จะช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านได้ผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ

โซน Smart Living Tech ยังมีจุดเด่นอยู่ที่การจำลองการอยู่อาศัยแบบอัจฉริยะ ให้ลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากทรูให้คำแนะนำ โดยเราเปิดตัวสาขานำร่องแห่งแรกที่โลตัส สุขุมวิท 50 และมีแผนการที่จะขยายไปสู่สาขาอื่น เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในโลตัสให้มีความสนุกและสมาร์ทยิ่งกว่าเดิม”

ทางด้าน เอกราช ปัญจวีณิน  กรรมการผู้จัดการ  ธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด  กล่าวว่า

“ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลโซลูชันล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจ และการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล โดยนำศักยภาพเทคโนโลยีสื่อสาร และระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรของกลุ่มทรู สร้างสรรค์และยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของคนไทยอย่างต่อเนื่อง นำร่องเปิด Smart LivingTECH powered by True โดยร่วมมือกับโลตัส จัดทัพอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮมสุดล้ำที่สามารถติดตั้งเองได้ง่ายๆ ครอบคลุมทุกการใช้งาน ทุกโซนในบ้าน สำหรับทุกคนในครอบครัวไว้ในที่เดียว”

โซนนี้ชูจุดเด่นนวัตกรรมโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่เชื่อมโยงการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ภายในบ้านเข้าด้วยกัน ควบคุมทุกอุปกรณ์ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน LivingTECH แอปเดียวครบจบ ทั้งสั่งงาน ตั้งค่า และปรับแต่งบรรยากาศภายในบ้าน สร้างประสบการณ์ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

อำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง โซลูชั่นนี้จะช่วยเสริมให้คนไทยเข้าถึงอุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่หลากหลายได้ง่ายขึ้น เพิ่มการใช้งานที่แพร่หลาย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้เติมเต็มชีวิตในยุคดิจิทัลให้สมบูรณ์แบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ภายในโซน Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ได้จำลองบรรยากาศการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทภายในบ้านอัจฉริยะที่มีทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค และหลากหลายอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮม จัดแบ่งพื้นที่เป็นโซนต่างๆ ให้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตดิจิทัลได้ตั้งแต่ก่อนเข้าบ้านจนถึงการพักอาศัยในห้องต่างๆ ภายในบ้าน อาทิ

  • พื้นที่บริเวณหน้าบ้าน – ยกระดับความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์ประตูล็อคอัจฉริยะ (Smart Door Lock), กล้องวงจรปิดอัจฉริยะภายนอกบ้าน (Smart Outdoor Camera) และอุปกรณ์เซ็นเซอร์สำหรับประตูและหน้าต่าง (Door& window Sensor) ที่สามารถแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันเมื่อพบการเคลื่อนไหว

  • ห้องนั่งเล่น – เปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้สมาร์ทขึ้นได้ทันที ด้วยรีโมทคอนโทรลอัจฉริยะ (IR Remote Control) และ ปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug) พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ (Smart Robot Cleaner)

  • ห้องครัว – อีกขั้นของความปลอดภัยในห้องครัวยุคดิจิทัล ที่มีทั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับควัน (Smoke Sensor) และ เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับน้ำรั่วซึม (Water Leak Sensor)

  • ห้องนอน/ห้องนอนเด็ก – เพิ่มความสุขและสุขอนามัยในห้องนอน ด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นตลอด 24 ชั่วโมง และตัวช่วยในการดูแลลูกน้อยผ่านกล้องวงจรปิดอัจฉริยะสำหรับเด็ก (Smart Baby Camera)

  • ห้องนอนผู้สูงอายุ – แม้ไม่อยู่บ้านก็ดูแลผู้สูงอายุให้ปลอดภัยได้ทุกย่างก้าว ด้วยอุปกรณ์เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Sensor) และ ปุ่มกดฉุกเฉินอัจฉริยะ (Emergency Button) ขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮมอีกมากมายให้ลูกค้าได้สัมผัสและเลือกชมตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ เติมเต็มไอเดียการตกแต่ง และเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็น “บ้านอัจฉริยะ” ได้จริงแล้ววันนี้

พบกับ Lotus’s Smart LivingTECH powered by True  พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษได้ที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า โลตัส สุขุมวิท 50

]]>
1363867
‘เอไอเอส’ เผยสถิติธุรกิจไทยปรับตัวเร็วขึ้น ’40 เท่า’ เพราะได้ ‘โควิด’ เป็นตัวเร่ง https://positioningmag.com/1333190 Thu, 20 May 2021 10:03:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333190 หากพูดถึงเรื่องการทรานส์ฟอร์มองค์กรไปสู่ดิจิทัล แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีการพูดกันมานานหลายปี อย่างไรก็ตาม บางองค์กรอาจจะยังชะล่าใจ หรือยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหนทำให้การปรับองค์กรไปสู่ดิจิทัลจึงยังไม่ได้เริ่ม จนกระทั่งการมาของ COVID-19 ที่เป็นการบังคับให้ต้องปรับตัว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ทำให้องค์กรไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะทรานส์ฟอร์มได้อีกต่อไป

มีแค่ 5% ที่ไม่คิดปรับตัว

ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร AIS Business กล่าวว่า COVID-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งให้ทุกองค์กรปรับตัวเร็วขึ้น โดยพบว่าไม่ว่าองค์กรขนาดเล็กหรือใหญ่มีการปรับตัวมากถึง 18-40 เท่า จากการทำงานแบบเดิม ขณะที่บริษัทระดับ Top 10 ของไทยสามารถใช้ดิจิทัลสร้างการเจริญเติบโตของรายได้มากถึง 5 เท่า และทำกำไรได้กว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่มีแผนที่จะทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของประเทศไทยในการทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัลนั้นพบว่ามี Digital Leader เพียง 3% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 5% ส่วนDigital Adopters (ที่เริ่มเปิดรับดิจิทัล) มี 22% ขณะที่ทั่วโลกเฉลี่ย 23% แม้จะน้อยกว่าแต่หากดูภาพรวมแล้ว บริษัทในประเทศไทยที่ ไม่มีแผนการนำดิจิทัลมาทรานส์ฟอร์มองค์กร มีเพียง 5% เท่านั้น เมื่อเทียบกับทั่วโลกที่มีสัดส่วนถึง 9%

Go Online สิ่งแรกที่ SME ทำ

จากการสำรวจพบว่า องค์กรส่วนใหญ่ที่นำดิจิทัลเข้ามาใช้ 38.6% เป็นการสร้างช่องทางการขายออนไลน์ 79.3% เปิดรับชำระเงินทางออนไลน์ และในช่วงสถานการณ์ล็อกดาวน์เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 องค์กรต่าง ๆ ได้สร้าง Online Channel มากขึ้นเป็นอันดับ 1 ถึง 57.1% ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME มีการปรับตัวชัดเจนขึ้น 4 ด้าน คือ เพิ่มการส่งเสริมการขายในตลาดออนไลน์, เพิ่มนวัตกรรมในองค์กร, เพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ เพื่อปรับโครงสร้างต้นทุน

COVID-19 ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกไปแล้ว ทำให้โลกออนไลน์และดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต องค์กรธุรกิจก็ต้องทรานส์ฟอร์มไปสู่ดิจิทัล เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนมากขึ้น รวมถึงสร้าง New Business Model เพื่อตอบสนอง Lifestyle ใหม่เพื่อที่จะอยู่รอดท่ามกลางการระบาด

4 รู้ ก่อนนำเทคโนโลยีมาใช้

แนวทางที่ของแนะคือหลัก 4 รู้ ได้แก่ รู้ตนเอง, รู้ลูกค้า, รู้เทคโนโลยี, รู้ partner ต้องประกอบไปด้วย 4 อย่างนี้เข้าด้วยกัน จึงจะนำไปสู่กระบวนการในการหาทางออกด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ได้

รู้ตนเอง คือ รู้เป้าหมายที่จะไป หรือรู้ว่าปัญหาที่ประสบอยู่คืออะไร รวมถึงรู้ความสามารถขององค์กรและบุคลากรว่าจะนำเทคโนโลยีมาใช้ได้เพียงได้

รู้ลูกค้า คือ รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร หรือประสบปัญหาอะไร เราจะไป capture value เหล่านั้นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้อย่างไร

รู้เทคโนโลยี คือ รู้ว่าเทคโนโลยีจะไปตอบโจทย์จากการรู้ตนเองและรู้ลูกค้าได้อย่างไร เลือกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น

รู้ partner คือ รู้ว่า partner รายใดที่น่าจะช่วยนำ technology กับ business expertise มาประกอบกันให้สามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่ง partner นั้นต้องไว้ใจได้ เพราะมีประสบการณ์, มีความสามารถ, และมี partners อีกมากมายที่จะร่วมกันทำให้เกิดความสำเร็จ

นพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร  AIS Business

ทั้งนี้ 10 เทคโนโลยีที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญและพร้อมนำไปใช้ในทุกกระบวนการ ได้แก่ 5G, IoT, Cloud&EDGE Computing, Extended Reality, AI/Machine Learning, Robotics, Big Data & Analytics, Cyber Security, Robotic Process Automation และ Blockchain ซึ่ง AIS Business มีความพร้อมอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับทุกองค์กร เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าฝ่าวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ไปด้วยกันให้ได้ และก้าวสู่โลกของการทำ Digital Business ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

]]>
1333190
มองตลาด ‘ปั๊มลม’ เมืองไทยกับก้าวใหม่ของ ‘เดลต้า’ ปั๊มลมยุคดิจิทัล เทคโนโลยี DSV ออนไลน์ทุกที่ทุกเวลา https://positioningmag.com/1318261 Wed, 10 Feb 2021 07:00:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318261

ตลาด ‘ปั้มลม’ เมืองไทย เเข่งดุเเละโตต่อเนื่อง ‘DELTA เดลต้า’ เเบรนด์ดังจากอิตาลี งัดทีเด็ดสร้างความเเตกต่าง พัฒนาระบบ ‘DSV’ ปั๊มลมสุดล้ำรับยุคดิจิทัล ตรวจสอบการทำงานเเบบเรียลไทม์ ผ่านออนไลน์ทุกที่ทุกเวลา เก็บข้อมูลไว้บน ‘คลาวด์’ วิเคราะห์ได้ พร้อมเผยกลยุทธ์หาลูกค้าในตลาด Niche Market

‘ปั๊มลม’ เป็นสินค้าจำเป็นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เพราะเป็น 1 ใน 3 พลังงานในโรงงานที่เครื่องจักรต้องใช้ ทั้ง ‘ไฟฟ้า-น้ำ-ลม’ ถ้าหากอย่างใดอย่างหนึ่งหยุดทำงานไป ก็จะทำให้กระบวนการผลิตได้รับผลกระทบได้ ดังนั้นการเลือกใช้ปั๊มลมที่มีคุณภาพ เหมาะกับการใช้งาน ช่วยลดต้นทุนเเละมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงเป็นการ ‘ลงทุน’ ที่คุ้มค่า

ตลาดปั๊มลมในเมืองไทย มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยอิงกับการเติบโตภาค ‘อุตสาหกรรม’ ปัจจุบันมีผู้ใช้เเบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้เเก่ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่มองว่าปั๊มลมเป็นทรัพยากรสำคัญ ราว 70% ส่วนอีกกลุ่มเป็นรายย่อยที่ใช้พลังงานลมทั่วไปราว 30% 

พัชร์พล พชรวรณวิชญ์  กรรมการบริหาร บริษัท เดลต้า คอมเพรสเซอร์ (เอเซีย) จำกัด เล่าให้ฟังว่า ย้อนกลับไปราว 5 ปีที่ผ่านมา มีจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการปั๊มลม เมื่อเทรนด์ ‘พลังงานสะอาด’ เข้ามา เเม้ตลาดในประเทศไทยยังไม่ได้เห็นภาพเปลี่ยนไปเร็วมากนัก เเต่ก็เห็นว่าลูกค้าที่มีการใช้ปั๊มลมอยู่เเล้ว มีการ ‘อัพเกรด’ หรือเปลี่ยนรุ่นใหม่ เพื่อให้ประหยัดพลังงานเเละเป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมมากขึ้น

สำหรับเเบรนด์ ‘เดลต้า’ (DELTA) ผู้นำด้านเทคโนโลยีปั๊มลมและแก๊สชนิดต่างๆ สำหรับใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท จากประเทศอิตาลีที่มีอายุยาวนานนับร้อยปี เริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยตั้งเเต่เมื่อ 30 ปีก่อน

โดยมีกลุ่มลูกค้ากระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ทั้งโรงงานขนาดใหญ่เเละกลาง ซึ่งหลักจะอยู่ที่
‘ภาคตะวันออก’ เนื่องจากมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพเเละปริมณฑล รวมไปถึงตามปั๊มน้ำมันด้วย 

ในปัจจุบันบริษัทมีการพัฒนาธุรกิจให้เป็นมากกว่า ‘ปั๊มลม’ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทเเม่ที่อิตาลีจะขยายไปสู่งาน ‘สั่งทำ เเบบพิเศษโดยเฉพาะ ทำปั๊มลมกันระเบิด ปั๊มลมที่ใช้ในเเท่นขุดเจาะน้ำมัน เเละเข้าถึงธุรกิจก๊าซธรรมชาติเเละใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากขึ้น

-พัชร์พล พชรวรณวิชญ์  กรรมการบริหาร บริษัท เดลต้า คอมเพรสเซอร์ (เอเซีย)

@เเบรนด์ตะวันตก ชิงตลาดปั๊มลมไทย 

เมื่อมองการเเข่งขันของธุรกิจปั๊มลมในไทย พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นการต่อสู้กันของ ‘เเบรนด์ตะวันตก’ ทั้งอิตาลี เยอรมัน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ตามมาด้วยญี่ปุ่นเเละออสเตรเลีย

โดยลูกค้าคนไทย มักจะเลือกซื้อปั๊มลมจากเเบรนด์ยุโรป เพราะมีชื่อเสียงในวงการนี้มานาน เเต่อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของลูกค้าก็เเตกต่างกันไป เช่น กลุ่มลูกค้าที่ตั้งธงว่าจะใช้เพียงเเบรนด์ใดเเบรนด์หนึ่ง หรือโรงงานของชาวญี่ปุ่นก็จะเลือกใช้สินค้าของเเบรนด์ญี่ปุ่น เเต่ทุกวันนี้ลูกค้าก็มีการเปิดใจรับในเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น

@เหตุผลในการเลือกซื้อ ‘ปั๊มลม’ คืออะไร ?

ธวัชชัย อัฐปัน กรรมการบริหาร บริษัท เดลต้า คอมเพรสเซอร์ (เอเซีย) จำกัด บอกว่า เรื่องเเรกที่ลูกค้าให้ความสำคัญในการเลือกซื้อ ‘ปั๊มลม’ มากที่สุดคือ ‘คุณภาพ’ เเม้จะฟังดูวัดผลยาก เเต่ลูกค้าทุกคนต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง

รองลงมาคือเรื่อง ‘การบริการหลังการขาย’ ต้องมีอะไหล่ที่หาง่าย ทีมช่างที่มีทักษะเเละ Know – How ขององค์กร จากนั้นจึงมาดูที่เรื่อง ‘ราคา’ ที่มีทั้งราคาถูกเเละเเพงเเตกต่างกันไป ตามขนาดเเละการใช้งาน

อีกเรื่องที่สำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไป หรืออาจจะเพิ่งเริ่มลงทุน มีงบน้อยอยากผลิตให้ได้ก่อน จึงไม่ได้คำนึงถึงการลดต้นทุนมาก คือ ‘ประสิทธิภาพทางไฟฟ้า’ ซึ่งหากเลือกลงทุนซื้อใช้ปั๊มลมที่มาช่วยในส่วนนี้ ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก

‘ปั๊มลมเดลต้า มีราคาในเรทกลางๆ เรทราคาคอนข้างกว้างเพราะมีหลายสเปก ตามขนาดการใช้งาน ตั้งเเต่หลักเเสน-หลายล้านบาท’ 

-ธวัชชัย อัฐปัน กรรมการบริหาร บริษัท เดลต้า คอมเพรสเซอร์ (เอเซีย) จำกัด

สำหรับบริการหลังการขายของปั๊มลมเดลต้า จะมีเจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่ผ่านการอบรมทักษะตามมาตรฐานสากล มีการจัดเทรนนิ่งระดับลึก เพื่อดูเเลลูกค้าทั่วประเทศ ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 10 ทีม นอกจากนี้ ยังมีทีมเซอร์วิสที่เป็นเครือข่ายพันธมิตรกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค

มีฐานข้อมูลเเละระบบเชื่อมโยงให้เครือข่ายมีมาตรฐานเดียวกัน ทำให้สามารถดูเเลลูกค้าได้รวดเร็ว ยกตัวอย่าง ลูกค้ารายใหญ่อย่าง ‘ปตท.’ ที่มีปั๊มน้ำมันอยู่ทั่วประเทศ โดยไทยถือว่าเป็น Service Center ของเดลต้าในภูมิภาคอาเซียน จากทั้งหมดที่มีศูนย์กระจายอยู่ทั่วโลกเเละมีตลาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย

@รู้จักเทคโนโลยี DSV ปั๊มลมยุคดิจิทัล 

เมื่อมีการเเข่งขันสูง การพัฒนาสินค้าให้ ‘เเตกต่าง’ เเละ ‘ก้าวล้ำ’ จึงเป็นทิศทางของธุรกิจนี้ พัชร์พล อธิบายถึงจุดเด่นของ ‘ปั๊มลมเดลต้า’ ว่าเป็นเครื่องจักรที่มีคุณภาพสูงและทนทานเป็นพิเศษ ถูกออกแบบให้สามารถผลิตลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานมากกว่าปั๊มลมทั่วไป ช่วยลดต้นทุนการผลิต ควบคุมการทำงานได้ทั้งระบบขับหลักและระบบระบายความร้อน

โดยความโดดเด่นที่เป็นจุดขายล่าสุดที่ทำให้ปั๊มลมเดลต้า เเตกต่างจากยี่ห้ออื่นในตลาด คือ การเป็น Smart Air Compressor ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี IoT ของตังเองขึ้นมาที่มีชื่อว่าเทคโนโลยี DSV หรือ Delta Smart Visions 

มีระบบสังเกตการณ์ผ่าน Internet 100% โดยเดลต้าเป็นแบรนด์แรกของประเทศไทยที่สามารถดูการทำงานของปั๊มลมได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านเบราว์เซอร์ของคอมพิวเตอร์ หรือ สมาร์ทโฟน” เริ่มติดตั้งให้กับปั๊มลมเดลต้า ‘ทุกเครื่อง-ทุกรุ่น-ทั่วโลก’ มาตั้งเเต่ช่วงปลายปี 2020 ซึ่งลูกค้าที่ใช้รุ่นเก่าอยู่มีการอัพเดทให้ทันที

โดยมีการทำงานที่น่าสนใจมาก คือ เมื่อปั๊มลมมีอาการผิดปกติหรือส่งสัญญาณแจ้งเตือน ระบบ DSV จะสามารถวิเคราะห์ถึงอาการที่ผิดปกติของปั๊มลมให้ผู้ที่ใช้งานทราบผ่านเเอปพลิเคชั่น Line ได้เเบบเรียลไทม์

“มีกราฟวิเคราะห์ อุณหภูมิ การทำงานของเครื่อง ระบุถึงความดันต่างๆ ระยะเวลาทำงานอีกทั้งยังบอกได้ว่าอุปกรณ์ชิ้นไหนต้องถึงเวลาซ่อมบำรุง จึงทำให้พนักงานจะทำงานได้เเม่นยำเเละสะดวกขึ้นมาก” 

นอกจากนี้ ระบบ DSV ยังมีการเก็บข้อมูลการใช้งานไว้ทั้งหมดไว้บน ‘คลาวด์’ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์การทำงานของเครื่องจักรได้ตลอดการผลิต ตั้งแต่เปิดใช้งานวันแรก โดยนำข้อมูลที่บันทึกได้ สามารถนำมาช่วยโรงงานทั้งการวางเเผนตั้งงบพลังงาน วางเเผนการซ่อมบำรุงเเละเพิ่มกำลังผลิต รวมไปถึงขยายไลน์การผลิต

“ปัจจุบันโลกเทคโนโลยี 4.0 คนจะกลายมาเป็นผู้ดูเเลการทำงานของเครื่องจักรเเทน ตอนนี้คนที่คุมโรงงานจะไม่ต้องนั่งเฝ้าหรือเดินดูเพื่อจดตัวเลขเเล้ว พวกเขาจะอยู่คอนโทรลรูม เเล้วเห็นการทำงานของเครื่องจักรได้ทุกอย่างเเบบเรียลไทม์” 

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของปั๊มลม DELTA ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรมที่มีการผลิตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ที่ต้องการใช้ปั๊มลมที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน เช่น โรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน โรงงานพลาสติก โรงงานปาร์มน้ำมัน โรงสีข้าว โรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น

ปัจจุบัน DELTA มีสินค้าพร้อมจำหน่ายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น สินค้าในกลุ่มพลังงานทดแทน, กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแก๊ส, ปั๊มลมแบบลูกสูบ, ปั๊มลมแบบสกรู และเครื่องทำอากาศแห้ง โดยสินค้าทั้งหมดถูกออกแบบและผลิตมาให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการและความแตกต่างของทุกโรงงานได้อย่างครบวงจร โดยเฉพาะในด้านระบบอัดแก๊สต่าง ๆ

“DELTA มีเครื่องอัดลมคุณภาพสูงที่ผลิตขึ้นเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อนให้แก่อุตสาหกรรมทุกประเภท ช่วยให้เครื่องจักรสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ปั๊มลมเดลต้าพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการโรงงานในประเทศไทย ก้าวเข้าสู่ Smart Factory 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” 

กลยุทธ์หา “ลูกค้าปั๊มลม” อย่างไร ในตลาด Niche Market

ผู้บริหารเดลต้า เปิดเผยว่า บริษัทมีทีมฝ่ายขายที่มีการเข้าหาลูกค้าโดยตรง ซึ่งต้องเป็น‘วิศวกร’ ผู้ผ่านการเทรนนิ่งมาโดยเฉพาะ มีการสอบวัดผลทุกเดือน โดยจะไม่ได้เข้าไปเพื่อขายสินค้าโดยตรง เเต่จะเน้นไปที่การ ‘Consulting’ ให้คำปรึกษาตามหลักวิศวกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าบอกกลับมาว่า ‘ชอบมาก’ ส่วนอื่นๆ จะเน้นการทำมาร์เก็ตติ้ง ออนไลน์-ออฟไลน์ สื่อสารไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายในอย่าง กลุ่มวิศวกร เจ้าของโรงงาน เจ้าของกิจการเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเข้าถึงกลุ่มคนทั่วไปโดยการออกบูธตามงานนิทรรศการต่างๆ

ในส่วนออนไลน์ จะเน้นไปที่การให้ ‘คอนเทนต์ความรู้’ มากกว่าการโฆษณาสินค้า เพราะจุดเเข็งของ DELTA คือคลังความรู้เฉพาะ Know-how ของบริษัทที่น่าเชื่อถือเเละมีมายาวนานนับร้อยปี พร้อมอธิบายให้ผู้อ่านได้เข้าใจเเบบ ‘ง่ายๆ’ 

ช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา DELTA ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันกับทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก เมื่อการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง โรงงานก็มียอดการผลิตน้อยลงไปด้วย นโยบายขยายการผลิตก็ลดลงไปด้วย ซึ่งกระทบต่อยอดขายปั๊มลมเช่นกัน

“เเต่ในอีกมุมหนึ่งของวิกฤต COVID-19 เราจะเห็นได้ว่ามีธุรกิจที่เติบโตขึ้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องเพิ่มการผลิต เช่น อุตสาหกรรมถุงมือยาง หน้ากากอนามัย เเละธุรกิจเเพ็กเกจจิ้งที่เฟื่องฟูจากกระเเสเดลิเวอรี่ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่หันมาใช้ปั๊มลมมากขึ้น” 

สำหรับปีนี้ เดลต้า มองทิศทางอุตสาหกรรมไทยว่าเป็น ‘ปีที่ยาก’ เพราะการระบาดยังไม่หายไปง่ายๆ เศรษฐกิจไทยยังอิงกับการค้าโลกค่อนข้างเยอะ ทั้งอุตสาหกรรมต้องเเข่งขันกันมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายที่จะต้องพัฒนาสินค้าให้มี ‘จุดเด่น’ ที่เเตกต่างจากตลาดจริงๆ เเล้วทำการสื่อสารไปยังลูกค้าให้ตรงจุด สร้างความเข้าใจเเละพบเห็นเราให้มากที่สุด

ผุดไอเดียใหม่ ‘ขายลม’ 

ผู้บริหารเดลต้า กล่าวถึงความท้าทายของธุรกิจปั๊มลมว่า คือการก้าวผ่านขีดจำกัดของเทคโนโลยีเครื่องจักร โดยการเอาระบบไอทีเข้ามารวมกับเรื่อง ‘Mechanics’ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้เเตกต่าง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับปั๊มลมยี่ห้ออื่น ดังนั้นจึงต้องพัฒนา ‘หาสิ่งใหม่’ ให้ก้าวหน้าขึ้นไปตลอดเวลา

“เดลต้า กำลังมีโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจมาก คาดว่าจะเริ่มได้ประมาณปลายเดือน ก.พ.นี้ คือการ
‘ขายลม’ คิดง่ายๆ อย่างทุกวันนี้เราซื้อน้ำจากการประปา ซื้อไฟกับการไฟฟ้า เเละถ้าอยากได้พลังงานลมก็ให้มาซื้อกับเดลต้าได้ ตั้งใจเจาะกลุ่มโรงงานที่ต้องการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เเปลงจาก fixed cost เป็น variable cost…

โดยกระบวนการคร่าวๆ คือการเอาปั๊มลมของเราไปติดตั้ง วัดการทำงานจากระบบ DSV เเล้วลูกค้าจ่ายเป็นค่าลม ถ้าใช้เยอะก็จ่ายเยอะ ใช้น้อยก็จ่ายน้อย ซึ่งต่างจากการเช่าเครื่องปั๊มลมทั่วไป เพราะเช่าเครื่องเเต่ไม่ได้ใช้ก็ต้องจ่ายเป็นรายวัน/รายเดือน เเต่โปรเจ็กต์นี้จะนับเป็นบปริมาณที่ใช้ลมไปจริงๆ ลูกค้าจึงไม่ต้องกังวลเรื่องซ่อมบำรุงหรือหาอะไหล่ ไม่ต้องซื้อเครื่องก็ไม่ต้องจ้างทีมช่างเอง”

นับเป็นโปรเจ็กต์ล้ำๆ กับเทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจแห่งวงการ ‘ปั๊มลม’ เมืองไทยเลยทีเดียว…
‘เดลต้า’ จะเปิดตัวอะไรใหม่ๆ มาเอาใจลูกค้ายุคดิจิทัลกันอีก…ต้องติดตาม

]]>
1318261
ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบเรียลไทม์กับ “Nong Pim” นวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจวัดจาก ปตท. https://positioningmag.com/1312331 Thu, 07 Jan 2021 04:00:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312331

ฝุ่น PM 2.5 กลับมาอีกครั้งในช่วงหน้าหนาว และอาจจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานหากไม่มีการตระหนักรู้ถึงปัญหา ทำให้สถาบันนวัตกรรม ปตท. วิจัยและพัฒนา “Nong Pim” อุปกรณ์ตรวจวัด “ค่าฝุ่น PM 2.5” ที่สามารถวัดค่าและส่งข้อมูลแสดงผลออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์ หลังทดลองใช้ภายในองค์กรกว่า 1 ปี ขณะนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดบริการติดตั้งและสร้างโซลูชันให้องค์กรอื่นที่สนใจ

ฤดูหนาวในช่วง 2-3 ปีหลังของประเทศไทยไม่ได้มีเฉพาะลมหนาว แต่ยังมี “ฝุ่น PM 2.5” ตามมาสร้างความเจ็บป่วยต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็ก ไร้กลิ่น ทำให้หลายคนไม่รู้สึกถึงความอันตราย จนกว่าจะได้เห็นตัวเลขบนเครื่องวัดค่าฝุ่นจึงจะตระหนักรู้ได้ว่าฝุ่นอยู่รอบตัวเราจริงๆ

ความอันตรายของฝุ่น PM 2.5 คือการเป็นฝุ่นที่เล็กถึง 2.5 ไมครอน เป็นขนาดที่สามารถเล็ดรอดสู่เส้นเลือดฝอย กระจายไปตามอวัยวะต่างๆ ผลกระทบระยะสั้นคือทำให้แสบตา ผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้กำเริบ บางรายอาจมีไข้ ตัวร้อน ส่วนผลระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ หัวใจขาดเลือด จนถึงมะเร็งปอดได้

จากความร้ายแรงเหล่านี้ทำให้การรู้ค่าฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื่องสำคัญ “เกียรติสกุล วัชรินทร์ยานนท์” และ “ศิระ นิธิยานนทกิจ” สองนักวิจัย ฝ่ายวิจัยเทคโนโลยีพลังงานใหม่ สถาบันนวัตกรรม ปตท. เล่าถึงที่มาของการวิจัยพัฒนา “Nong Pim” ว่า โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน 2562 เนื่องจากที่ตั้งของสถาบันนวัตกรรม ปตท. ซึ่งอยู่ใน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่มีเครื่องวัดค่าฝุ่นในบริเวณใกล้เคียงเลย จุดที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปถึง 20 กิโลเมตร ทางสถาบันฯ จึงมองว่าควรจะพัฒนาเครื่องมือวัดค่าฝุ่นของตนเองขึ้น เพื่อให้ทราบค่าฝุ่นในพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ จึงเกิดเป็นอุปกรณ์  Nong Pim

เกียรติสกุลกล่าวว่า ความแตกต่างของ Nong Pim จากอุปกรณ์วัดค่าฝุ่นอื่นที่มีในตลาด คือ Nong Pim เป็นอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) เมื่อติดตั้งแล้วสามารถวัดค่าได้ทุกๆ 10 นาที และส่งสัญญาณข้อมูลแบบออนไลน์ขึ้นสู่ระบบคลาวด์ แสดงผลบนแพลตฟอร์มเว็บไซต์ ทำให้ไม่ต้องใช้คนในการถือเครื่องแบบออฟไลน์เข้าตรวจวัดตามจุดต่างๆ

หลังจากที่สถาบันนวัตกรรมใช้งานไประยะหนึ่ง และปรับปรุงจนใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Nong Pim จึงเริ่มถูกนำไปติดตั้งในหน่วยงานอื่นของเครือ ปตท. เช่น สำนักงานใหญ่ ปตท. ถนนวิภาวดี-รังสิต พบว่า อุปกรณ์นี้ช่วยแก้ปัญหาของหน่วยงานได้ เนื่องจากเดิมหน่วยงานจะต้องอาศัยพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินถือเครื่องตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ตามห้องต่างๆ วันละ 3 ครั้ง ซึ่งเสียเวลาและเสียกำลังคนที่ควรได้ทำงานหลักของตนเอง ดังนั้น เมื่อมีเครื่องตรวจวัดอัตโนมัติทำให้แบ่งเบาภาระส่วนนี้ไปได้

“ประโยชน์ของการรู้ค่าฝุ่น PM 2.5 คือทำให้เราสามารถสร้าง Smart Environment ได้ หากค่าฝุ่นสูงเกินระดับปกติ ระบบจะแจ้งเตือนให้พนักงานทราบ เพื่อให้พนักงานเตรียมตัวรับมือฝุ่น รวมถึงทำให้คนตระหนักรู้ว่าฝุ่นมีอยู่จริง มีผลเสียต่อร่างกายจริง นำไปสู่การศึกษาว่าฝุ่นเกิดจากอะไร และถ้าตนเองยังมีกิจวัตรที่ทำให้เกิดฝุ่นก็จะพิจารณาเลิกทำสิ่งเหล่านั้นต่อไป” เกียรติสกุลอธิบายถึงความสำคัญของโครงการนี้

IoT ทำให้ Nong Pim มีประสิทธิภาพกว่า

ด้านเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับ Nong Pim ศิระอธิบายว่า เป็นการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในตลาด แต่คัดเลือกด้านคุณภาพวัสดุ ตัวเครื่องวัดมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ ระบบ Laser Scattering ซึ่งจะยิงแสงเลเซอร์ขึ้นไปในอากาศเพื่อวัดค่าการสะท้อนกลับของแสง ทำให้ทราบว่ามีฝุ่นอยู่ในอากาศมากแค่ไหน เป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่มักจะใช้ในเครื่องฟอกอากาศตามบ้าน

อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญของ Nong Pim คือการใช้ ระบบ Narrow-Band IoT ตัวเครื่องสามารถส่งข้อมูลค่าฝุ่นที่ได้ผ่านเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ขึ้นสู่ระบบคลาวด์ และนำไปแสดงผลบนเว็บไซต์ที่ทางสถาบันนวัตกรรมเป็นผู้พัฒนาขึ้น ดังนั้น สถานที่ติดตั้ง Nong Pim เพียงมีปลั๊กเสียบ USB และมีสัญญาณมือถือก็สามารถใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องมีสัญญาณ Wi-Fi จึงติดตั้งง่ายและสะดวก

ขณะนี้ระบบ Nong Pim ตั้งค่าให้วัดค่าฝุ่นทุกๆ 10 นาที ส่วนการแสดงผลแก่ end user จะตั้งค่าความถี่เท่าใดก็ได้ เช่น แสดงผลทุก 10 นาที แสดงผลทุก 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า

ส่วนการพัฒนาต่อยอดในอนาคต ศิระกล่าวว่า หัวใจสำคัญคือการพัฒนาเซิร์ฟเวอร์การเก็บข้อมูลและแพลตฟอร์มการแสดงผล เพราะข้อมูลที่ได้จะมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเริ่มเปิดตัวในฐานะโซลูชันธุรกิจ การออกแบบแพลตฟอร์มจะต้องเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้น (user-friendly)

เปิดบริการแบบ B2B โซลูชันวัดค่าฝุ่นองค์กร

เกียรติสกุลกล่าวต่อว่า ขณะนี้ Nong Pim เริ่มเปิดบริการเป็นธุรกิจแบบ B2B แล้ว โดยรับติดตั้งและออกแบบโซลูชันให้องค์กร สามารถปรับรูปแบบเฉพาะ (customize) เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจต่างๆ ได้ และคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายรายเดือน

ส่วนการจำหน่ายแบบ B2C ยังอยู่ในแผนงานอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า ต้องใช้เวลาก่อนเปิดจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไปเพราะการจำหน่ายรายย่อยจะยุ่งยากกว่าในการซ่อมบำรุงผลิตภัณฑ์ รวมถึงวิธีการขายจะแตกต่าง ต้องมีทีมขายและการตลาดที่แข็งแรงขึ้น

แม้ว่า ปตท. จะเริ่มจำหน่าย Nong Pim เป็นธุรกิจบริการ แต่เกียรติสกุลกล่าวว่า ภาพรวมโครงการนี้ “ไม่ได้หวังจะสร้างกำไร แต่อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีขึ้น”

“มลพิษทางอากาศทำให้คนเสียชีวิตได้และเคยเกิดขึ้นมาแล้ว” เกียรติสกุลกล่าว “หน้าที่ของนักวิจัยจึงไม่ใช่เริ่มจากเราอยากทำอะไร แต่เราเห็นเหตุผลว่าสิ่งที่ทำมาจะได้ประโยชน์อะไร ออกมาแล้วคนจะอยากใช้ นั่นต่างหากคือแรงผลักดันที่แท้จริงสำหรับนักวิจัย”

สนใจโซลูชัน Nong Pim ติดต่อที่คุณวิชย์กรณ์ สถาบันนวัตกรรม ปตท. โทร.03-524-8385 เวลาทำการวันจันทร์-ศุกร์ 08.00-17.00 น.

]]>
1312331
มองตลาด ‘IoT’ ไทยผ่านตา ‘Things on Net’ ที่เชื่อว่า ‘ความเข้าใจ’ และ ‘อีโคซิสเต็มส์’ ยังเป็นโจทย์ใหญ่ https://positioningmag.com/1312616 Thu, 31 Dec 2020 04:10:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312616 IoT เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากในยุคที่มี 5G แบบนี้ เนื่องจากจะเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานทั่วไปแล้ว สำหรับภาคอุตสาหกรรมเองก็มักนำมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งยังช่วยเก็บข้อมูลไว้เป็น Big Data สำหรับวิเคราะห์จุดอ่อนจุดด้อย โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 มูลค่าตลาดของ IoT ทั่วโลกจะอยู่ที่ 11.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ดังนั้น ตลาด IoT จึงเป็นตลาดที่หลายองค์กรให้ความสนใจจะเข้ามาในตลาดนี้ แต่ก็ไม่ได้หมูขนาดนั้น

Things on Net เป็นใคร

รติรส จันทรพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ติงส์ ออน เน็ต (THINGS ON NET CO., LTD.) ผู้ให้บริการโซลูชั่นอินเทอร์เน็ต ออฟ ติงส์ หรือไอโอที (Internet of Things: IoT) ครบวงจร กล่าวว่า บริษัท ติงส์ ออน เน็ตคือ เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นด้าน IoT จากโครงข่าย Sigfox Operator โครงข่ายเทคโนโลยีการสื่อสารจากประเทศฝรั่งเศสแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ซึ่งโครงข่ายดังกล่าวเป็นโครงข่ายเดียวในโลกที่สามารถส่งสัญญาณได้ในระดับ Global แบบครบวงจรในคลื่น 920-925 MHz ครอบคลุมพื้นที่กว่า 72 ประเทศ และครอบคลุมประชากรโลกมากกว่า 1.2 พันล้านคน โดยอุปกรณ์ IoT จะสามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณการสื่อสารของ Sigfox ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแบบโรมมิ่งโดยอัตโนมัติซึ่งใช้พลังงานน้อยเนื่องจากส่งข้อความขนาดเล็ก โดยปัจจุบันมีการส่งข้อความกว่า 3 พันล้านข้อความ

“อย่างหลุยส์ วิตตองก็เป็นลูกค้า โดยใช้ระบบ IoT ติดกับกระเป๋าเดินทาง เมื่อกระเป๋าหายก็สามารถแทร็กได้ว่าไปอยู่ที่ไหน เพราะสามารถส่งสัญญาณได้ในระดับโลก หรือแม้แต่ใช้ IoT เป็นเซ็นเซอร์จับหนูในสนามบิน

รติรส เผือกวัฒนะ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ติงส์ ออน เน็ต (THINGS ON NET CO., LTD.)

ไม่ใช่คู่แข่งของใคร

ในด้านการแข่งขันบริษัทมองว่าไม่มี เพราะบริษัทเป็นรายเดียวที่ให้บริการแบบ Global Network และบริษัทจะเน้นให้บริการแบบ B2B ในเขตภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยโฟกัสหลักของบริษัทจะเน้นไปที่อุตสาหกรรมอย่างอะกรีเคาเจอร์, ทรานสปอร์ตเทชั่น, เฮลท์แคร์, เรียลเอสเตส และอุปโภคบริโภค นอกจากนี้จะเน้นไปที่สมาร์ทซิตี้ เช่น ฝั่ง IoT ดูที่จอดรถว่าว่างหรือไม่ว่าง, ใช้ดูท่อประปาต่าง ๆ ว่ามีรอยรั่วหรือไม่, ใช้บริหารจัดการขยะเพื่อดูว่าถังขยะไหนเต็มหรือไม่เต็ม, ใช้วัดคุณภาพอากาศ เป็นต้น

โดยบริษัทให้บริการแบบ Total Solution ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การกำหนดกลยุทธ์ การวิเคราะห์ข้อมูลด้าน IoT รวมทั้งชุดอุปกรณ์เซนเซอร์สำเร็จ แพลตฟอร์มและโซลูชันไอโอที อาทิ Asset tracking management, การบริหารจัดการของเสีย (Waste management), สมาร์ทโซลูชั่นความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม (Safety and Environmental), Smart farming, Smart city

“ในเขตอุตสาหกรรมหนึ่งไม่สามารถใช้เทคโนโลยีใครเทคโนโลยีเดียวได้ อย่างของเราจะเน้นให้บริการแบบกว้างส่งสัญญาณได้ไกล แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ส่งทีละเยอะ ๆ 5G ถือว่าตอบโจทย์ ดังนั้นเรากับผู้ให้บริการรายอื่นมีจุดดีจุดด้อยต่างกัน”

ตลาด IoT ไทยไม่หมูเพราะอีโคซิสเต็มส์กระจัดกระจาย

อย่างไรก็ตาม ความยากในการทำตลาด IoT ก็คือ 1.คนทั่วไปยังไม่รู้จักอย่างแท้จริงและองค์กรยังไม่เคยใช้ เพราะส่วนใหญ่จะเข้าใจแค่ด้าน B2C 2.อีโคซิสเต็มส์ยังกระจัดกระจาย อย่างคนมีฝีมือแต่ขาดการรวบรวม ซึ่ง 2 ข้อนี้ถือว่าเป็นโจทย์หลักของบริษัทเพื่อให้คนรู้ว่า IoT มีความหลากหลายอย่างมาก รวมถึงการรวบรวมอีโคซิสเต็มส์ที่กระจัดกระจาย

ทั้งนี้ บริษัทมีกลยุทธ์ 4C ในการทำตลาด 1.Communications มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ 2.Coverage โดยวางเสาสัญญาณได้ครอบคลุมทุกจังหวัด 3.Channel ช่องทางการขายต่าง ๆ และ 4.Co-Partnerships การมีพาร์ตเนอร์เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งพาร์ตเนอร์ด้านคลาวด์ แดชบอร์ด และพาร์ตเนอร์ด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาเหล่าดีเวลลอปเปอร์และรวมอีโคซิสเต็มส์ที่กระจัดกระจาย เป็นต้น

“ตอนนี้เราพยายามหาพาร์ตเนอร์ให้ได้มากที่สุดในทุกด้าน เพราะแน่นอนว่า COVID-19 ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุน แต่ก็จะยังมีความต้องการในบางกลุ่ม ดังนั้น บริษัทจึงพยายามมุ่งเน้นการสื่อสารไปหากลุ่มลูกค้าให้ได้หลากหลายที่สุด เพราะเราเชื่อว่ายังมีความต้องการ”

เราไม่หยุดอยู่แค่นี้ ในปีหน้าเราจะมีโซลูชันใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้ามาตอบโจทย์ตลาด และพยายามสร้างบุคลากรรวมถึงรวบรวมอีโคซิสเต็มส์ที่กระจัดกระจาย เรามองว่าตลาด IoT ในไทยโตแน่นอน แม้ว่า COVID-19 อาจทำให้ชะลอตัวไปบ้าง แต่ภาครัฐไทยก็พยายามให้การสนับสนุน เพราะ IoT มันช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานรวมถึงช่วยลดต้นทุนได้

]]>
1312616
กลุ่มทรู มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และร่วมป้องกันแก้ไขปัญหามลภาวะฝุ่น PM 2.5 โดยสนับสนุนโครงการ Sensor for All ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://positioningmag.com/1305113 Mon, 09 Nov 2020 08:00:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1305113

กลุ่มทรู มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และร่วมป้องกันแก้ไขปัญหามลภาวะฝุ่น PM 2.5 โดยสนับสนุนโครงการ Sensor for All ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อเนื่องตั้งแต่ปีแรก สำหรับโครงการ Sensor for All  ปี 3 นี้ True Lab มอบ NB-IoT ชิปเซ็ต จำนวน 200 ชุด เพื่อนำไปจัดทำอุปกรณ์เซ็นเซอร์โดยฝีมือคนไทย  ขยายพื้นที่ตรวจวัดปริมาณฝุ่นทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลสภาพอากาศในพื้นที่กว้างมากยิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจวัดได้ทั้งฝุ่น PM 2.5, PM 10, อุณหภูมิ และความชื้น พร้อมทั้งคำนวณค่า AQI และระบบประมวลผลผ่านหน้าจอเซ็นเซอร์ ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ True 5G แสดงผลบน Dashboard ได้แบบเรียลไทม์ ทั้งยังสามารถนำข้อมูลไปประมวลผลและวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดการและแก้ไขปัญหามลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็กในระยะยาวได้อย่างถูกจุด ตามสภาพปัญหาจริงของแต่ละชุมชน

พร้อมกันนี้ กลุ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาจัดแสดงนิทรรศการเน้นการสร้างสมดุลด้านสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร เริ่มตั้งแต่การปลูก ป้องกัน ปรับปรุง คืนสิ่งแวดล้อมให้โลก สร้างสังคมอัจฉริยะอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเทคโนโลยี True 5G ที่จะนําไปสู่สังคมอัจฉริยะ ผ่านเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และคาดการณ์สถานการณ์ของสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย เชื่อมโยงชีวิตยุคใหม่ และเมืองไทยที่ล้ำไปอีกขั้น

1.“ปลูก” ต้นไม้ เพื่อคืนชั้นบรรยากาศที่สดใส สร้างความตระหนักและมีส่วนร่วมด้วยแอป “We Grow” สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการปลูกต้นไม้ในสังคมยุคใหม่ ให้ปลูกแล้วแชร์ข้อมูลผ่านแอป ติดตามอัปเดตการเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนข้อมูลเชื่อมโยงเครือข่ายสังคมผู้ปลูกต้นไม้ รวมทั้งเป็นคลังข้อมูลความรู้เรื่องต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบันแอปพลิเคชันมี ผู้ปลูกแล้ว 4,324,677 ต้น และปริมาณดูดซับคาร์บอน 62,726 ตัน โพสต์ข้อมูลผ่านเครือข่ายสีเขียวแล้ว 70,000 โพสต์ ร่วมกันสร้างพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน และภายในชุมชนแบบครบวงจร  โดยดาวน์โหลดแอป We Grow ได้ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และ iOS หรือคลิกที่ www.wegrow.in.th

2.“ป้องกัน” สร้างสมดุลการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้าง  ด้วย ระบบเตือนภัยล่วงหน้า True SMART Early Warning System เฝ้าระวังช้างป่าเข้ามาในพื้นที่การเกษตร หรือ ทำร้ายคน โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และกล้องดักถ่ายภาพอัตโนมัติ (camera trap) ที่สามารถส่งข้อมูลแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าไปยังระบบคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวังช้างป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.“ปรับปรุง” โดยร่วมกับพันธมิตร ใช้เทคโนโลยีโดรนช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม  อาทิ การช่วยปกป้องผืนป่าจากปัญหาไฟป่า ด้วย “VETAL DRONE: โดรนสำรวจไฟป่า” ที่บินได้สูงกว่าโดรนทั่วไป สามารถวางแผนและมอร์นิเตอร์พื้นที่ด้วยระบบจับภาพจากมุมสูง พร้อมความสามารถในการตรวจจับอุณหภูมิของพื้นที่ ทำให้สามารถส่งเจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุยังบริเวณจุดเกิดไฟป่าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกบันทึกผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งสามารถมอนิเตอร์ได้ทุกที่ทุกเวลา และระบบ autonomous flight โดยสามารถสั่งการได้ตามจุดที่กำหนด นอกจากนี้ ยังมี “โดรนสำรวจใต้น้ำและผิวน้ำ” ช่วยสำรวจพื้นผิวน้ำเพื่อดูคลื่น ตรวจจับความลึกจากสัญญาณเรดาร์พร้อมกล้องถ่ายภาพใต้ทะเล สำรวจความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศทางทะเล ทั้งการเปลี่ยนแปลงของแนวปะการัง สัตว์ทะเล และอื่นๆ มีการส่งข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และมอนิเตอร์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ตรงจุด และรวดเร็ว ทดแทนการใช้เจ้าหน้าที่ในการสำรวจใต้ท้องทะเล ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลา

]]>
1305113
สรุปทุกเรื่องต้องรู้ AIS ACADEMY for THAIs : JUMP THAILAND กระโดดสู่วิถีชีวิตใหม่ไปด้วยกัน https://positioningmag.com/1299879 Mon, 19 Oct 2020 10:00:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299879

ว่ากันว่า การให้ที่สำคัญที่สุด คือการให้องค์ความรู้ เพื่อนำองค์ความรู้ต่างๆ นั้นไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้ ยิ่งทำให้ทุกฝ่ายเจริญเติบโตไปด้วยกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของจุดเริ่มต้นการเดินทางของ AIS ACADEMY for THAIs ภารกิจคิดเผื่อ เพื่อให้คนได้ได้เรียนรู้ และเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน


5 ปี ของภารกิจคิดเผื่อ

ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นนั้น AIS ได้เริ่มโครงการ AIS ACADEMY มาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว มีจุดประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้ และพัฒนาบุคคลากรในองค์กร ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ได้นำองค์ความรู้ต่างๆ จากต่างประเทศมาถ่ายทอด รวมทั้ง มีการปรับเพิ่มเรื่อง Digital Platform เป็นแหล่งความรู้ให้พนักงานสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา

จากนั้น AIS ACADEMY ได้ขยับบทบาทในฐานะภาคเอกชนและการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมไทย เปิดเป็นโครงการ AIS ACADEMY for THAIs เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการเรียนรู้เทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ จากทั้งภายในและนอกประเทศ พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรภาคเอกชนในการผลักดันองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้กับคนไทย

AIS ACADEMY for THAIs จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญของ AIS ที่คิดเผื่อเพื่อคนไทยทุกคน เพราะเชื่อว่าการเติบโตแต่เพียงผู้เดียว มิใช่การเติบโตอย่างแท้จริง แต่การทำให้สังคมไทยเข้มแข็งและแข็งแรงขึ้น เป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เอไอเอส และ กลุ่มอินทัช บอกว่า

“จุดเริ่มต้นของ AIS ACADEMY เริ่มจากภายในองค์กรก่อน ตอนนั้นเริ่มเห็นเทรนด์เรื่อง Digital Disruption เห็นองค์ความรู้จากต่างประเทศ ก็นำความรู้มาถ่ายทอดให้คนในองค์กร จากนั้นก็เริ่มมองว่าให้เอาความรู้ไปสู่คนข้างนอก ก็จุดประกายความคิดเชิญพาร์ทเนอร์เอกชนมาช่วยกันตามความถนัดของแต่ละคน จัดครั้งแรกมีที่นั่ง 4,000คน ไม่มีเก็บค่าใช้จ่าย อยากให้คนไทยได้รับประโยชน์จริงๆ แล้วขยายไปตามภูมิภาค จนวันนี้ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ด้วยคอนเซ็ปต์ JUMP THAILAND ให้คนไทยกระโดดฝ่าวิกฤตไปพร้อมกัน”

AIS ACADEMY for THAIs ภารกิจคิดเผื่อแก่คนทั่วไปได้เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2561 ที่เมืองทองธานี ประเด็นหลักคือเรื่อง Digital Disruption ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็จัดเป็นครั้งที่ 2 ในคอนเซ็ปต์ Intelligent Nation Series

จากนั้น AIS ACADEMY for THAIs ก็เริ่มขยายสู่ระดับภูมิภาค เพราะ AIS เชื่อว่า ประเทศไทย มิใช่แค่กรุงเทพฯ จึงมุ่งสู่ภูมิภาคโดย เริ่มครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2562 จังหวัดขอนแก่นในเดือนสิงหาคม 2562

ล่าสุดที่เพิ่งจบไปสดๆ ร้อนๆ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 กับ AIS ACADEMY for THAIs: JUMP THAILAND ที่เมืองทองธานี


ไม่ใช่แค่ก้าว แต่ต้องกระโดด

AIS ACADEMY for THAIs ครั้งล่าสุด จัดขึ้นในคอนเซ็ปต์ของ JUMP THAILAND ในโอกาส ครบรอบ 30 ปี AIS และตอกย้ำเจตนารมย์ในการอยู่เคียงข้างสังคมไทยมาตลอด 30 ปี

ยิ่งเกิดวิกฤต COVID-19 ขึ้นในประเทศไทย ยิ่งส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งเรื่องการงาน และค่าครองชีพ ในครั้งนี้ AIS จึงชวนพันธมิตรชั้นนำระดับประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ใหม่เจาะประเด็นนวัตกรรม, ทักษะอาชีพ และการพัฒนาตนเอง เพื่อพาคนไทยกระโดดข้ามวิกฤต สู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ผ่าน 3 โครงการ

1.JUMP to Innovation กระโดดสู่ความเหนือกว่าด้วยนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของประเทศ

2.JUMP over the Challenge กระโดดข้ามความท้าทาย สู่เส้นทางอาชีพใหม่ที่สร้างได้เอง

3.JUMP with EdTech กระโดดสู่การยกระดับการพัฒนาตนเอง ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลในวันที่ต้องรีสกิล

กานติมา บอกว่า “ภารกิจคิดเผื่อเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว ได้ผนึกเอาความรู้มาปรับให้เข้ากับเทคโนโลยี ตอนนี้ COVID-19 ทำให้บริบทเปลี่ยนไป จึงอยากเพิ่มศักยภาพให้คนไทยผ่าน 3 แกนหลัก ทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย เพราวันนี้แค่เดินอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องกระโดดไปด้วยกัน”


JUMP to Innovation นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

มาที่แกนแรกในเรื่องของนวัตกรรม AIS เป็นองค์กรที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอยู่แล้ว แต่ JUMP to Innovation ในครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีไอเดียในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ แล้ว AIS จะสานฝันนวัตกรรมนั้นให้ใช้งานได้จริงผ่าน โครงการ JUMP Thailand

ที่ผ่านมา AIS จึงได้พัฒนาโครงการต่างๆ เช่น School Van Safety ที่ช่วยแก้ปัญหาเด็กถูกลืมในรถโรงเรียน, Forest Fire Detection ที่ช่วยตรวจจับไฟป่าด้วยเทคโนโลยี IoT Satellite และ AI Juandice Monitor ที่นำเทคโนโลยี AI มาช่วยตรวจอาการตาเหลือง ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรคมะเร็งตับ ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง อันดับหนึ่งของเมืองไทย

ในปี 2018 โครงการ AIS InnoJump Competition จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการส่งไอเดียร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และในปี 2021 นี้ AIS จะก้าวไปข้างหน้ากับภารกิจเฟ้นหา สุดยอดทีมจากทั่วประเทศภายใต้โครงการ JUMP Thailand 2021 เพื่อชวนคนไทยมาร่วมแรงคิดสร้างนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาสำคัญต่างๆ ของประเทศ ด้วยนวัตกรรม ให้ก้าวทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืนในรูปแบบการแข่งขันระดมสมอง นำเสนอผลงานในรูปแบบ Hackathon และการบ่มเพาะนวัตกรรม

อราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายขับเคลื่อนนวัตกรรม เอไอเอส

“ตอนนี้ในส่วนของนวัตกรรมเรามีเกือบๆ 200 โครงการ ตั้งแต่มีแค่ไอเดีย ไปจนถึงระดับทดลองใช้งาน AIS มองว่าหลายคนมีไอเดียเยอะ เราต้องการลดช่องว่างนั้นด้วยการเป็นองค์กรที่เข้าไปช่วยสนับสนุนเพื่อให้นำนวัตกรรมนั้นใช้ได้จริงจัง”

ผู้สนใจโครงการ JUMP Thailand สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และร่วมส่งหัวข้อปัญหาที่คุณคิดว่าควรเร่งแก้ไขที่สุดได้ที่ http://www.jumpthailand.earth

 

JUMP over the Challenge สร้างความรู้สู่อาชีพ

หลังจากเกิดวิกฤต COVID-19 สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนไทยคือ ความกังวลเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ ตกงาน ไม่มีรายได้ ภารกิจคิดเผื่อในครั้งนี้จึงมองเห็นความสำคัญของการ “สร้างอาชีพ” เพื่อให้ทุกคนมีรายได้ มีกำลังในการเดินหน้าต่อ

จึงเกิดเป็นโครงการ อุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพ ต่อยอดจากโครงการอุ่นใจอาสา ที่รวมพลพนักงาน เอไอเอสที่มีทักษะความรู้หลากหลาย มาร่วมถ่ายทอดทักษะวิชาชีพไปยังบุคคลภายนอก ขยายช่องทางการเข้าถึงองค์ความรู้ เพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้และเข้าถึงฟรี ด้วยการร่วมสร้างโอกาสให้คนไทย ได้มีอาชีพเสริม สร้างรายได้

กานติมา บอกว่า “แต่เดิมอุ่นใจอาสาทำเรื่อง อาทิ สร้างห้องสมุด สร้างห้องน้ำ แต่เราก็มาคิดว่าตอนนี้คนไทยอยากได้อะไรมากที่สุด คำตอบก็คือ อาชีพนั่นเอง จึงเอาทักษะต่างๆ ที่สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้มาจุดประกายให้สังคม พร้อมมีตลาดรองรับให้ด้วย”

ตอนนี้อุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพมีทั้งหมด 31 หลักสูตรหลากหลายแนวทาง ครอบคลุมทั้งเรื่องทำขนมเทียนหอมสบู่เกษตรกรรม และอื่นๆ มีการเตรียมตลาดรองรับให้ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ช่วยเหลือคนจริงๆ

ผู้สนใจโครงการ “อุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพ” สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ ผ่านทาง Facebook Page: AIS Academy for Thais หรือ YouTube Channel: AIS Academy

JUMP with EdTech ลดช่องว่างด้านการศึกษา

AIS ได้ให้ความสำคัญด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง มองว่าบริษัทจะเติบโตได้ ประเทศก็ต้องเติบโตด้วย ซึ่งการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนประเทศ ยิ่งการมาของ 5G จะยิ่งช่วยส่งเสริมการศึกษาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราเทคโนโลยีจะช่วยทำให้คนไทยมีความรู้มากขึ้น ลดช่องว่างให้แคบลง ส่งต่อความรู้ไปได้ทุกที่ทั่วประเทศ

ที่ผ่านมา AIS ได้พัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ “LearnDi for Thais” เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) โดยผนึกกำลังกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ทั้งจากภายในและต่างประเทศ มาช่วยยกระดับศักยภาพของผู้คน องค์กร สังคม และประเทศชาติ

นอกจากนี้ AIS Academy ยังเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ จึงเปิดโครงการ “The Tutor Thailand by AIS Academy” เชิญชวนผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในหลากหลายสาขา มาร่วมกันยกระดับการเรียนรู้ของเยาวชนไทย ผ่านกิจกรรม The Tutor Boot Camp ที่จะพัฒนาทักษะให้เหล่าติวเตอร์ให้ถ่ายทอดสู่เยาวชนได้

สำหรับผู้สนใจโครงการ “The Tutor Thailand”สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครเข้าร่วมโครงการได้ทาง http://www.aisacademy.com 

เรียกได้ว่า AIS Academy for Thais: JUMP THAILAND ในการฉลอง 30 ปี AIS มีความยิ่งใหญ่ และไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะได้คิดเผื่อถึงคนไทยทุกคนให้ก้าวข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปอย่างภาคภูมิ สุดท้ายแล้ว AIS ไม่ใช่แค่จะจับมือก้าวไปด้วยกัน แต่จะต้องกระโดดไปด้วยกัน ทุกคนถึงจะรอดปลอดภัย

 

 

]]>
1299879
“พานาโซนิค” ขอขยับจากธุรกิจไฟฟ้า ลงสนามสมาร์ทโฮม โกยโอกาสจากสินค้า IoT https://positioningmag.com/1267398 Sun, 08 Mar 2020 09:45:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1267398 พานาโซนิค วางเเผนรุกตลาดอาเซียน มองโอกาสประชากรโต – ตลาด IoT รุ่ง ชิงลงสนามสมาร์ทโฮม ขนทัพเครื่องใช้ในบ้านจากญี่ปุ่นมาวางขาย หาพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น จับมือธุรกิจอสังหาฯ ขยายตลาด “นวัตกรรมที่อยู่อาศัย” ตั้งเป้าดันยอดขายเเตะ 2.78 หมื่นล้านบาทในปี 2021

ประชากรอาเซียนโต ก่อสร้างมากกว่าญี่ปุ่น 5 เท่า 

Daizo Ito รองประธานกรรมการอาวุโส และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดต่างประเทศ บริษัท พานาโซนิค คอร์ปอเรชั่น ไลฟ์ โซลูชั่นส์ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ในปี 2020 นี้ พานาโซนิคให้ความสำคัญกับตลาดในอาเซียนเป็นพิเศษ เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทั้งเรื่องจำนวนประชากรจำนวนครัวเรือน และจีดีพีของทั้ง 3 ตลาดมีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย

จากข้อมูลพบว่าจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังการเติบโตไปด้วยเช่นกัน โดยคาดการณ์กันว่ากลุ่มประเทศในอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย จะมีประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นจาก 580 ล้านคนในปี 2563 เป็น 640 ล้านคนในปี 2573 โดยมีจำนวนการก่อสร้างบ้านเรือนในปี 2564 ประมาณ 4.41 ล้านหลัง หรือคิดเป็น 5 เท่าของประเทศญี่ปุ่น

“คนในอาเซียนเริ่มให้ความสนใจกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเเละกำลังมองหานวัตกรรมใหม่ๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นบริษัทจึงตั้งใจจะรุกตลาดกลุ่มที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง”

โอกาสเจาะตลาด IoT ลงสนามสมาร์ทโฮม 

การเติบโตของ  “Internet of Things (IoT)” ทำให้บริษัทเทคโนโลยีเจ้าเก่าทั้งหลาย ขยับมาสร้างนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น เช่นเดียวกันกับ “พานาโซนิค” ที่เปลี่ยนเเผนจากเดิมที่เคยเน้นที่อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่นปลั๊กไฟ สายไฟ มาพัฒนาเครื่องใช้ในบ้านเเละออฟฟิศที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต

เเม้สินค้าขายดีของพานาโซนิคไลฟ์ฯ อันดับ 1 ในไทยยังจะเป็น “อุปกรณ์เดินสายไฟ” เเต่การปรับตัวเข้าสู่เทรนด์ “สมาร์ทโฮม” ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของบริษัทเเม่ ที่ต้องการมีไลน์อัพสินค้าครบทุกกลุ่มจาก 4 หน่วยธุรกิจ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอุปกรณ์แสงสว่างและระบบต่าง ๆ ในที่อยู่อาศัย หรืออีโคโซลูชั่นโซลูชั่นธุรกิจ-อุตสาหกรรมและชิ้นส่วนยานยนต์

ขณะที่กระแสสมาร์ทโฮมในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็กำลังต้องการนวัตกรรม IoT เพราะต้องการ “สร้างจุดขาย” รับมือการแข่งขันที่สูง

ทั้งนี้ ข้อมูลปี 2019 ระบุว่า ตลาดทั่วโลกมีจำนวนสินค้า IoT กว่า 8.4 พันล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เเละคาดว่าในปี 2020 จะมีบริษัทมากกว่า 65% ที่ใช้ผลิตภัณฑ์และโซลูชัน IoT ขณะที่แนวโน้มในปี 2025 คาดว่าจะมีการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสินค้า IoT ทั่วโลกมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เเละในประเทศไทย ปี 2025 ก็จะมีการใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์ IoT ถึง 5 แสนล้านบาท

สินค้าที่จะนำมาเจาะตลาดในปีนี้ หลักๆ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยเเละการนำเครื่องใช้ในบ้านที่ญี่ปุ่นมาวางขายในอาเซียน เช่นห้องครัวอัจฉริยะ และห้องอาบน้ำสำเร็จรูป ชูจุดเด่นด้านคุณภาพ และการติดตั้ง การก่อสร้างที่ใช้เวลาลดลง รวมถึงการนำเสนอโซลูชั่นใหม่ในออฟฟิศเเละสถานที่สาธารณะต่างๆ เเละแพ็กเกจการตกแต่งภายในด้วย” 

ผู้บริหารพานาโซนิค เผยอีกว่า ความต้องการของตลาดในเอเซียนเเตกต่างกันไปตามเเต่ละประเทศ เช่นในอินโดนีเซียจะให้ความสำคัญเรื่องการใช้เเสง จึงต้องเน้นนวัตกรรมที่มีเเสงที่ผ่อนคลาย ส่วนในไทยนั้นต้องการนวัตกรรมด้านอากาศ จึงต้องตอบโจทย์ตลาดด้านโซลูชั่นเครื่องฟอกอากาศและน้ำ

ขณะที่ภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็มีปัญหาทางสังคมที่เด่นชัดขึ้นเช่นกัน พานาโซนิคจึงได้พัฒนาสินค้าใหม่ เช่น ด้านสุขภาพ ได้พัฒนาสินค้าใหม่คือ “ระบบกรองน้ำส่วนกลาง” ที่ช่วยทำความสะอาดน้ำที่มีผลต่อสุขภาพของผู้ใช้ ส่วนด้านการขาดแคลนแรงงาน กำลังจะวางจำหน่าย “บ้านสำเร็จรูป” สำหรับหอพักและอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งสามารถลดระยะเวลาก่อสร้างเเละลดปริมาณงาน โดยได้เริ่มจำหน่ายในประเทศจีนเมื่อปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับที่ดี

ด้านสังคมผู้สูงอายุ นำเสนอสินค้าฝักบัวพร้อมเก้าอี้นั่ง “เดอะชาวเวอร์” และเตียงนอน “ริโชเนะ” เตียงโรโบติกที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์มีวางจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว เเละกำลังจะนำมาวางจำหน่ายในไทย นอกจากนี้ ยังจะส่งเสริมในกลุ่มสินค้ากลุ่มอุปกรณ์เดินสายไฟ โดยอาศัยกลยุทธ์และองค์ความรู้ด้านการขายที่เคยทำในตลาดญี่ปุ่น

หาพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น จับมือธุรกิจอสังหาฯ 

เมื่อกำลังซื้อผู้บริโภคลดลงจากเศรษฐกิขชะลอตัว บริษัทจึงปรับกลยุทธ์ในตลาดอาเซียน จากเดิมที่เน้นโมเดลธุรกิจเเบบ B2C (Business to Consumer) มาเพิ่มในส่วน B2B (Business to Business) มากขึ้น โดยจะร่วมมือกับดีเวลอปเปอร์และบริษัทพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นในภูมิภาคนี้มาร่วมงานกว่า 600 บริษัท

Masashi Yamada รองประธานกรรมการอาวุโส และผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ Housing Systems กล่าวว่าในปีนี้จะมีการนำเสนอโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมากขึ้น โดยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์และสร้างเครือข่ายเเบบ Co-creation partner ร่วมกับพันธมิตรในแต่ละพื้นที่ เพื่อจะได้เสนอผลิตภัณฑ์ด้วยความเข้าใจในท้องถิ่นจริงๆ

“ในประเทศไทย เราได้ร่วมมือกับบริษัทผู้ให้บริการตู้ล็อคเกอร์ในการทดสอบ “smart box” ซึ่งเป็นตู้สำหรับรับพัสดุไปรษณีย์แบบ IoT (Internet of Things) สามารถควบคุมการทำงานได้ด้วยสมาร์ทโฟน รวมถึงการพัฒนาห้องอาบน้ำสำเร็จรูปที่ใช้เวลาในการติดตั้งเพียง 2 วัน เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มหลักคือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยคาดว่าจะสามารถผลิตและให้บริการในไทยได้เร็วๆ นี้”

สำหรับฐานผลิตหลักในอาเซียน ได้เเก่ โรงงานในไทยจะเป็นการผลิตใช้ภายในประเทศ ส่งออกไปยังฟิลิปปินส์เเละประเทศในตะวันออกกลางเเละตะวันออกใกล้ ส่วนโรงงานในอินโดนีเซียจะเน้นการบุกเบิกช่องทางไปยังเขตพื้นที่เมืองใหญ่ในประเทศ เเละโรงงานในเวียดนามจะเน้นส่งออกสินค้าเพื่อบุกเบิกตลาดเกิดใหม่ในอาเซียน อย่างลาวเเละกัมพูชา

“จากกลยุทธ์เหล่านี้ พานาโซนิคคาดว่าจะสามารถบรรลุยอดขาย 1 แสนล้านเยน หรือประมาณ 2.78 หมื่นล้านบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ภายในปี 2021 และบรรลุยอดขาย 1 ล้านล้านเยนได้ในปี 2030”

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2018 ของพานาโซนิค ไลฟ์ โซลูชั่นส์ มียอดขายอยู่ที่ 2.0361 ล้านล้านเยน (ราว 5.77 แสนล้านบาท) เเบ่งเป็นยอดขายในประเทศไทย 3 พันล้านบาท

 

]]>
1267398
เป็นทุกอย่าง! Xiaomi กับตู้ปลาอัจฉริยะรุ่นใหม่ ให้อาหาร-ปรับอุณหภูมิน้ำผ่านสมาร์ทโฟน https://positioningmag.com/1263253 Tue, 04 Feb 2020 16:58:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263253 มาอีกเเล้ว กระเป๋าเงินสั่นอีกเเล้ว Xiaomi เปิดตัวสินค้าใหม่เอาใจคนรัก “น้องปลา” ด้วยตู้ปลาอัจฉริยะ Xiaomi Geometry Control AI Fish Tank ที่สามารถกดสั่งให้อาหารปลาอัตโนมัติเเละควบคุมอุณหภูมิน้ำผ่านเเอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน

สำหรับตู้ปลาอัจฉริยะนี้ มีให้เลือก 2 ขนาดคือความจุ 15 ลิตรเเละ 30 ลิตร มีอุปกรณ์ใหม่ให้ซื้ออัพเดตได้ หรือสามารถเปลี่ยนอุปกรณ์บางชิ้นเมื่อมีบางส่วนเสียหาย ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ทั้งชุดนั่นเอง โดย Xiaomi วางแผนที่จะพัฒนาชิ้นส่วนต่างๆ ของตู้ปลาเพื่อให้ระบบนิเวศของตู้ปลามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่วนการออกเเบบตู้ปลาจะเน้นความสะดวกสบาย มีพื้นที่ให้ตกเเต่งพืชที่เราชื่นชอบ พร้อมมีเเสงสีเอฟเฟกต์ให้เลือก โดยมีไฟ LED 18 ดวงให้สีได้มากถึง 16 ล้านสี (ในรุ่น 30 ลิตร)

ด้านฟังก์ชัน “การให้อาหารปลาอัตโนมัติ” ทำได้ง่ายเพียงกดปุ่มเพียงครั้งเดียวบนเเท็งก์ หรือควบคุมการให้อาหารผ่านทางแอปฯ มือถือก็ได้ เเละจุดเด่นอีกอย่างของ Xiaomi Geometry Control AI Fish Tank นั่นคือการควบคุมอุณหภูมิน้ำให้เหมาะสมกับปลาชนิดต่างๆ ได้

ส่วนตัวเเท็งก์ มีระบบให้ออกซิเจน 3 ระดับ กรองน้ำ 4 ชั้น ฆ่าเชื้อเเบคทีเรียได้ โดยคุณภาพน้ำจะถูกตรวจสอบโดยเซ็นเซอร์ TDS และจะเเจ้งเตือนผู้ใช้ผ่านแอปฯ มือถือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนน้ำ นอกจากนี้ ยังมีระบบแรงดันไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยต่อเด็ก หรือกรณีเกิดไฟฟ้าดับก็ป้องกันการขาดออกซิเจนของปลาได้

สำหรับ Xiaomi Geometry Control AI Fish Tank วางจำหน่ายเเล้วในราคาเริ่มต้นที่ 139.99 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,335 บาท)

ที่มา: xiaomitoday

]]>
1263253