โปรแกรมดังกล่าวถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับผู้ที่สนับสนุน “สิทธิ์ในการซ่อมแซม” หลังจากที่มีการสนับสนุนการปฏิรูปการซ่อมแซม ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงคู่มือและชิ้นส่วนที่เป็นทางการได้มากขึ้น ขณะที่ Apple เองก็พยายามผลักดันให้ลูกค้าสามารถซ่อมอุปกรณ์ของตนเองได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดย Apple พยายามพูดถึงปัญหาด้านความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพจากชิ้นส่วนที่ไม่ใช่ของแท้

ทั้งนี้ บริการดังดล่าวจะพร้อมใช้งานสำหรับ iPhone 12 และ iPhone 13 เฉพาะใน สหรัฐอเมริกา ก่อน และต่อไปจะเริ่มจำหน่ายชิ้นส่วนเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถซ่อม Mac ของตนที่ทำงานบนชิป Apple M1 ได้ โดยลูกค้าสามารถซื้อชิ้นส่วนผ่าน Apple Self Service Repair Online Store ร้านค้าออนไลน์ของ Apple โดยทุกคำสั่งซื้อจะรวมคู่มือการซ่อมไว้ด้วย และสำหรับผู้ใช้ที่ส่งคืนชิ้นส่วนที่ใช้แล้ว บริษัทจะนำกลับไปรีไซเคิลในภายหลัง โดยลูกค้าจะได้เครดิตในการซื้อ

อย่างไรก็ตาม แม้ Apple จะขายอะไหล่ให้ลูกค้าซ่อมสินค้าเองได้ แต่ Apple กลับย้ำว่าการซ่อมแซมแบบบริการตนเองมีไว้สำหรับ ช่างเทคนิค แต่ละรายที่มีความรู้และประสบการณ์ในการซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่ การไปพบผู้ให้บริการซ่อมมืออาชีพกับช่างเทคนิคที่ผ่านการรับรองซึ่งใช้ชิ้นส่วนของแท้ของ Apple เป็นวิธีที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือที่สุดในการซ่อมแซม

Apple ยังไม่ได้บอกว่าอะไหล่จะขายราคาเท่าไหร่

Source

มีนักวิเคราะห์ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า ผู้ที่สั่งจอง iPhone 13 อาจต้องรอรับเครื่องนานขึ้นจากกำหนดเดิมอย่างน้อย 2 – 3 สัปดาห์ เนื่องจากความต้องการสินค้าในตลาดที่มากเกินกว่าที่คาด บวกกับปัญหาด้านความล้าช้าของระบบชัพพลายเชน

แม้ที่ผ่านมา Apple ได้พยายามเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอต่อความต้องการแล้วก็ตาม โดยจากรายงานของ Nikkei Asia มีการคาดการณ์ว่า Apple มีกำหนดจะผลิต iPhone 13 ระหว่าง 90-95 ล้านเครื่อง จนถึงเดือนมกราคมเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ และมีการเพิ่มซัพพลายเออร์จีนรายใหม่เข้ามา

‘Apple’ เพิ่มซัพพลายเออร์จีนผลิต ‘iPhone 13’ คาดถึงม.ค. 65 ผลิตได้ 95 ล้านเครื่อง

แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ซัพพลายเออร์ของ Apple และ Tesla ในจีนหลายรายจำต้องระงับการผลิตในโรงงานบางแห่ง เนื่องจากปัญหาด้านพลังงานของจีน ทำให้โรงงานหลายแห่งต้องลดการใช้พลังงานจนเกิดปัญหาด้านการผลิต และนำไปสู่การส่งมอบล่าช้า

ทางนักวิเคราะห์ของ JP Morgan และ Credit Suisse ได้ออกมาบอกว่า สำหรับผู้ที่สั่งจอง (ทั่วโลก) iPhone 13 Pro และ Pro Max อาจต้องรอนานกว่า 4 สัปดาห์ ส่วนผู้ที่สั่งจอง iPhone 13 อาจต้องรอประมาณ 2 สัปดาห์

ส่วนในสหรัฐฯ ประเทศที่มีการส่งมอบที่ iPhone กว่า 1 ใน 3 ของยอดการส่งมอบทั้งหมด อาจต้องรอประมาณ 7 – 20 วัน สำหรับผู้ที่สั่งจองในสัปดาห์แรก ส่วนผู้ที่สั่งจองในสัปดาห์ที่สอง อาจต้องรอสินค้านานถึง 19 – 34 วัน โดยนับเป็นการรอสินค้าที่ ยาวนานที่สุด มากกว่าการรอ iPhone 12 ทุกรุ่นเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่นั้น แต่นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังเปิดตัว iPhone 13 จะยิ่งมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคจะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่เพื่ออัปเกรดมือถือของตัวเอง เมื่อเทียบกับสัปดาห์แรกของการเปิดตัว

ขณะที่คู่ค้าของ Apple อย่าง Verizon, Vodafone UK และ Best Buy ได้ออกมาตอบกลับลูกค้าบนทวิตเตอร์ เกี่ยวกับความต้องการที่ล้นหลาม และปัญหาในการจัดส่ง iPhone 13 เนื่องจากมีลูกค้าหลายคนร้องเรียนถึงความล่าช้าของ Apple ในการจัดส่ง

“จากปัญหาความล่าช้าในการจัดส่งของ iPhone 13 Pro Max และยิ่งหากช้าจนถึงวันที่ 30 ตุลาคม เขาจะยกเลิกคำสั่งซื้อ” ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งกล่าว

อย่างไรก็ตาม Apple ยังไม่ออกมาพูดถึงปัญหาดังกล่าวแบบเป็นทางการแต่อย่างใด โดยในประเทศไทยได้เปิดให้จอง iPhone 13 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และวางขายจริง วันที่ 8 ตุลาคมนี้ ซึ่งอาจต้องรอดูว่าไทยจะได้รับผลกระทบดังกล่าวหรือไม่ และหากช้าไปจริงแฟน ๆ อาจต้องทำใจหน่อย

Source

ในประเทศไทย ราคาอย่างเป็นทางการของ iPhone 13 Pro (128 GB) จะอยู่ที่ประมาณ 38,900 บาท และเป็นเหมือนปีที่แล้ว ที่ผู้ซื้อจะไม่ได้รับทั้งที่ชาร์จ และหูฟังภายในกล่อง มีเพียงประเทศฝรั่งเศสเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น เพราะกฎหมายกำหนดให้ Apple ต้องรวมหูฟังไปในกล่องพร้อมตัวเครื่องด้วย

จากการสำรวจข้อมูลของ Numbeo ค่าจ้างเฉลี่ยในประเทศไทยคิดเป็นจำนวนเงินอยู่ที่ 18,987 บาท โดยสุทธิ นั่นหมายความว่า จากสถิติชาวไทยต้องทำงานเป็นเวลา 43 วัน เพื่อซื้อ iPhone 13 Pro (สมมุติว่าพวกเขาใช้จ่ายเงินรายได้ทั้งหมด) เมื่อเปรียบเทียบจากดัชนีชี้วัด iPhone ของปีที่แล้ว, ผลลัพธ์ของประเทศไทยได้ แย่ลง เป็นเวลา 2.4 วัน นั่นแปลว่า คนไทยต้องทำงานเพิ่มเป็นเวลา 2.4 วันเพื่อซื้อ iPhone เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

และนี่คือดัชนีชี้วัด iPhone จากหลายๆ ปีที่ผ่านมา:

• 2018 – 41.9 วัน
• 2019 – 67.8 วัน
• 2020 – 40.6 วัน
• 2021 – 43 วัน

คนสวิตเซอร์แลนด์ สามารถซื้อ iPhone ได้เร็วที่สุดเทียบกับเวลาจากการทำงานเพียงแค่ 4.4 วันเท่านั้น โดยเฉลี่ยแล้ว คนอเมริกันสามารถซื้อแกดเจ็ตตัวล่าสุดนี้ได้ภายใน 5.9 วัน และชาวออสเตรียเลียหลังจากทำงาน 6.4 วัน

จากประเทศทั้งหมดที่เรานำมาพิจารณา จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาแย่ที่สุดคือประเทศตุรกี ที่การจะซื้อ iPhone ต้องทำงานถึง 92.5 วัน ประเทศที่มีผลลัพธ์แย่ที่สุดเป็นอันดับ 2 และ 3 คือประเทศฟิลิปปินส์ และบราซิล 90.2 และ 79.2 วันตามลำดับ

วิธีการจัดหาข้อมูลและแหล่งที่มา

ดัชนีชี้วัด iPhone เป็นการเปรียบเทียบประจำปีระหว่างอัตราราคา iPhone และค่าจ้างเฉลี่ย โดยทีม Picodi.com ตั้งแต่ปี 2018

ดัชนี iPhone 2021 ได้รับการคำนวณจากราคา iPhone 13 Pro (128 GB) ที่ประกาศต่อสาธารณะบนเว็บไซต์ Apple ในพื้นที่หรือเว็บไซต์ผู้ขายที่ได้รับอนุญาต เงินเดือนโดยเฉลี่ยมาจากหน้ากระทรวงหรือสำนักงานสถิติอย่างเป็นทางการของประเทศและใช้ได้สำหรับวันที่เผยแพร่ราคา iPhone ในประเทศนั้นๆ ได้รับค่าจ้างสุทธิโดยใช้เครื่องคำนวณเงินเดือนในท้องถิ่น เงินเดือนรายเดือนหารด้วย 21 จำนวนวันทำงานเฉลี่ยในหนึ่งเดือน ในประเทศที่สำนักงานสถิติใช้ค่าจ้างรายสัปดาห์จะหารเงินเดือนด้วย 5

Source

มีการคาดการณ์ว่า Apple มีกำหนดจะผลิต iPhone 13 ระหว่าง 90-95 ล้านเครื่อง จนถึงเดือนมกราคม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ล่าสุด Nikkei Asia มีรายงานว่าสำนักงาน Apple ในเซี่ยงไฮ้ได้เพิ่มซัพพลายเออร์จีนเข้ามามีบทบาทในซัพพลายเชนของ iPhone รุ่นล่าสุด โดย Apple ได้เพิ่ม ‘Luxshare Precision Industry’ ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของจีนในการผลิต iPhone 13 คิดเป็นสัดส่วน 3% โดยบริษัทดังกล่าวสามารถเอาชนะคู่แข่งชาวไต้หวันอย่าง Foxconn และ Pegatron

อย่างไรก็ตาม ผู้มาใหม่ในซัพพลายเชนของ Apple มักจะเริ่มผลิต iPhone รุ่นเก่า แต่ Luxshare จะเริ่มผลิต iPhone 13 Pro ในเดือนนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของบริษัท เพราะที่ผ่านมาไม่เคยผลิต iPhone ด้วยตัวเองมาก่อน โดยปีที่แล้ว Luxshare ได้ซื้อบริษัท 2 แห่ง ได้แก่ Cowell ผู้ผลิตโมดูลกล้องของเกาหลีใต้ และผู้ผลิตกรอบโลหะ Casetek ของไต้หวัน และทั้ง 2 บริษัทจะเป็นผู้จัดหาส่วนประกอบและชิ้นส่วนหลักสำหรับ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ด้วยเช่นกัน

“แม้ว่า Luxshare จะผลิต iPhone ได้เพียงเล็กน้อยในปีนี้ แต่เราไม่สามารถละเลยได้ ถ้าเราไม่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะเป็นแหล่งสำคัญ” ผู้บริหารระดับสูงของซัพพลายเออร์ iPhone รายหนึ่งกล่าว

Apple มีซัพพลายเชนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ ซับซ้อนที่สุดในโลก โดยจำหน่าย iPhone ราว 200 ล้านเครื่อง MacBook 20 ล้านเครื่อง และ AirPods หลายสิบล้านเครื่องต่อปี ซึ่ง Apple มีมาตรฐานการผลิตที่สูง ดังนั้น บริษัทใดก็ตามที่อยู่ในซัพพลายเชนของ Apple จะถือว่าเป็นหนึ่งใน บริษัทที่ดีที่สุดในสายงานของตน

ไม่ใช่แค่ Luxshare แต่บริษัท Sunny Optical Technology ผู้ผลิตเลนส์กล้องสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของจีนก็ได้เข้าสู่ซัพพลายเชนของ iPhone เป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยที่ผ่านมา Sunny Optical เป็นซัพพลายเออร์หลักของ Xiaomi, Huawei, Oppo และ Vivo ของจีน

Sunny Optical ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Largan Precision ของไต้หวัน ผู้ผลิตเลนส์สมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมชั้นนำและผู้จำหน่าย iPhone มาอย่างยาวนาน รายรับของ Sunny Optical เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2559 ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4 เท่า

นอกจากนี้ยังมีบริษัทจีนอื่น ๆ อีกหลายแห่งปรากฏในรายชื่อซัพพลายเออร์ของ Apple เป็นครั้งแรกในปีที่แล้ว อาทิ Tianma Micro-Electronics ผู้ผลิตจอแสดงผล, GigaDevice Semiconductor ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ และ Nexperia ซึ่งเป็นเจ้าของโดย Wingtech Technology ซึ่งเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของจีน

Source