KAsset – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 02 Oct 2025 07:21:23 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กสิกรไทยเดินหน้าความยั่งยืน บนแนวคิดยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม ผสานความยั่งยืนไปในทุกมิติการทำงาน ส่งมอบทั้งการเงินและองค์ความรู้ เพิ่มเป้าอัดฉีดเม็ดเงินความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด https://positioningmag.com/1540714 Thu, 02 Oct 2025 12:42:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540714

· ธนาคารกสิกรไทยจับกระแสความท้าทาย ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ปัจจัยจากภายนอกด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า รวมทั้งแรงกดดันด้านปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผ่านมาตรการทางการค้าที่ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

· ประกาศปรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืน จากแกน ESG สู่การจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวมเชื่อมโยงทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนด ความมุ่งหมายสำคัญเป็นแกนการจัดการ (Issue-based strategy) 3 เรื่อง ได้แก่ การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน และการสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง

· เผยตัวอย่างผลลัพธ์การทำงานด้านความยั่งยืนที่สำคัญ ทั้งด้านการเสริมศักยภาพ การให้สินเชื่อที่มีคุณภาพและโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ควบคู่กับการส่งมอบองค์ความรู้และเครื่องมือจำเป็น ขับเคลื่อนโดยหลากหลายหน่วยธุรกิจที่ผสานความยั่งยืนในทุกการทำงาน รวมทั้งการผลักดันการลงทุนที่ยั่งยืน ผ่าน KAsset ด้วยกองทุน ESG Fund และ SRI Fund ที่มี AUM เป็นอันดับหนึ่ง

· เร่งเครื่องเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ ตามเป้าหมาย Net Zero Commitment ส่งมอบเม็ดเงินความยั่งยืนไปแล้วกว่า 173,000 ล้านบาท ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า พร้อมปรับเพิ่มเป้าหมายการให้สินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่าสองเท่า เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด”

ายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ มีทั้งปัจจัยภายในประเทศที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการแข่งขัน อาทิ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ EU CBAM ที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันครอบคลุมมูลค่าสินค้า 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ดังนั้นธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อนจะสร้างความได้เปรียบ

จากการประเมินปัจจัยรอบด้านที่เกิดขึ้น ธนาคารได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืน เพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสังคมได้ชัดเจนขึ้น จึงเปลี่ยนจากการดำเนินงานความยั่งยืนด้วยแกนสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG-based Strategy) ไปสู่ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนบนแนวทางใหม่ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงมุมมองทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนดความมุ่งหมายชูเป็นแกนกลางของการทำงาน (Issue-based Strategy)


ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแนวคิดใหม่แบบองค์รวม (Issue-based Strategy)

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพาทุกภาคส่วนเดินหน้าฝ่าคลื่นความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนธนาคารกสิกรไทย 2568 ถูกออกแบบบนแนวคิด Issue-based Strategy ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงทุกมิติทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กำหนดเป็นความมุ่งหมาย ที่ธนาคารมุ่งเน้นส่งมอบให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย 3 เรื่องหลัก ได้แก่

o การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น (Be a Most Trusted Bank) มุ่งเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้เสียในการก้าวผ่านความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตที่อย่างยั่งยืน ผ่านการบริการลูกค้า การกำกับดูแลกิจการ และการยึดมั่นในหลักจริยธรรม

o การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน (Reinforce Future-Ready Resilience) เสริมความยืดหยุ่นให้องค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความไม่แน่นอน และร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ในอนาคต ผ่านการบริหารความเสี่ยง การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาขีดความสามารถ

o การสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง (Enable Inclusive Growth) ส่งมอบพลังให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าถึงศักยภาพสูงสุดผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุมและทั่วถึง ผ่านการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างทั่วถึง การให้ความรู้และสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพ และการสร้างความเสมอภาคทางการเงิน

ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ได้ส่งเสริมให้ธนาคารกสิกรไทยสามารถขับเคลื่อนการเติบโตควบคู่กับการผสานมิติความยั่งยืนไปด้วยอย่างกลมกลืนในทุกการทำงาน มองเห็นโอกาสการส่งมอบผลลัพธ์เชิงบวกในหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างการทำงานของธนาคารที่ส่งมอบผลกระทบเชิงบวก | 1. การส่งเสริมศักยภาพเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่ง (Strengthening Capabilities to Enhance Resilience)

ธนาคารไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อหรือบริการทางการเงิน แต่ยังเป็นผู้เสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้ลูกค้า ธุรกิจ และสังคมมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง ด้วยการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ควบคู่กับการให้องค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

การส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ผ่านการปฏิรูปกระบวนการเครดิตอย่างครบวงจร บนการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก ควบคู่กับการผสานเทคโนโลยี Data & AI ส่งมอบสินเชื่อที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับศักยภาพของผู้รับ มีสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป และ Project Finance ผ่านการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ครบ 100% และเพิ่มเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) มีการส่งมอบโซลูชันการเงินที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การสร้างการเข้าถึงสินเชื่อบุคคลให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรายเล็กผ่าน KIV การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่าน KLeasing และการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือกผ่านโซลูชันเพื่อธุรกิจโดย KF&E ตลอดจนการเสริมสร้างการลงทุนที่ยั่งยืนผ่าน KAsset ที่เพิ่มโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่ขับเคลื่อนบนหลักการ ESG โดยปัจจุบัน KAsset ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน ESG Fund และ SRI Fund ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 3.89 หมื่นล้านบาท และ 3.79 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งมี Beacon Impact Fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวก

การให้ความรู้และการมอบเครื่องมือที่มากกว่าการเงิน ผ่านการดำเนินโครงการให้ความรู้ทางการเงิน ธุรกิจ และการผสานแนวคิดด้าน ESG เข้าไปในทุกจุด ทั้งการให้ความรู้ทางการเงินและไซเบอร์แก่ลูกค้าและสาธารณะผ่านแคมเปญ สติ ที่สามารถสร้างการรับรู้แก่ลูกค้าและประชาชนไปแล้วกว่า 16.4 ล้านราย การเผยแพร่บทความด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และแนวโน้มความยั่งยืนที่ทันต่อสถานการณ์โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่เข้าถึงผู้อ่านกว่า 6.58 ล้านราย การให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการ K SME Care และช่องทางต่าง ๆ รองรับผู้ประกอบการกว่า 1.8 ล้านราย การให้ความรู้การลงทุนภายใต้แบรนด์ K Wealth ที่มีการพัฒนาองค์ความรู้ผ่านความร่วมมือพันธมิตรระดับโลก รวมทั้งเทรนด์การลงทุน ESG มีผู้สนใจเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์กว่า 1.68 ล้านเพจวิว และมีการรับชมคลิปบนยูทูปกว่า 11.19 ล้านวิว อีกทั้งโครงการ SKILLKAMP ที่พัฒนาทักษะและศักยภาพด้านดิจิทัลแห่งอนาคต สำหรับนิสิต นักศึกษาและบุคคลทั่วไป และช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถเข้าถึงบุคลากรตรงกับความต้องการ ปัจจุบันมีคอร์สเผยแพร่ 355 คอร์สและมีผู้ลงทะเบียน 8,000 ราย และการส่งเสริมความรู้และเครือข่ายให้แก่สตาร์ทอัพผ่านโครงการ KATALYST โดยมีสตาร์ทอัพผ่านการเรียนรู้ในโปรแกรมแล้วจำนวน 155 ราย

ตัวอย่างการทำงานของธนาคารที่ส่งมอบผลกระทบเชิงบวก | 2. การเร่งเครื่องการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อส่งมอบอนาคตที่ยั่งยืน (Accelerating Climate Transition to Secure a Sustainable Future)

ธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์สู่ Net Zero มาตั้งแต่ปี 2564 และตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” ก้าวไป “เหนือกว่าการให้การสนับสนุนทางการเงิน” (Moving beyond finance) เพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันที่จำเป็นให้กับลูกค้า


การขับเคลื่อนธนาคารบนพันธกิจสู่ Net Zero สร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนี้

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคาร เพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero จากการดำเนินงานของธนาคารภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) โดยในปี 2567 ธนาคารสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 17.02% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 (ค.ศ.2020) จาก

การดำเนินโครงการต่างๆ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟครบทุกอาคารหลัก และสาขาอีก 161 แห่ง พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 354 คัน รวมทั้งได้รับการรับรองว่าเป็นองค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอนต่อเนื่องถึง 8 ปี (ปี 2561-2568)

การผลักดันให้พอร์ตโฟลิโอของธนาคารบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามกรอบที่ประเทศไทยกำหนดสอดคล้องกับเป้าหมาย NDC (Nationally Determined Contribution) และเร่งดำเนินการในส่วนที่สามารถทำได้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยธนาคารได้วางแผน กลยุทธ์รายอุตสาหกรรม (Sector Decarbonization Strategy) เพื่อเข้าไปควบคุมและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิด จำนวน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต้นน้ำ กลุ่มเหมืองถ่านหินประเภทเชื้อเพลิงให้ความร้อน กลุ่มซีเมนต์ กลุ่มอลูมิเนียม และกลุ่มยานยนต์ โดยพอร์ตโฟลิโออุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ามีระดับความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Intensity per GWh) ลดลง 26% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2563 (ค.ศ.2020)

การสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยการสนับสนุนทั้งด้านการเงิน ความรู้ และเทคโนโลยี ผ่านการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน โดยมียอดสะสมของสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนกว่า 173,231 ล้านบาท (ณ สิงหาคม 2568) และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2.74 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 39,000 คัน สินเชื่อเพื่ออาคารสีเขียวมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร สินเชื่อสำหรับโครงการทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนกว่า 500 โครงการ รวมถึงการดำเนินงานในมิติ Beyond Banking

ธนาคารได้ปรับเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมุ่งมั่นพัฒนา Beyond Banking Solution เพื่อส่งมอบ Climate Solution ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ลูกค้า และส่งเสริมการสร้าง Carbon Ecosystem ที่ครอบคลุมทุกมิติของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการปรับตัว พร้อมพัฒนาเครื่องมือ KClimate1.5 สำหรับการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก การจัดตั้ง Creative Climate Research Center เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และความร่วมมือเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน การริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อสร้าง Carbon Ecosystem ในสังคม เช่น Watt’s Up แพลตฟอร์มสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม Green Pass สำหรับการขอใบรับรอง RECs และแพลตฟอร์ม K-GreenSpace ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชัน Green Living ได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ธนาคารเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงร่วมกับพันธมิตรจากภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคการเงิน และภาควิชาการ จัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทย” (Thailand Climate Business Network: Thai CBN) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 34 องค์กร ร่วมกันผลักดันแนวปฏิบัติด้าน Climate ที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่ระดับ SME จนถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับประเทศ โดยเครือข่าย Thai CBN ได้จัดทำ E-Handbook for Greener SMEs และ White Paper – Climate Ecosystem Collaboration เพื่อส่งมอบให้ภาครัฐ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐในการเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วม

ส่งเสริมศักยภาพให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจเดินหน้าผ่านพ้นทุกความท้าทาย เติบโตต่อไปได้อีก

นายจงรักกล่าวตอนท้ายว่า ธนาคารกสิกรไทยดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง มีการบูรณาการยุทธศาสตร์ความยั่งยืนแบบองค์รวม สร้างผลกระทบเชิงบวกและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และเน้นย้ำว่าในทุกพันธกิจที่ธนาคารขับเคลื่อนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เชื่อมโยงกันในระบบนิเวศ สร้างรากฐานที่ยืดหยุ่น แข็งแกร่ง และมีคุณภาพให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล เพื่อให้ทุกชีวิตและทุกธุรกิจเดินหน้าผ่านพ้นทุกความท้าทายไปด้วยกัน เติบโตต่อไปได้อีกอย่างมั่นคงและยั่งยืน

]]>
1540714
“บลจ.กสิกรไทย” เปิดตัวบทวิจัย “KAsset Capital Market Assumptions” ขุมทรัพย์ข้อมูลแห่งใหม่ ตัวช่วยการลงทุนในอนาคต https://positioningmag.com/1509023 Mon, 03 Feb 2025 09:23:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1509023

ในยุคปัจจุบันประเทศไทยเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ภาวะสังคมผู้สูงอายุ ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งส่งผลต่อโอกาสและความเสี่ยงต่อผลตอบแทนการลงทุนในตลาดเงินทั้งของไทย และของโลก ซึ่งการลงทุนในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว

ในขณะเดียวกันผู้ลงทุนต่างพยายามมองหาโอกาสทางการลงทุน เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับพอร์ตของตัวเอง แต่ข้อจำกัดอย่างนึงที่พบเห็นได้บ่อยๆ นั่นคือ เมื่อปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงิน จะได้ชุดมุมมองการลงทุนในระยะสั้นกลับมาเท่านั้น  ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้น หรือ สินทรัพย์ต่างประเทศ

KAsset เป็นบลจ.แรกในไทยที่มองเห็นโอกาส และความต้องการของตลาดเป็นอย่างดี จึงได้จัดทำบทวิจัยอย่างเจาะลึก ถือเป็นการตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญในการมองแนวโน้มตลาดระยะยาวได้ชัดเจนกว่าบลจ.อื่นๆ สร้างความแตกต่างและเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งเลยก็ว่าได้ ​​

KAsset จึงเปิดตัวบทวิจัย “KAsset Capital Market Assumptions” (KCMA) ประจำปี 2568 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือกับ J.P. Morgan Asset Management  เป็นผลงานที่เกิดจากความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานร่วมกันของทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 คน จาก 4 ทีมบริหารการลงทุนหลักทั้งจากบลจ.กสิกรไทย และ J.P. Morgan Asset Management

บทวิจัย KCMA จัดทำขึ้นมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนไทยโดยเฉพาะ โดยต่อยอดมาจากบทวิจัย”Long-Term Capital Market Assumptions” (LTCMAs) ของJ.P. Morgan Asset Management ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาอย่างยาวนาน  ทั้งนี้ บทวิจัย KCMA เป็นชุดข้อมูลที่ครอบคลุมและละเอียดมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยนำเสนอมุมมองเชิงลึกทั้งในมิติของแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ผลตอบแทน และความเสี่ยงของสินทรัพย์กว่า 100 ประเภทในระยะเวลา 10-15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุน โดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน ผู้จัดการกองทุน หรือที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำ ได้นำบทวิจัยนี้ไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสายอาชีพของตัวเอง

ในส่วนของ KAsset เองก็ได้นำข้อมูลจากบทวิจัยนี้มาใช้บริหารกองทุน Multi-asset portfolio เช่น กองทุนในกลุ่ม K-WealthPLUS Series รวมถึงการนำมาใช้ในการวางแผนสินทรัพย์ให้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามกลุ่มช่วงอายุของสมาชิก (Life Path Solution) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างยั่งยืน

เรียกได้ว่าบทวิจัยชิ้นนี้เป็นก้าวสำคัญบทใหญ่ของวงการการลงทุนในประเทศไทย ที่มีการผนึกกำลังของกูรูแถวหน้าของเมืองไทย ที่มีความแข็งแกร่งด้านการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ ด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้สามารถใช้เป็นแผนที่นำทางสำหรับนักลงทุนในปัจจุบัน มองไปถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตระยะยาวได้อย่างแน่นอน

 

]]>
1509023
เพื่อโลกและอนาคต! “KAsset” ผนึกกำลัง “Lombard Odier” เสริมแกร่งศักยภาพผู้นำผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน https://positioningmag.com/1465416 Thu, 07 Mar 2024 09:45:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465416

เมื่อการลงทุนต้องก้าวให้ทันกระแสด้านความยั่งยืน “KAsset” ผู้นำการลงทุนด้านความยั่งยืนมากว่า 10 ปี จึงเลือกจับมือกับ “Lombard Odier” ผู้เชี่ยวชาญการบริหารสินทรัพย์ระดับโลก เพื่อคัดเลือกและจัดสรรผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่ส่งเสริมด้านความยั่งยืน มุ่งเป้าตั้งกองทุน ESG มูลค่า AUM วมกว่า 30,000 ล้านบาทภายในปี 2569

“การลงทุนอย่างยั่งยืน” เป็นนโยบายที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset ให้ความสำคัญมาตั้งแต่ปี 2556 โดยเริ่มนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาปรับใช้ในกระบวนการลงทุน ถือเป็นส่วนหนึ่งในการคัดเลือกสินทรัพย์และสร้างพอร์ตลงทุนของ KAsset

จนถึงปี 2564 KAsset มีการออก “กองทุน ESG” กองทุนแรกในอุตสาหกรรมที่ได้รับการรับรองเป็น “กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน” (SRI Fund) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หลังจากนั้น SRI Fund ของ KAsset มีการเพิ่มจำนวนต่อมาจนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 7 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท สะท้อนภาพการดำเนินนโยบายการลงทุนอย่างยั่งยืนของ KAsset มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเมื่อ KAsset จะขยายตัวต่อในเส้นทางการลงทุนอย่างยั่งยืน “อดิศร เสริมชัยวงศ์” ประธานกรรมการบริหาร KAsset จึงประกาศจับมือพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในด้านนี้คือ “Lombard Odier” ผู้นำด้านการบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งระดับโลก เพื่อเข้ามาช่วยให้ความรู้และเป็นที่ปรึกษาในการจัดพอร์ตการลงทุนด้าน ESG ของ KAsset ที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต

(ซ้าย) “วินเซนต์ มาเนียนาต์” Limited Partner, Asia Regional Head and Global Head of Strategic Alliances, Lombard Odier และ (ขวา) “อดิศร เสริมชัยวงศ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset

ทำไมต้องลงทุนเพื่อความยั่งยืน?

“วินเซนต์ มาเนียนาต์” Limited Partner, Asia Regional Head and Global Head of Strategic Alliances, Lombard Odier เป็นผู้อธิบายถึงประเด็นหลักว่า “ทำไมต้องลงทุนเพื่อความยั่งยืน?”

มาเนียนาต์ฉายภาพว่า Lombard Odier เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่อยู่ในธุรกิจมาได้นาน 227 ปี เพราะมีการ “Rethink” มองกระแสโลกที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ และ Lombard Odier พบว่าในยุคนี้เมกะเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นคือ “CLIC Economy”

“CLIC Economy” หมายถึง เศรษฐกิจที่ตั้งมั่นอยู่บน 4 แนวทางการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ คือ

  1. Circular – ผลิตภัณฑ์สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้เพื่อลดขยะและลดการใช้ทรัพยากรโลก
  2. Lean – การผลิตที่สร้างประสิทธิภาพสูงสุดจากการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด
  3. Inclusive – ธุรกิจที่คำนึงถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น พนักงาน สิ่งแวดล้อม
  4. Clean – ธุรกิจที่มุ่งสู่ ‘Net-Zero Emission’ ลดและงดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม

มาเนียนาต์มองว่ากระแสเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมจากทุกภาคส่วน ทั้งฝั่งรัฐบาลที่จะเห็นได้ว่าวันนี้แต่ละประเทศมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงฝั่งผู้บริโภคเองก็รณรงค์ภาคประชาชนให้ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม เช่น ลดใช้พลาสติก เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

นั่นทำให้กระแสนี้จะสร้าง “จุดตัด” ขึ้นในอนาคต บางบริษัทที่ไม่ได้มีการลงทุนหรือเปลี่ยนแปลงให้สอดรับกับกระแสด้านความยั่งยืนก็อาจจะ “อยู่ไม่รอด” ในที่สุด เพราะถูกกีดกันจากนโยบายรัฐหรือผู้บริโภคที่มีความตระหนักรู้มากขึ้น

“พูดให้ง่ายขึ้นคือ หากเราไปลงทุนในบริษัทที่ไม่ทันกระแสนี้ เช่น ไม่ลงทุนเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้ดีต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นบริษัทรถยนต์ที่ไม่ส่งเสริมเทคโนโลยีอื่นนอกจากรถยนต์สันดาป อนาคตบริษัทเหล่านี้อาจถูกกีดกันทางการค้า และผู้ลงทุนจะเกิดความเสี่ยงจากการลงทุนผิดบริษัท” อดิศร แม่ทัพใหญ่ KAsset กล่าวเสริม


เลือกบริษัทที่ถูกต้องในกระแสความยั่งยืน

อดิศรย้ำว่า ความแตกต่างระหว่างบริษัทที่ลงทุนด้านความยั่งยืนกับที่ไม่ลงทุนอาจจะยังเห็นไม่ชัดในวันนี้ แต่ปัจจัยนี้จะมาถึงในวันข้างหน้า

นั่นทำให้ KAsset ต้องการเป็นผู้นำการสร้างผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่สอดคล้องกับกระแส แต่โจทย์ข้อต่อมาที่เกิดขึ้นคือต้อง “มองให้ออก” ว่าบริษัทใดที่เป็นตัวจริงด้านความยั่งยืน ทำให้ KAsset จับมือกับ Lombard Odier เพื่อใช้องค์ความรู้และประสบการณ์ของ Lombard Odier ในการสร้างเกณฑ์และคัดเลือกบริษัทที่น่าลงทุนเพื่อคำนึงถึงความยั่งยืน

ทั้งนี้ เมื่อปี 2566 KAsset ได้ชิมลางออกกองทุนที่ใช้กลยุทธ์ของ Lombard Odier ในการคัดกรองด้านความยั่งยืนเป็นกองทุนแรกคือ “กองทุนเปิดเค Target Net Zero หุ้นไทย ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-TNZ-ThaiESG)” มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (AUM) 1,400 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 1 มี.ค. 2567) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นในกลุ่ม SET100 TRI ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG และล่าสุดได้ออกกองทุน แตกเป็นประเภทสะสมมูลค่า หรือ K-TNZ-A(A) เพื่อโอกาสเติบโตระยะยาวไปกับบริษัทที่มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกอย่างชัดเจนในดัชนี SET 100 TRI เช่นกัน

ทิศทางของ KAsset หลังจับมือกับ Lombard Odier ในด้านความยั่งยืน จะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ “กองทุน ESG” มากขึ้นอีก วางเป้ามี AUM ของกองทุน ESG รวมกว่า 30,000 ล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งจะคิดเป็นสัดส่วน 3% ของพอร์ตรวมของ KAsset

โดยจะเน้นไปที่การลงทุนในบริษัทที่มีการบริหารจัดการการลดก๊าซเรือนกระจกได้ดีและมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในอนาคต


วางแผนดึงความสนใจทั้งนักลงทุนและบริษัท

KAsset ให้ข้อมูลด้วยว่า ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนในผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนในประเทศไทยยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับระดับโลกที่มีการลงทุนในผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนคิดเป็นสัดส่วน 14% ของตลาดรวม และคาดว่าสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 21% ภายใน 2 ปี

ดังนั้น KAsset จะส่งเสริมฝั่งผู้ประกอบการให้เปลี่ยนแปลงกระบวนการภายในบริษัทเพื่อไปสู่ความยั่งยืน ทำให้เกิดตัวเลือกการลงทุนเพิ่มขึ้นในตลาด รวมถึงจะสนับสนุนฝั่งนักลงทุนให้เห็นความสำคัญมากขึ้นกับการลงทุนในกองทุน ESG ที่จะช่วยทั้งปิดความเสี่ยงด้านการลงทุนในระยะยาวและได้เป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“เราอยากจะสร้างความต้องการมากขึ้นในกลุ่มนักลงทุน ไม่จำเป็นต้องมีกองทุน ESG ครบ 100% ในพอร์ต แต่อยากจะฝากให้นักลงทุนเริ่มมีติดพอร์ตบ้าง เริ่มมามีจุดตั้งต้นด้วยกันกับ KAsset” อดิศรกล่าวทิ้งท้าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://www.kasikornbank.com/k_3Ik3DfH

]]>
1465416
KAsset เปิดตัวพันธมิตรใหม่ “เจ.พี. มอร์แกน” เติมเต็มกองทุนรวมประเภท Multi Asset Fund ให้ลูกค้าชาวไทย https://positioningmag.com/1458218 Wed, 10 Jan 2024 09:49:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458218 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (KAsset) ได้เปิดตัวพันธมิตรใหม่ซึ่งเป็น บลจ. ระดับโลกอย่าง “เจ.พี. มอร์แกน” โดยการผนึกกำลังครั้งนี้เน้นไปยังกองทุนรวมประเภท Multi Asset Fund ให้ลูกค้าชาวไทย และยังรวมถึงผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ที่เตรียมนำเสนอให้กับลูกค้าในอนาคต

KAsset ได้ประกาศเปิดตัวพันธมิตรใหม่ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) โดยความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่ายนั้นไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ที่เตรียมนำเสนอให้กับลูกค้าในอนาคต การให้คำแนะนำด้านการลงทุนแก่นักลงทุนชาวไทย ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง บลจ.

ความร่วมมือดังกล่าวนั้นชี้ให้เห็นโอกาสของตลาดกองทุนรวม หรือแม้แต่การบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยยังเปิดกว้างอีกมาก

แดน วัตกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทีมงานของ JPMAM รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ KAsset ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้นักลงทุนไทย โดยมองว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีความคึกคักและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMAM ยังได้กล่าวเสริมว่า “ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกของ JPMAM ทำให้พวกเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชันการลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้ผู้ลงทุนไทย และเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจของ JPMAM ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่มีการลงทุนในกองทุนรวมเกือบ 1 ล้านราย (ณ วันที่ 25 ธ.ค. 2023) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KAsset และ JPMAM ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตรงความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย จะช่วยยกระดับประสบการณ์การลงทุนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

อดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร KAsset กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ JPMAM ถือเป็นการยกระดับการให้บริการของเรา ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการด้านที่ปรึกษาการลงทุน รวมถึงตอบโจทย์ Pain Point ของนักลงทุนในช่วงตลาดผันผวน

ผู้บริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (ที่ 1-2 จากด้านซ้าย) และ เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ (ที่ 1-2 จากด้านขวา) – ภาพจาก KAsset

ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นความร่วมมือสำคัญก็คือกองทุนรวมประเภท Multi Asset Fund ซึ่งมีการลงทุนในหลายสินทรัพย์ในกองทุนเดียว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในหลากหลายตลาดหุ้นทั่วโลก ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งประธานกรรมการบริหาร KAsset ชี้ว่าสัดส่วนของนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนประเภทนี้ในต่างประเทศมีสัดส่วนมากถึง 20% ในขณะที่ประเทศไทยนั้นถือว่าสัดส่วนนั้นน้อยมาก

ประธานกรรมการบริหาร KAsset ยังกล่าวเสริมว่า JPMAM ถือเป็นพันธมิตรที่จะเข้ามาเติมเต็ม โดยนำเสนอกองทุนในรูปแบบ Multi Asset Fund ที่มีจุดเด่นในการลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่ดี และมีผลตอบแทนที่ดีในระดับหนึ่งโดยที่ผ่านมาอยู่ระดับ 3-4% ต่อปี

ทางด้านความร่วมมือด้านองค์กรนั้นมีตั้งแต่การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง 2 องค์กร หรือแม้แต่การใช้ข้อมูลจาก JPMAM นำเสนอให้กับลูกค้าของ KAsset เพื่อจะทำให้เห็นภาพรวมในการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น

ในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมามีข่าวลือหลายครั้งเกี่ยวกับอนาคตของ KAsset ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขายกิจการ หรือแม้แต่หาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้ชี้แจงในประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้มุมมองของธนาคารฯ นั้นมองว่าธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เป็นหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญของธนาคาร

ขณะที่โมเดลการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ JPMAM เฉกเช่นการจับมือของ KAsset มีหลายประเทศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในออสเตรเลีย หรือแม้แต่ในแอฟริกาใต้ โดยผู้บริหารของ JPMAM ชี้ว่าการจับมือรอบนี้แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่โมเดลในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ก็จะนำมาใช้ในประเทศไทยเช่นกัน

ความร่วมมือดังกล่าวนี้ KAsset ตั้งเป้าหมายมีสินทรัพย์จากการลงทุนในกองทุน Multi Asset Fund มากถึง 100,000 ล้านบาทใน 3 ปี และคาดว่าจะยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติมหลังจากนี้ด้วย

]]>
1458218