ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์ หรือ ก้อง หนึ่งในนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ที่จับทำเลย่านสยามสแควร์ได้อยู่หมัดด้วยการปั้น กีกี้ บิวตี้ สเปซ (KIKI Beauty Space) ลักชัวรี่ บิวตี้ ซาลอนให้แจ้งเกิดได้ในใจกลางสยาม โดยที่ก้องภพไม่ใช่นักธุรกิจหน้าใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นพี่น้องกับ “นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์” หนึ่งในผู้ก่อตั้งเครือรวยไม่หยุด กรุ๊ป ผู้บริหารแบรนด์ดังอย่าง Fire Tiger และ nice two Meat u นั่นเอง
จุดเริ่มต้นของ KIKI Beauty Space มาจากพี่สาว (นันทนัช) ทำธุรกิจในย่านสยามสแควร์อยู่แล้ว และได้เช่าพื้นที่ที่ตึกหนึ่งมา จึงให้ก้องภพเริ่มทำธุรกิจ
ก้องภพได้เรียนมาทางด้านสถาปัตยกรรม แล้วต่อปริญญาโททางด้าน Business Consultant จากนั้นได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงิน เรื่องการลงทุนต่างประเทศ หลังจากที่ทำงานประจำได้สักพักก็ได้ออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเองในวัย 26 ปี ได้รวบรวมสกิลจากที่เรียนมาทั้งด้านศิลปะ รวมไปถึง Design Thinking มาคิดอย่างเป็นระบบในธุรกิจ
ก้องภพได้เริ่มเล่าว่า ในตอนแรกไม่ได้เริ่มเปิด KIKI Beauty Space เสียทีเดียว แต่เป็นการทำร้านมัลติแบรนด์สโตร์ก่อน เริ่มตั้งแต่ช่วงปี 2562 เป็นช่วงก่อนมีการระบาดของ COVID-19 ได้ 2 เดือน พอได้พื้นที่เช่ามาก็ลองทำการสำรวจพื้นที่ว่าในโซนนั้นเป็นเดสติเนชั่นของสยาม คนเดินผ่านเยอะ เลยอยากทำอะไรที่เข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม จึงเริ่มจากคอนเซ็ปต์สโตร์ที่มีทั้งสินค้าแฟชั่นหลายแบรนด์ และมีบริการความสวยความงามด้วย ทั้งทำเล็บ สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง สกินแคร์ เน้นไปทางสายเกาหลี
แต่พอมีการระบาดของ COVID-19 ก็ทำการปรับแผนใหม่ ประกอบกับการได้พื้นที่เพิ่มจึงทำการรีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด ตัดธุรกิจส่วนสินค้ามัลติแบรนด์ออก เปลี่ยนเป็นบริการเพียงอย่างเดียว โฟกัสที่บริการซาลอนผม วางจุดยืนเป็นลักชัวรี่ บิวตี้ ซาลอน พอหลังจากช่วงล็อกดาวน์ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะผู้คนอัดอั้นกับการทำผมอย่างมาก
ในตอนนั้นใช้งบลงทุน 30 ล้าน มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่หลายรอบ รีโนเวตทั้งหมด 4 รอบ จนปัจจุบันได้พื้นที่เต็มทั้งหมด 2 คูหา 4 ชั้น พื้นที่รวม 300 ตารางเมตร
โดยราคาค่าบริการทำสีผมเริ่มต้น 4,000-30,000 บาท ทรีทเมนต์เริ่มต้น 3,000-8,000 บาท และต่อผม เริ่มต้นที่ 15,000 บาท
ด้วยความที่ก้องภพเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมมา จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบเป็นพิเศษ แม้ร้านจะมีภาพลักษณ์ลักชัวรี่ แต่ดีไซน์ต้องให้ดูจับต้องได้ มินิมัลแบบโมเดิร์น เปลี่ยนมุมมองที่คนมองร้านซาลอนในอดีต ทำให้ลูกค้าเวลาเข้าร้านจะรู้สึกเป็นกันเอง
ส่วนชื่อ KIKI (กีกี้) มีที่มาว่า ต้องการอยากได้ชื่อที่คนเรียกง่าย จดจำง่าย และต้องขึ้นต้นด้วยตัว K เหมือนชื่อตัวเอง เลยเอาชื่อจากที่คุณแม่ชอบเรียกว่า “ก้องกี้” มาตัดเหลือกีกี้
ปัจจุบันก้องภพมีธุรกิจในเครือ 3 กลุ่มด้วยกัน มีกิมมิกในการตั้งชื่อบริษัทไม่แพ้เครือรวยไม่หยุด กรุ๊ป ได้แก่
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมายังมีการขยายแบรนด์ใหม่อย่างกีกี้ เอ็กซ์ (KIKI X) ที่สยามสแควร์ซอย 3 เพื่อเป็นเดสติเนชั่นแห่งใหม่ที่ต่อยอดบริการความสวยตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยคำว่า X มาจาก extension หมายถึงการต่อเติม รวมบริการความงามเกี่ยวกับการต่อทั้งหมด ได้แก่ ต่อผม ต่อเล็บ รวมถึงต่อขนตา พร้อมกันนี้ยังแตกไลน์แบรนด์แฮร์แคร์น้องใหม่เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มแมสโดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือ KBS ฟิลเลอร์ผมที่คัดสรรสุดยอดสารสกัดจากทั่วโลก
“ด้วยความที่ธุรกิจของเราเริ่มต้นจากลักชัวรี่ บิวตี้ ซาลอน ทำให้เราเห็น Pain Point ของคนไทยคือปัญหาสุขภาพผมโดยเฉพาะกลุ่มที่ทำสีผมหรือผมโดนสารเคมี จึงตั้งใจนำความรู้และประสบการณ์ที่มีในการทำซาลอนระดับพรีเมียมมาต่อยอดสู่นวัตกรรมฟิลเลอร์ผมเป็นรายแรกของไทย ใช้เวลาอยู่ร่วมปีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์แฮร์แคร์ที่มีคุณภาพจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ เพราะอยากให้ผลิตภัณฑ์ของเราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในทุกเซกเมนต์โดยเฉพาะกลุ่มแมส ซึ่งจะเน้นวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ทั้งช่องทางโซเชียลหลักของแบรนด์ รวมถึงช่องทางอีมาร์เก็ตเพลสต่างๆ”
รวมไปถึงธุรกิจร้านอาหาร ด้วยการรีแบรนด์ร้านอาหารไทยในตำนานอย่าง KOKO (โกโก้) อยู่คู่สยามมาเกือบ 30 ปี เติมพอร์ตธุรกิจ F&B
ก้องภพเล่าว่า ได้เริ่มเทกโอเวอร์ร้าน KOKO ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ปี 2566 เนื่องจากพี่สาวที่ทำธุรกิจในสยามอยู่แล้ว มาทานข้าวที่ร้านแล้วเจอเจ้าของร้านที่ตอนนี้อายุ 70 ปีแล้ว แต่เริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้ทำต่อไม่ไหว แล้วไม่มีทายาทที่ดูแลกิจการต่อ แต่ก็ไม่อยากทิ้งแบรนด์ จึงตัดสินใจเข้าซื้อกิจการแล้วรีแบรนด์ใหม่ทั้งระบบ ทั้งโลโก้ แบรนดิ้ง ได้เชฟ และสูตรอาหารเดิม พร้อมกับเปลี่ยนการอ่านชื่อร้านจาก โคโค่ เป็น โกโก้ เพื่อให้คล้องกับร้าน กีกี้
ปัจจุบัน KIKI Beauty Space มีทั้งหมด 2 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์ และเมกา บางนา รวมไปถึง KIKI X อีก 1 สาขา ก้องภพมองว่าการมี 3 ธุรกิจในตอนนี้ถือว่าโอเคแล้ว อยากโฟกัสให้แข็งแรงมากกว่านี้ ยังไม่เร่งในการเปิดแบรนด์ใหม่
“ร้านกีกี้เริ่มจากมีพนักงานแค่ 3 คน จนตอนนี้มีพนักงาน 100 กว่าคนแล้ว การทำธุรกิจคือ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง และส่วนยากที่สุดก็คือส่วนที่เราควบคุมไม่ได้ เราพยายามทำบริการให้เป็น One Stop Service มากที่สุด ซึ่งลูกค้าก็เกิดจากการบอกปากต่อปากกันเอง”
ในตอนนี้ถ้าจะเรียก KIKI Beauty Space เป็นอาณาจักรความงาม 100 ล้านก็ไม่ผิดมากนัก มีการตั้งเป้าเติบโต 500% ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้ด้วย
ปัจจุบันแบ่งสัดส่วนรายได้ ธุรกิจบิวตี้ 80% และธุรกิจอาหาร 20% สัดส่วนลูกค้าผู้หญิง 60% และผู้ชาย 40% เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้มีเพียง 10% เท่านั้น มีการตั้งเป้าว่าในอนาคตจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของร้านอาหารเป็น 50% ให้ได้
]]>