LA GLACE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 02 Jul 2025 13:32:31 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 6 นักธุรกิจรุ่นใหม่ ปั้นธุรกิจติดสปีด กวาดรายได้หลัก 100-1,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1528624 Wed, 02 Jul 2025 10:12:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528624 ในโลกธุรกิจ เรามักจะคุ้นชินกับการเห็น “ผู้บริหาร” ที่ประสบความสำเร็จในวัยกลางคนเป็นต้นไป แต่ในปัจจุบันเริ่มมี ”นักธุรกิจรุ่นใหม่“ อายุน้อยกว่า 35 ปี ขับเคลื่อนองค์กรโดยทำรายได้ทะลุหลัก 100-1,000 ล้านบาท มากขึ้น

สั่งสมประสบการณ์แต่เด็ก กล้าที่จะแตกต่าง

หนึ่งในชื่อที่ถูกหยิบยกเรื่องการประสบความสำเร็จแต่เด็ก และทำแบรนด์ได้แมสทั่วไทย คือ “คุณเฟิร์น – นัทธมน พิศาลกิจวนิช“ เจ้าของร้านสุกี้ตี๋น้อย

ในวัยเด็ก คุณเฟิร์นคลุกคลีกับธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว สิ่งนี้ช่วยบ่มเพาะประสบการณ์และซึมซับระบบร้านอาหาร และทำให้สนใจในธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก

ส่วน “สุกี้ตี๋น้อย” เกิดจากคุณเฟิร์นมองเห็นโอกาสในตลาดสุกี้บุฟเฟต์ ยังไม่มีร้านที่ทำราคาเข้าถึงง่าย และคุณภาพดี จึงปิ๊งไอเดียสร้างความแตกต่าง เหนือคู่แข่งด้วยจุดนี้

ขณะที่ทำเลร้านที่มักเลือกจุดที่มีที่จอดรถเยอะ และมีการเปิดร้านยันตีสาม ผนวกกับราคาเข้าถึงง่ายเพียง 219 บาท แต่คุณภาพอาหาร-เมนูหลากหลาย ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า เกิดการบอกต่อจนร้านติดกระแส จนรายได้เติบโตทุกปี

เฟิร์น สุกี้ตี๋น้อย
เฟิร์น – นัทธมน พิศาลกิจวนิช

ปี 2563

  • รายได้ 1,223 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท

ปี 2564

  • รายได้ 1,572 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 147 ล้านบาท

ปี 2565

  • รายได้ 3,976 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 591 ล้านบาท

ปี 2566

  • รายได้ 5,262 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 907 ล้านบาท

ปี 2567

  • รายได้ 7,075 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 1,168 ล้านบาท

จากนักศึกษา ขายซูชิชิ้นละ 10 บาท สู่นักธุรกิจพันล้าน

จากจุดเริ่มต้นอยากริเริ่มธุรกิจในวัยเรียน “คุณชาร์ป – ชนวีร์ หอมเตย” นักศึกษาปีที่ 3 ในขณะนั้น ได้ลงขันกับ “คุณมิ้ง – ศุภณัฐ สัจจะรัตนกุล” หลักแสนบาท เปิดร้านซูชิคุณภาพดี ชื่อ Shinkanzen Sushi ในราคาเริ่มต้นคำละ 10 บาท (ราคา ณ ช่วงเวลานั้น) หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

จากการสังเกตเห็นว่า สมัยนั้นไม่มีร้านซูชิคุณภาพดีทำเลมหาวิทยาลัย หากอยากกินต้องไปถึงห้างฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ก่อนขยายไปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจาะกลุ่มลูกค้านักศึกษาเป็นหลัก แต่พบเพนต์พอยต์สำคัญ แม้จะขายดี แต่ช่วงปิดเทอมยอดขายตกฮวบ

จุดเปลี่ยน คือ การเปิดสาขายูเนี่ยนมอลล์ ได้กลุ่มลูกค้าวัยทำงาน และกลุ่มครอบครัวเพิ่ม ทำให้การเปิดสาขาถัดไปไม่จำเป็นต้องยึดหัวหาดทำเลมหาวิทยาลัยต่อไป จึงเริ่มเปิดสาขากลางเมือง สยามสแควร์ จนมีมากกว่า 60 สาขาในปัจจุบัน ส่งผลให้ยอดขายร้านเติบโตต่อเนื่อง

ชาร์ป ชนวีร์ หอมเตย Shinkanzen Sushi

ปี 2565

  • รายได้ 797 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 63 ล้านบาท

ปี 2566

  • รายได้ 1,414 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 116 ล้านบาท

ปี 2567

  • รายได้ 2,137 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 226 ล้านบาท

 

จากพ่อค้ากางเกง เงินทุน 8,000 บาท สู่ “ยืดเปล่า” เสื้อยืดรายได้ 800 ล้านบาท

“คุณตอน – ทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยว” เจ้าของแบรนด์เสื้อยืด “ยืดเปล่า” เป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจดาวรุ่งรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้มีต้นทุนตั้งแต่ต้น และต้องหาเงินส่งตัวเองเรียน จนริเริ่มการค้าขายตั้งแต่อายุ 19 ปี

โดยเงินทุนก้อนแรก 8,000 บาท ใช้ลงทุนซื้อกางเกงบ็อกเซอร์และกางเกงขาสั้น จากโรงเกลือมาขายที่หน้า ม.รามคำแหง แรก ๆ ขายได้วันไม่กี่ร้อยบาท จนไต่มาเป็นวันละ 1,000 บาท

นำไปสู่การย้ายมาเช่าเปิดหน้าร้านที่ตลาดนัดจตุจักร เริ่มทำแบรนด์กางเกงบ็อกเซอร์ “Richesboxer” ก่อนรีแบรนด์เป็น “ทุกตอน” แต่เจอคนอ่านไม่ออกจึงเปลี่ยนเป็น “บ๊อกปะ” จากวลีที่ลูกค้าชอบถามกันว่า ‘เอาบ๊อกปะ’ แต่ท้ายสุดตลาดกางเกงบ็อกเซอร์ก็เข้าสู่จุดอิ่มตัว

ทำให้คุณตอน เริ่มเข้าสู่ธุรกิจเสื้อยืด โดยทำแบรนด์แรกชื่อ “Riccop” ต่อมาจึงสร้างแบรนด์ใหม่ชื่อ “ยืดเปล่า” (YUEDPAO) ในสโลแกน ‘ยืดเปล่า ยังง๊ายก็ไม่ย้วย’ เน้นขายเสื้อยืดผลิตจากผ้า Cotton ผสม Polyester ซึ่งมีคุณสมบัติยับยาก สวมใส่สบาย สะดวก ผ้าอยู่ทรงไม่ต้องรีด ในราคาเริ่มต้นเพียง 100 บาท ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนบวกกับราคาเข้าถึงง่าย ทำให้แบรนด์ขยายตัวต่อเนื่อง

ตอน – ทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยว เจ้าของยืดเปล่า

ปี 2563

  • รายได้ 117 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 1.7 ล้านบาท

ปี 2564

  • รายได้ 218 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 1.8 ล้านบาท

ปี 2565

  • รายได้ 506 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 18 ล้านบาท

ปี 2566

  • รายได้ 802 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ 74 ล้านบาท

 

นักแสดงที่ชอบรับบทนักธุรกิจร้อยล้าน กับบทบาท ”เถ้าแก่น้อย“ ในชีวิตจริง

เราอาจคุ้นเคยกับ “คุณพีช – พชร จิราธิวัฒน์” ในฐานะทายาทตระกูลดังเจ้าของอาณาจักรเซ็นทรัล หรือกระทั่งในบทบาทนักแสดง ที่มักจะได้บทคนรวย/นักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ‘ต๊อบ – วัยรุ่นพันล้าน‘ หรือเรื่องล่าสุด ‘เคน ซีอีโออีซี่เอ็กซ์เพลส – สงครามส่งด่วน‘

แต่ในชีวิตจริง คุณพีช ก็เป็นเถ้าแก่น้อย ผ่านการเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และเป็นหนึ่งใน คณะกรรมการบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือแฟรนไชส์ Potato Corner จากฟิลิปปินส์มาเปิดในประเทศไทย

Potato Corner โด่งดังได้จากการปรับรสชาติ (R&D) เข้ากับรสนิยมคนไทย ทำเลที่ตั้งในศูนย์การค้าใหญ่ ย่าน ทราฟฟิกและกำลังซื้อสูง แต่ใช้พื้นที่ไม่มาก และมีราคาเหมาะสมไม่แพงจนเกินไป บวกกับการตลาดที่ได้คุณพีช    เข้ามาช่วย ทำให้เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันรายได้โปเตโต้คอนเนอร์ ยังคงเติบโตเรื่อย ๆ

ปี 2563

  • รายได้รวม 414 ล้านบาท
  • กำไร 34 ล้านบาท

ปี 2564

  • รายได้รวม 414 ล้านบาท
  • กำไร 1.71 ล้านบาท

ปี 2565

  • รายได้รวม 568 ล้านบาท
  • กำไร 25 ล้านบาท

ปี 2566

  • รายได้รวม 652 ล้านบาท
  • กำไร 37 ล้านบาท

ปี 2567

  • รายได้รวม 790 ล้านบาท
  • กำไร 62 ล้านบาท

นักธุรกิจ Gen Z จากเคยขาดทุนเพราะอีโก้ สู่แบรนด์บิวตี้ขวัญใจวัยรุ่น

เส้นทางชีวิตของ “คุณไอติม – เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์“ เจ้าของแบรนด์ LA GLACE สร้างชื่อจากการเป็นเน็ตไอดอลทำคอนเทนต์ด้านความงาม รีวิว และชีวิตประจำวันทั่วไป ในชื่อ ‘ไอติมเบบี้’ (ITIM.BAEBIE)

กระทั่งในวัยมหาวิทยาลัย คุณไอติม อยากหารายได้พิเศษ จึงริเริ่มทำธุรกิจในสิ่งที่ตนเองถนัด คือ “ธุรกิจความงาม“ ผ่านการทำเบสโทนอัพ ขยายมาสู่สบู่ไข่ คลีนซิ่ง และโทนเนอร์

จุดเปลี่ยนและบทเรียนสำคัญ มาช่วงอายุ 23 ปี กำลังไฟแรง ช่วงนั้นสินค้าอะไรก็ขายดี เรียกได้ว่ามีอีโก้เต็มถัง จึงนำเงินทุกบาททุกสตางค์ขยายไลน์สินค้าสู่ ลิปสติก แต่ถูกโรงงานจีนยัดไส้สินค้า ทำให้ไม่สามารถขายได้เลย ส่งผลให้ขาดทุนครั้งใหญ่ 20 ล้านบาท ทำให้ต้องขายรถ และทำกระทั่งขายเสื้อผ้ามือสอง ขายกระเป๋าหลักร้อย และบวกกับโดนดราม่าในโซเชียลมีเดีย เรื่องขายสินค้าแพง และใช้งานยาก จนทำให้คุณไอติมเคยคิดอยากเลิกทำแบรนด์บิวตี้

ทว่าเธอไม่อยากให้สิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ต้องติดตัวไปตลอดชีวิต จึงค่อย ๆ แก้ไขความผิดพลาด และพิสูจน์ตัวเอง พร้อมเดินหน้าแบรนด์ LA GLACE ต่อ จนในที่สุดแบรนด์ก็ติดตลาด ด้วยสินค้าสร้างชื่ออย่าง บลัชดำ และ TONER PADS ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

“คุณไอติม – เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์“ เจ้าของแบรนด์ LA GLACE

ปี 2565

  • รายได้ 39 ล้านบาท
  • กำไร 1.65 ล้านบาท

ปี 2566

  • รายได้ 401 ล้านบาท
  • กำไร 108 ล้านบาท

ปี 2567

  • รายได้ 420 ล้านบาท
  • กำไร 37 ล้านบาท

Love Potion แบรนด์ที่ปังด้วยโซเชียล

จุดเริ่มต้นของ “คุณก้าด – ณัฐชยานันท์ สุขวัฒนาพร” หรือ ซ้อก้าด เจ้าของแบรนด์ Love Potion ไม่ได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบ เริ่มต้นด้วยการติดลบจากครอบครัวประสบปัญหาธุรกิจจนล้มละลาย และคุณก้าดต้องหารายได้ตั้งแต่สมัยเรียน โดยเริ่มจากการขายเคสมือถือที่รับมาจากสนามเสือป่า

แต่ด้วยความชื่นชอบด้านความงามและการดูแลตัวเอง จึงได้ก่อตั้งแบรนด์ Love Potion ขึ้นในปี 2557 มีสินค้าตัวแรกเป็นสบู่ Grape Soap ก่อนจะขยายไลน์สินค้าสู่เซรั่ม ลิปออย น้ำหอม และชาเขียว

กลยุทธ์ที่ทำให้ Love Potion ติดตลาด ส่วนหนึ่งมาจาก ซ้อก้าดใช้ตัวเองเป็น Personal Branding อย่างเต็มตัว ขณะที่คอนเทนต์มีทั้งกิจวัตรประจำวัน การแต่งตัวแฟชั่น รวมไปถึงการพรีเซนต์สินค้าด้วยตนเอง ทั้งลิป ออย บลัช น้ำหอม

ประกอบกับ การตลาดที่ไม่เหมือนใคร สร้างกระแสและเป็นไวรัลบ่อยครั้ง เช่น การไลฟ์สดขายสินค้าราคาถูก 5 บาท 10 บาท หรือการเลือก ‘พี่กร ไม้กวาด’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์น้ำหอม ซึ่งแตกต่างจากแบรนด์ทั่วไปที่มักใช้คนดัง ทำให้เกิดคำถามและกระแสพูดถึงอย่างมาก การเลือกพรีเซ็นเตอร์ด้วยความจริงใจนี้ทำให้สินค้าน้ำหอมขายหมดใน 11 วินาที ทำให้ Love Potion มีการเติบโตของรายได้และกำไรแบบก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ซ้อก้าด love potion
“คุณก้าด – ณัฐชยานันท์ สุขวัฒนาพร” เจ้าของแบรนด์ Love Potion

ปี 2563

  • รายได้รวม 7.5 ล้านบาท
  • กำไร 4,795 บาท

ปี 2564

  • รายได้รวม 12 ล้านบาท
  • กำไร 1.06 ล้านบาท

ปี 2565

  • รายได้รวม 55 ล้านบาท
  • กำไร 14 ล้านบาท

ปี 2566

  • รายได้รวม 154 ล้านบาท
  • กำไร 34 ล้านบาท

ปี 2567

  • รายได้รวม 454 ล้านบาท
  • กำไร 84 ล้านบาท
]]>
1528624
LA GLACE เครื่องสำอางที่บริหารโดย Gen Z ด้วยงบลงทุน 70,000 บาท ตอนนี้กำลังจะมีรายได้พันล้าน!   https://positioningmag.com/1526983 Mon, 23 Jun 2025 04:16:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1526983 LA GLACE แบรนด์เครื่องสำอางขวัญใจชาว Gen Z ที่บริหารโดยคน Gen Z ปีนี้ทำตลาดครบ 8 ปีแล้ว กำลังมีรายได้ทะลุพันล้านบาท ก่อนจะปังเคยขาดทุน 20 ล้าน เพราะอีโก้สูงจนใครก็เอาไม่ลง เตรียมแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 71 

เริ่มทำธุรกิจตอนเรียนปี 3 

ยุคปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมาทำธุรกิจ ทำแบรนด์ของตัวเองกันมากขึ้น ด้วยจากตลาดที่เปิดกว้าง อีกทั้งผู้บริโภคเปิดใจลองอะไรใหม่ๆ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเหล่าดารา อินฟลูเอนเซอร์ที่มักจะสร้างแบรนด์ควบคู่กับงานในวงการบันเทิง

ซึ่งธุรกิจความงามเป็นธุรกิจหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงได้เห็นแบรนด์สกินแคร์ เครื่องสำอางสัญชาติไทยเกิดใหม่ขึ้นตลอด รับกระแส T-Beauty ที่เติบโตมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี ในแบรนด์ใหม่ๆ นั้นล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ที่หันมาจับตลาดทั้งสิ้น

la glace

LA GLACE (ลากลาส) เป็นอีกแบรนด์เครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์ และราคาย่อมเยา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริหารโดยคน Gen Z ก่อตั้งโดยคู่รัก “ไอติม – เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์” และ “เฟรนฟราย – ทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์” เริ่มทำธุรกิจกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ปี 3 ที่ ม.กรุงเทพ หรือตอนอายุ 20 ปี ไอติมเรียนทางด้านนิเทศศาสตร์ ส่วนเฟรนฟรายเรียนทางด้านบริหาร-การตลาด ปัจจุบันทำตลาดมา 8 ปีแล้ว เริ่มต้นด้วยงบลงทุนก้อนแรก 70,000 บาท ทำเบสโทนอัพออกมาจำหน่ายเป็นตัวแรก

ไอติม เริ่มเล่าสตอรี่ถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ว่า ทั้งคู่คบหากันตั้งเรียนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย พื้นฐานเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง เงินที่พ่อแม่ให้มาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับค่าหอ ค่าชีทเรียน เลยมีความคิดอยากหารายได้เพิ่ม ประกอบกับตอนนั้นเริ่มเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มีคนติดตามแล้วสอบถามเรื่องสินค้าที่ใช้ ใช้อะไรหน้าเนียนหน้าใส จึงเลือกทำธุรกิจบิวตี้ ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 70,000 บาท ทำเบสโทนอัพหน้าเนียนออกจำหน่ายตัวแรก เพราะเป็นสินค้าที่ใช้เองตั้งแต่ ม.1  

la glace

ตอนทำตลาดช่วงแรกก็ติดตลาด มีคนใช้แล้วบอกต่อ แต่มีบ้างที่เจอกระแสดราม่าขายแพง ด้วยราคาขาย 690 บาท ซึ่งถ้าย้อนกลับไปยุคนั้นถือว่าเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มมากๆ หลังจากนั้นก็เริ่มออกสินค้าตัวอื่นอย่างสบู่ล้างหน้า คลีนซิ่ง และโทนเนอร์ แต่ปัจจุบันไม่ได้จำหน่ายแล้ว

แรกเริ่มได้ขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก โดยไอติมเป็นพรีเซ็นเตอร์แนะนำ และรีวิวสินค้าเอง พร้อมทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย หลังจากนั้นก็ได้ขยายตลาดออนไลน์ไปในทุกช่องทาง โดยปัจจุบันเฉพาะบัญชี OFFICIAL ของ LA GLACE  มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางออนไลน์ 1.5 ล้านยูสเซอร์ และมีฐาน Affiliate (นายหน้าขายสินค้าในออนไลน์) อีกกว่า 140,000 คน และขยายไปช่องทางออฟไลน์ บิวตี้สโตร์ต่างๆ

ขาดทุน 20 ล้านเพราะอีโก้

บทเรียนที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจมาของทั้งคู่คือ ตอนขาดทุนครั้งใหญ่ถึง 20 ล้านบาท เมื่อปี 2563 เพราะความประมาท อีโก้ของตัวเองที่สูงมาก อัดเงินทุกอย่าง แต่โดนโกง สุดท้ายก็ผ่านมาได้

“ตอนขาดทุนครั้งใหญ่ 20 ล้านบาท ตอนนั้นอีโก้สูงมาก คิดว่าทำอะไรสำเร็จหมด คิดว่าเก่งทุกอย่าง เลยอัดเงินที่มีลงทุนทำลิปสติก แต่โดนโรงงานโกงสินค้าโดนยัดไส้บ้าง แพ็กเกจจิ้งแตกบ้าง ทำให้เอาสินค้าไปขายไม่ได้” 

la glace

หลังจากบทเรียนครั้งใหญ่ ก็มีดราม่ามาเป็นระลอก เพราะแบรนด์ LA GLACE ใช้กลยุทธ์ Personal Branding ที่ยึดติดกับตัวไอติม ทำให้หลังจากนั้นได้มีการชำแหละจุดอ่อน แล้วแก้ไปทีละเรื่อง รวมไปถึงขายของส่วนตัวบางอย่างเพิ่มนำเงินมาลงทุนต่อ

บลัชดำ-โทนเนอร์แพด ทำยอดขายติดสปีด

LA GLACE วางจุดยืนเป็นแบรนด์ Underground Beauty หรือสวยแบบไม่มีกรอบ ไม่กำหนดว่าต้องเป็นสาวหวาน สาวเท่ สาวแบ๊ว แค่มีความมั่นๆ เชิ่ดๆ ปัจจุบันมีสินค้ารวม 80 รายการ แบ่งเป็นกลุ่มเครื่องสำอาง และแผ่น มาส์กหน้า รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากเครื่องสำอาง ตั้งเป้าในสิ้นปีมี 100 รายการ

 

สินค้าที่สร้างชื่อให้ LA GLACE ตัวแรกก็คือ “บลัชดำ” หรือ BLACK MAGIC LIP & CHEEK PH BLUSH บลัชออนที่เปลี่ยนสีตามค่า PH ของผิว เปิดตัวเมื่อปี 2566 สร้างยอดขายไปมากกว่า 1.5 ล้านชิ้น สินค้าตัวนี้เป็นตัวพลิกเกมทำให้บริษัทมียอดขายแบบติดสปีด 

la glace

เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ได้เปิดตัว LA GLACE DAILY TONER PADS แผ่นบำรุงผิวหน้าก่อนแต่งหน้า ที่ได้สร้างกระแสฟีเวอร์ทันทีที่เปิดตัว และเปิดขายวันแรกจากการ Live เพียง 4 ชั่วโมง สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 31 ล้านบาท

ในประเทศไทยตลาดโทนเนอร์มีมูลค่าราวๆ 6,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีแต่แบรนด์เกาหลี แล้วมีราคาเฉลี่ยที่ 500-600 บาท บรรจุ 60 แผ่น ยังไม่มีแบรนด์ไทยลงมาจับตลาดจริงจัง จึงสร้างความแตกต่างด้วยราคาย่อมเยากว่าในราคา 390 บาท แล้วมีจำนวน 80 แผ่น ทำให้มียอดขายดีจนสินค้าขาดตลาด

ปัจจุบันสินค้าที่สร้างยอดขายเยอะที่สุดมี 3 ตัว ได้แก่ โทนเนอร์แพด, บลัชดำ และคอนซีลเลอร์ สร้างรายได้สัดส่วน 70% กลุ่มโทนเนอร์แพดมีต้นทุนที่สูงกว่าเครื่องสำอางอื่นๆ แต่มีเรทการซื้อซ้ำสูงกว่า เป็นสินค้าตัวแรกที่เข้าสูงตลาดสกินแคร์

รายได้เตรียมทะลุพันล้าน เข้าตลาดปี 71

LA GLACE ภายใต้บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัดมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลย้อนหลัง

  • ปี 2561 รายได้ 6.64 แสนบาท กำไร 1.45 แสนบาท 
  • ปี 2562 รายได้ 6.39 ล้านบาท กำไร 5.12 แสนบาท 
  • ปี 2563 รายได้ 16.90 ล้านบาท กำไร 3.19 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 13.21 ล้านบาท กำไร 1.1 ล้านบาท  
  • ปี 2565 รายได้ 39.9 ล้านบาท กำไร 1.65 ล้านบาท  
  • ปี 2566 รายได้ 401.2 ล้านบาท กำไร 108.1 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดร่วม 1,000% 
  • ปี 2567 รายได้ 420 ล้านบาท กำไร 37.7 ล้านบาท 

la glace

สำหรับในปี 2568 ได้ตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นแตะหลัก 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะสามารถทำยอดขายโทนเนอร์แพดได้ถึง 600-700 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดขายบลัชดำ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำยอดขายโดยรวมมากกว่าปีละ 300-400 ล้านบาท ทำให้คาดว่าจะทำยอดขายตามเป้าได้ 

เป้าหมายในระยะยาว อยากสร้างรายได้ 2,000 ล้านบาทภายในปี 2571 และ IPO เข้าตลาดหลักทรพย์เพื่อระดมทุนขยายตลาด มองตลาดต่างประเทศอย่างฮ่องกง เพื่อเปิดประตูสู่วัยรุ่นชาวจีน พร้อมกับต้องการบริหารต้นทุนให้ดีขึ้น สร้างภาพลักษณ์ รวมไปถึงมองหาโอกาสลงทุนกับแบรนด์ใหญ่ และซื้อกิจการแบรนด์อื่นๆ เข้าพอร์ตด้วย

]]>
1526983