LEAD – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 10 Jul 2024 04:11:30 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดใจ 3 แบรนด์ดังจาก “LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา” หลักสูตรปั้นแบรนด์ตัวจริงเสียงจริง ใส่เกียร์เร่งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน https://positioningmag.com/1481419 Fri, 12 Jul 2024 10:00:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481419

ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่มีการเปิดกว้างทางธุรกิจอย่างมาก ไม่ได้มีเพียงแค่ธุรกิจระดับยักษ์ใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น แต่มีธุรกิจระดับ SME หรือหลักสูตรปั้นแบรนด์แจ้งเกิดเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย แต่มีแพชชั่นในการทำธุรกิจอย่างเต็มเปี่ยม

หลายครั้งก็พบว่าธุรกิจในระดับ SME อาจจะเจอข้อจำกัดบางประการ แม้จะมีแพชชั่น แต่อาจจะขาด “คอนเน็คชั่น” ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างการเติบโตได้ ผู้ประกอบการค้าปลีกอย่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” จึงเห็นความสำคัญของการของการปั้นธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

จึงเป็นที่มาของคอร์ส “LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา” ย่อมาจาก Leading Entrepreneur Advanced Development หลักสูตรรีเทลที่พัฒนาให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้เติบโต และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน พร้อมกับสเกลอัพไปแบบก้าวกระโดด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เรียนจริง ทำจริง โตจริง” ผ่านการเรียนรู้จากผู้รู้จริงในวงการรีเทล ทดลองตลาดกับพื้นที่ที่มีศักยภาพ และนำสิ่งที่ได้พัฒนามาประยุกต์ใช้กับธุรกิจจริงอย่างเป็นรูปธรรม

เซ็นทรัลพัฒนาได้เปิดหลักสูตรนี้มาตั้งแต่ปี 2560 ปัจจุบันได้เดินทางมาถึงรุ่น LEAD 5 แล้ว ที่ผ่านมาได้ปั้นผู้ประกอบการในเครือข่ายไปแล้วรวมกว่า 180 ราย ในแต่ละรุ่นจะมีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไฟแรงเข้าร่วมราวๆ 35-40 ราย

โดยมีเซ็นทรัลพัฒนาเป็น Business Incubator ช่วยให้แบรนด์แข็งแรงขึ้น บน Retail Ecosystem ของ Central Group ซึ่งมีกลุ่มธุรกิจและเครือข่ายพาร์ทเนอร์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ สร้างโอกาสให้เติบโตได้หลายรูปแบบ ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับการอยู่เคียงข้างและช่วยสร้างความสำเร็จให้กับพันธมิตรคู่ค้าของเซ็นทรัลพัฒนาที่มีอยู่กว่า 15,000 รายทั่วประเทศ

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา เริ่มเล่าว่า

“กว่า 40 ปี ที่เซ็นทรัลพัฒนา เติบโตมาพร้อมกับผู้ประกอบการร้านค้า ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ซึ่งมีหลายแบรนด์เริ่มต้นธุรกิจมากับ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล”

กระทั่งเติบโตจนเป็นแบรนด์ระดับประเทศและระดับโลก และด้วย Strong ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา และการเป็น Place Maker หรือนักพัฒนาพื้นที่ซี่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงต่างประเทศ จึงช่วยสร้างและนำพา Tenant ของเราให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

หลักสูตร LEAD จึงเป็นหนึ่งใน Business Strategy ที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนา เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ที่มีแพชชั่น และแนวคิดในการปั้นแบรนด์ สร้างธุรกิจของตัวเอง ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมอยู่ใน Retail Ecosystem ที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนา และเติบโตไปด้วยกัน”

ตั้งแต่รุ่นที่ 1 มาจนถึงรุ่นที่ 5 สามารถการันตรีความสำเร็จได้จาก ได้สร้างเครือข่ายของแบรนด์กว่า 180 แบรนด์ สร้างมูลค่าการเติบโตธุรกิจมากถึง 2,500 ล้านบาท มีการสร้างแบรนด์ พัฒนา ในการขยายสาขา และหน้าร้านเพิ่มขึ้นคิดเป็น 165% เทียบกับปีแรกที่ดำเนินโครงการ

เซ็นทรัลพัฒนาเองมีแนวคิดในการสร้างพาร์ทเนอร์ในการเติบโตไปด้วยกัน การที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถสเกลอัพธุรกิจได้ ก็เป็นผลดีต่อธุรกิจกิจศูนย์การค้าเช่นกัน เพราะเป็นส่วนสำคัญในการดึงทราฟฟิกผู้ใช้บริการเข้าศูนย์

ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวย้ำอีกว่า “ไม่เฉพาะแบรนด์ใหญ่ๆ ที่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนใน Retail Ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา ขอย้ำว่า ทุกคนโตได้” Nobody is too small to grow โดยไม่จำเป็นต้องกระโดดเป็นช้อปใหญ่โต อาจค่อยๆ ทดลองตลาด ขยับไปทีละฟอร์แมท เริ่มจากเปิดป๊อปอัพ สโตร์ แล้วค่อยขยายเป็น Permanent Shop

ทางด้าน ผศ.ปิติพีร์ รวมเมฆ ที่ปรึกษาโครงการ LEAD และ CEO & Founder บริษัท แอมบิชั่น คอร์ป จำกัด กล่าวเสริมว่า

“สิ่งที่ผู้ประกอบการได้ประโยชน์จากการที่ผ่านการเข้าร่วมคอร์ส LEAD คือการได้ร่วมกันพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ หรือการทำ Brand Co-creation ที่ได้ทดลองนำแบรนด์ของตนมาร่วมต่อยอดกับแบรนด์อื่นๆ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้น

หรือการทดลองสร้าง New business format เพื่อสร้างช่องทางการขายหรือการขยายรูปแบบธุรกิจ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ต่อยอดจากสิ่งที่มีสู่สิ่งใหม่ที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จ มากกว่านี้ยังมีโอกาสเข้าสู่อีโคซิสเท็มที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ได้ต่อยอดธุรกิจได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 5 ที่เพิ่งจะจบไปนั้น มีผู้ประกอบการทั้งสิ้น 35 แบรนด์ มีหลาย
แบรนด์ที่ตัดสินใจขยายธุรกิจไปกับเซ็นทรัลพัฒนา และมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จากมีเพียง 3 สาขาก่อนเข้ามาเรียน เมื่อจบหลักสูตร มีขยายไปถึง 17 สาขา หรือจากเดิมทำแต่ออนไลน์ เมื่อได้ทดลองทำตลาดและเห็นโอกาส ก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาเปิดเป็นหน้าร้าน

แบรนด์ที่เข้าร่วมคอร์ส LEAD 5 ในปีที่ผ่านมา มีดังต่อไปนี้ ANOTHER CUP, ANYWEAR STUDIO, BABY GIFT, BANGKOK GOLDS, BARKETEK, BEEF EXPRESS, BILIX, BLUETTI, BOTTOMLESS, CHAGEE, COVE, COZZY SAY I DO, FRENCH KITSCH CAFE, F.Y.I. MARKET, GRUMPY, HAEWON, HASS, HOLEN, KIM&CO. MULTI BRAND, LUHMSEN NOODLE, MEMOCLOTHING, MOLTO PREMIUM GELATO, OPTICSQUARE, PETCHPANTRA, POTATO CORNER, RUBBER IDEA, RYUJIN SUSHI, SELF., SKINLAB, TOOM SUSHI, ZEQUENZ, ข้าวนกกระยางคู่ และห้างทองเยาวราชดีเยี่ยม


เปิดใจ 3 ธุรกิจตัวท็อป LEAD รุ่น 5

KIM & CO. ORIGINAL ทำแฟชั่นให้มาเจอกับฟังก์ชั่น

KIM & CO. Multi-brand store คือ Unisex Multi-brand store สไตล์เกาหลี รวบรวมเเบรนด์ Local Fashion & Lifestyle มากกว่า 200 เเบรนด์ และมี House brand คือ KIM & CO. ORIGINAL ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกัน คือ Affordable yet function เช่น รองเท้าผ้าใบใส่นวัตกรรม Water-proof ทำให้รองเท้าเลอะยาก ง่ายต่อการทำความสะอาด และมี Technology Vulcanization ที่สามารถบิดงอได้ ทำให้ ยืดหยุ่น ใส่สบาย

ต้องตา อาชาเทวัญ เจ้าของแบรนด์ เล่าว่า หลังจากที่เข้าร่วมหลักสูตร LEAD ได้เน้นการสร้าง Product Development โดยการพัฒนา KIM & CO. Original โดยการใช้ Fashion Meet Innovation ให้สินค้ามีความน่าสนใจ พัฒนาให้แฟชั่นกับฟังก์ชั่นไปด้วยกันได้

สามารถอุดจุดอ่อนของตัวเอง จากเดิมที่เน้นทำแค่ KIM&Co. Multi Brand Store แต่การมาโฟกัสที่ KIM & CO. ORIGINAL ช่วยให้เกิดการเติบโตได้เร็วขึ้น ทั้งเรื่องการขยายสาขา หรือการสร้างยอดขาย

รวมถึงมีการต่อยอดธุรกิจได้โดยการสร้างสินค้าใหม่ และขยายแบรนด์ใหม่ เพื่อเติมพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ และขยายฐานลูกค้าให้หลากหลาย ได้แตกไลน์แบรนด์ TIA แบรนด์กระเป๋าระดับพรีเมี่ยม ช่วยสร้างยอดขายให้มากขึ้น

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ TIA คือต้องการทำสินค้าที่ไม่มีไซส์ จากเดิมที่ขายรองเท้าที่มีไซส์ ตั้งเเต่ 35-45 ทำให้ต้องมีการจัดการสต็อกมหาศาล จึงอยากลองทำอะไรที่ไม่มีไซส์บ้าง ซึ่งกระเป๋าเป็นสินค้าที่ไม่มีไซส์ทำให้การจัดการสต๊อกง่ายขึ้น

ต้องตา บอกว่า “Vision ของเราคือ ต้องการ Revolutionize life wear with accessible price
โดยการที่เรามองเห็น Pain point เเละสิ่งที่ลูกค้าชอบจากดาต้าที่เรามี เอามาพัฒนา เเละปรับปรุง ผสมผสานทุกอย่างจนออกมาเป็น KIM&CO. ORIGINAL เป็นแนวคิด “Where innovation meets style” ซึ่งจริงๆ แล้วนวัตกรรม เเละแฟชั่นเป็นสิ่งที่ขัดเเย้งกัน แต่เป้าหมายของเราคือ ผสมผสานให้เข้ากัน เพราะเราต้องการที่จะแตกต่าง และเราต้องการให้ลูกค้าได้มากกว่าสิ่งที่เค้าคาดหวังและทำให้เรากล้าที่จะลงทุน กล้าที่จะเติบโตอย่างมั่นคงและมีกลยุทธ์ ทำให้เรากล้าและมั่นใจ จากการมี 3 สาขาเป็น 17 สาขาภายในระยะเวลา 6 เดือน มียอดขาย YTD โตขึ้น 300% ”


SELF. SMOOTHIE น้ำผลไม้ปั่นที่มีสตอรี่

ณภัสสร ฉลาดมานะกุล เจ้าของแบรนด์ เล่าว่า Self. เริ่มต้นจากการทำสมูทตี้ที่ไม่ใช่แค่น้ำผลไม้ปั่นทั่วไป ชื่อเมนูจะไม่ได้ลิงค์กับผลไม้โดยตรง แต่เน้นที่สรรพคุณ และคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับและยังสอดคล้องกับลายหน้าแก้วที่เป็นเอกลักษณ์เรื่องราวเฉพาะแต่ละสูตร

คำว่า Self. ไม่ได้หมายถึงแค่ “mySELF” แต่ยังรวมถึง “Otherself” “Themself” หรือ “Customer Self” ทุกเมนู และสูตรได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ ตั้งต้นจาก Pain-point ของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน แต่ยังคงรสชาติดี ได้สารอาหารครบถ้วน

“Self สร้างนิสัยการรักสุขภาพที่ไม่ต้องแลกด้วยความพยายามโดยการที่ Self. จะเป็น 1 ใน Journey เป็นไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแบบง่ายๆ ทำให้ลูกค้ารักตัวเองและ ใส่ใจตัวเองได้แบบง่ายๆ โดยให้ลูกค้าเริ่มคุ้นชินกับการมีนิสัยการดื่มสมูทตี้ของ Self. ได้กินผักผลไม้ทั้งชิ้นพร้อมกากใย แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการดื่ม โดยไม่เติมแต่งใดๆ ซึ่งลูกค้าของ Self. จะซื้อกลับไปปั่นเอง เห็นความแท้และธรรมชาติเอง ซึ่งภายใน 6 เดือนนี้มียอดของลูกค้าที่ซื้อ Ready to blend  แบบ Make yourSELF at home เพิ่มขึ้นถึง 150%”

Self. ได้สร้างแบรนด์ด้วยความใส่ใจในคุณภาพ และจุดยืนที่ชัดเจน ผ่านทั้งตัวสินค้า แพคเกจจิ้ง ลายหน้าแก้วที่ตั้งใจถ่ายทอดเรื่องราวเฉพาะแต่ละแก้ว สีแบรนด์ที่ใช้ หน้าตาของร้าน การบริการต่างๆ รวมถึงการมอบประโยชน์และคุณค่าที่แท้จริงให้กับลูกค้าและสังคม ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

แบรนด์ไม่ได้เป็นแค่น้ำผลไม้ปั่นธรรมดา แต่มีนักโภชนาการคอยดูแลสัดส่วนของสารอาหารโดยเฉพาะแต่ละสูตร เพื่อให้ไม่เกิด Over Consume Sugar หรือได้รับน้ำตาลมากเกินไป

ปัจจุบันแบรนด์ไม่ได้มีแค่สมูทตี้ แต่ยังพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น Self Snack และ สินค้า Self Merchadises สำหรับแฟนๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเพิ่มเติมที่อยากหาขนมที่มีโปรตีนสูง ไฟเบอร์สูง

ไม่มีแป้ง ไม่มีน้ำตาล ไม่มีเนยนมไข่ ยังคงคอนเซ็ปต์ของความธรรมชาติ รวมถึงมีแผนการขยายไลน์สินค้าเพิ่มเติมภายใต้ Self Basic Drink ที่จะมอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากขึ้นโดยการ Grab & Go จากปกติที่สามารถซื้อถือกินเลยได้แค่คนละแก้ว แต่จะสามารถซื้อกลับบ้านได้หลายขวด โดยยังคงคอนเซป Pure & Natural เน้นผลไม้เบสิคไม่ผสม เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้กับลูกค้า


BOTTOMLESS COFFEE ROASTER โรงคั่วกาแฟครบวงจร

นพพล อมรพิชญ์ปรัชญา เจ้าของแบรนด์ ได้เริ่มเล่าว่า “Bottomless เริ่มต้นจาก Home Coffee lover วางจุดยืนเป็น Specialty coffee สำหรับคอกาแฟ ผ่านมา 10 กว่าปี ในการเอาชนะความความท้าทายในการเติบโต ของ Specialty Coffee คือการที่จะต้องควบคุมคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ต้องทำกาแฟคุณภาพอร่อย เข้าถึงง่าย และมีความพิเศษหลากหลาย”

จุดเด่นของ Bottomless ที่แตกต่างจากร้านกาแฟอื่นๆ ทั่วไปคือ การสร้าง Coffee Ecosystem ทั้งระบบ ตั้งแต่การเป็นโรงคั่วกาแฟ ขยายสู่ตลาด B2B OEM และ HORECA, Consultant & Training และการเพิ่มไลน์สินค้าสู่ตลาด B2C เช่น Coffee Capsule, Drip Bag, Coffee Specialty และ Non-Coffee

Bottomless ได้มีการนำเข้าและผลิต วัตถุดิบที่ใช้ในร้านกาแฟเองมาตั้งแต่ต้น เช่น ผงช็อคโกแลต ผงชาไทย มัจฉะ มีครัวกลางผลิตขนม และอาหารที่ใช้ขายในร้านกาแฟ รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ Keesvanderwesten แบรนด์เครื่องชงกาแฟ ไฮเอนด์จากเนเธอร์แลนด์ และอุปกรณ์กาแฟชั้นนำ ซึ่งทำให้สามารถ Supply เครื่องเข้าร้านได้โดยไม่ขาดตอน

นพพลเสริมอีกว่า สิ่งที่ได้จากหลักสูตร LEAD คือ การรู้สึกว่าเราตัวเล็กลง เพราะเราเข้าใจในเรื่องต่างๆ ลึกขึ้น ทำให้ยังรู้สึกอยากพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นอีก เพราะการทำธุรกิจเก่งแค่กาแฟคงยังไม่พอ เรื่องการเงินก็สำคัญ รวมถึงได้เน็ตเวิร์กจากเพื่อนๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ยอดเยี่ยมประจำหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 5 ได้แก่ HOLEN และ COVE

HOLEN
เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมซื้อเป็นของฝาก ด้วยคาแรคเตอร์ลิงยักษ์จากวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์ ที่ออกแบบโดยวิพาสน์พร ศรีพุ่ม และกลุ่มเพื่อน สินค้าขายดีคือยาดมโฮเล่น หอมละมุนจากสมุนไพรไทย เมื่อได้ทดลองตลาดในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ภายใต้หลักสูตร LEAD ทำให้มีการปรับเปลี่ยนสินค้าในรูปแบบ customize และ collaboration กับแบรนด์อื่น สินค้าถูกใจทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ มียอดขายเติบโตขึ้นมากกว่าสามเท่า และมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ทั้งออนไลน์และออนไซต์

COVE
เกิดจากความมุ่งมั่นของเอกพล วงศ์ภัทรกุล ในการพัฒนากระเป๋าและกระเป๋าเดินทางที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของลูกค้า ทันสมัย ในราคาที่คุ้มค่าจับต้องได้ หลังเข้าหลักสูตร LEAD ทำให้มีการวางแผนในการออกสินค้าใหม่อย่างเป็นระบบ มีความแม่นยำในการเลือกสินค้าใหม่มากขึ้น ทำให้สามารถเติบโตได้เกือบ 100% ภายใน 1 ปี

สำหรับหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 6 ที่เริ่มเรียนในเดือนมิถุนายนนี้ มาในธีม Growth & Sustainability ยังคง Concept เดิม คือเรื่องของการ “เรียนจริง ทำจริง โตจริง” โดยเน้นเรื่อง Growth & Sustainability เพราะเราเชื่อว่าความยั่งยืนของธุรกิจ ส่วนหนึ่งเกิดจากความสำเร็จของแบรนด์ ที่ได้เติบโตไปพร้อมกับเซ็นทรัลพัฒนา

]]>
1481419
เจาะลึก 5 กรณีศึกษาจากคอร์ส LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา หลักสูตรปั้นแบรนด์ SMEs ให้ ‘สเกล’ ได้จริง https://positioningmag.com/1420832 Thu, 02 Mar 2023 10:00:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420832

หลายครั้งที่ผู้ประกอบการระดับ SMEs เผชิญกับ ‘กำแพง’ ในการขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นอีกขั้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการศูนย์การค้าอย่าง “เซ็นทรัลพัฒนา” ก็เริ่มเล็งเห็นความจำเป็นของการผลักดันนักธุรกิจดาวรุ่งให้เติบโตไปกับศูนย์ฯ หลักสูตร “LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา” จึงเริ่มต้นขึ้นเพื่อดึงศักยภาพสูงสุดของ SMEs โดยปีล่าสุดเป็นรุ่นที่ 4 ที่ผ่านการอบรม และเป็นกรณีศึกษาแบบเจาะลึกว่าคอร์สนี้ช่วยติดสปีดเร่งการ ‘สเกล’ ได้อย่างไร

“เรียนจริง ทำจริง โตจริง” คือนิยามของ LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา ที่ล่าสุดเรียนจบเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว พร้อมโซว์ศักยภาพการ ‘สเกล’ ธุรกิจของตนเองหลังผ่านหลักสูตรเข้มข้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน

หลักสูตร LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา นั้นแตกต่างจากหลักสูตรสร้างผู้ประกอบการทั่วไปเพราะเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทำให้หลักสูตรมีทรัพยากรทั้งสถานที่และบุคลากรจาก เซ็นทรัลพัฒนา มาช่วยในการเรียนรู้ ให้โอกาสกับผู้ประกอบการที่มีความพร้อม และมี passion ในการทำธุรกิจ เพราะวัตถุประสงค์ต้องการจะเป็น ‘Incubator’ ช่วยติดสปีดแบรนด์ดาวรุ่งให้ขยายไปได้อีกขั้นและเป็นการขยายผ่านพื้นที่ศูนย์การค้า

มีบทพิสูจน์จาก 3 รุ่นแรกมีแบรนด์ที่ผ่าน LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา แล้วสามารถขยายไปในระดับประเทศได้ เช่น Fresh Me, Gentlewomen, With it Store, Ravipa, Moshi Moshi, Salad Factory, Beautrium ฯลฯ ยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่าหลักสูตรนี้ ‘ไม่ได้มาเล่นๆ’

(ที่ 4 จากขวาแถวบน) ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา และ (ที่ 4 จากซ้ายแถวบน) ผศ.ปิติพีร์ รวมเมฆ นักปั้นธุรกิจชั้นนำและที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจค้าปลีก

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา อธิบายถึงที่มาของหลักสูตร LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา ที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2560 ที่เล็งเห็นความสำคัญของการสนับสนุน SMEs ให้เข้ามาเปิดธุรกิจในศูนย์การค้ามากขึ้น และขยายตัวไปด้วยกันได้ โดยตั้งเป้าหมายปรับพื้นที่ 10% ของพื้นที่ศูนย์ฯ ให้เป็นพื้นที่เช่าโดย SMEs รายใหม่

“เมื่อก่อนเรามักจะชอบติดต่อผู้ประกอบการเดิมๆ มาลงพื้นที่เช่าเพราะเราก็รู้ฝีมือกันอยู่ แต่นั่นก็ทำให้ศูนย์ฯ เรามีแต่ร้านเดิมๆ ด้วยเหมือนกัน” ดร.ณัฐกิตต์กล่าว “ดังนั้น การเปิดหลักสูตรนี้จึงมีเป้าหมายสูงสุดของเราคือสนับสนุนให้ SMEs เติบโต”

LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา ได้รับเกียรติจาก ผศ.ปิติพีร์ รวมเมฆ นักปั้นธุรกิจชั้นนำและที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจค้าปลีก ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและดำเนินการอบรม โดย ผศ.ปิติพีร์ อธิบายถึงหลักสูตรนี้ว่า เป็นหลักสูตรที่เน้นภาคปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่การนำเสนอเคสธุรกิจ โดยเซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับจัด pop-up store ให้ในศูนย์การค้าของเครือ เพื่อให้ผู้เรียนทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ได้ทันที จนหลายแบรนด์สเกลธุรกิจได้เรียบร้อยก่อนจบหลักสูตร ไม่ต้องรอลงมือทำหลังเรียนจบ

“pop-up store คือพื้นที่ให้ได้ทำจริง วัดผลสำเร็จด้วยการทำยอดขายจริง และมีการแก้ไขโมเดลธุรกิจกันตลอดระหว่างหลักสูตร ผ่านการแนะนำของอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญที่เชิญมาร่วมเป็นที่ปรึกษาจากเซ็นทรัลกรุ๊ป และเพื่อนร่วมเรียน” ผศ.ปิติพีร์ กล่าว “หลักสูตรนี้ยังรวมนักเรียนที่เป็นผู้ประกอบการตัวจริงที่ทำให้ได้ช่วยกันคิด อาจมีการคอลแลปสินค้า เมื่อได้ทำงานร่วมกันจริงจึงเกิดความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมธุรกิจที่ยั่งยืนมากกว่าการสังสรรค์ทั่วไป”

โดยรุ่นล่าสุดเป็นการอบรบรุ่นที่ 4 มี 5 แบรนด์ที่ได้รับรางวัลประจำรุ่นจากการสร้างโมเดลธุรกิจที่โดดเด่น เป็นกรณีศึกษาว่า LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา สามารถเป็นหลักสูตร ‘Gateway to Success’ ได้อย่างไร


“ซาลาเปาโกอ้วน” สเกลด้วยการแตกแบรนด์ใหม่ “ชงดี”

เริ่มที่แบรนด์ “ซาลาเปาโกอ้วน” ร้านดั้งเดิมจากหาดใหญ่ที่ขยายเข้ามากรุงเทพฯ ในยุคของ “สุรีย์พร พูนศักดิ์ไพศาล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกอ้วน ซาลาเปา แอนด์ ที จำกัด และ บริษัท ชงดีพูนผล จำกัด โดยร้านซาลาเปาโกอ้วนเริ่มจากเปิดร้านสาขาของตนเองก่อนเปิดขายในรูปแบบแฟรนไชส์ จนปัจจุบันมี 20 สาขาทั่วกรุงเทพฯ

“แต่พอมาถึงจุดที่เริ่มจะนิ่ง เริ่มขยายสาขาใหม่ไม่ได้ เราต้องมาคิดว่าทำอย่างไรถึงจะขยายธุรกิจได้ต่อ” สุรีย์พรอธิบายโจทย์ก่อนจะเข้าร่วมคอร์ส LEAD โดยช่วงก่อนจะร่วมหลักสูตร สุรีย์พรมองสินค้าในร้านตัวหนึ่งที่ขายดีพอควรคือ “ชาเย็น” ซึ่งเป็นชาสูตรทางใต้ มีรสเข้มเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าร้านควรดันสินค้านี้ขึ้นมาเป็นสินค้าหลักคู่กับ “ซาลาเปาทอด” ในร้านเดิม หรือแตกแบรนด์ใหม่ที่เน้นเครื่องดื่มโดยเฉพาะ

“พอเข้ามาทดลองโมเดลธุรกิจในคอร์ส LEAD ทำให้เราตัดสินใจได้ จากการทดลอง pop-up store และคำแนะนำว่าถ้าจะขายเครื่องดื่มเป็นหลัก เราต้องแยกแบรนด์ออกไปเลย ทำให้เกิดเป็นร้าน ‘โรงชาชงดี’ ขึ้น ลักษณะเป็นคาเฟ่ที่เน้นขายเครื่องดื่มและนั่งทานในร้านได้ ปัจจุบันมีเปิดแล้ว 1 สาขาที่ เดอะ เซอร์เคิล ราชพฤกษ์”

แผนในปีนี้สุรีย์พรจะขยายร้านชงดีไปให้ครบ 5 สาขา โดยทดลองรูปแบบร้านหลายลักษณะ ก่อนจะนำแบบร้านที่ดีที่สุดมาเปิดแฟรนไชส์ต่อไป


Nineties Design พลิกมุมคิดปรับแบรนด์ใหม่ให้ตรงกับทำเล

อีกหนึ่งแบรนด์ที่มาด้วยโจทย์เดียวกันคือเริ่มขยายสาขาใหม่ไม่ได้ แต่เกิดขึ้นในสินค้าประเภทเสื้อผ้าแฟชั่น “กัญญาณัฐ ปิยะชัยวุฒิ” และ “สุพพัต ปิยะชัยวุฒิ” สองผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท อินสไปเรชั่น ดีไซน์ จำกัด ผู้ผลิตแบรนด์ Nineties Design มีหน้าร้านอยู่แล้ว 20 สาขาบนศูนย์การค้า เข้าร่วมคอร์ส LEAD เพราะต้องการหาช่องทางในการสเกล

แบรนด์ Nineties Design นั้นเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสไตล์ยุค 90s เหมาะกับลูกค้าวัยรุ่น แต่ไม่ใช่ทุกศูนย์การค้าที่จะเป็นแหล่งวัยรุ่นจำนวนมากทำให้การขยายสาขามีข้อจำกัด อย่างไรก็ตาม บริษัทนี้มีจุดแข็งคือการมีทีมดีไซเนอร์ออกแบบสินค้าเอง และมีเครือข่ายผู้ผลิตตัดเย็บและซัพพลายเออร์ผ้าที่ดี ทำให้พื้นฐานพร้อมในการขยายแบรนด์ไปในทิศทางอื่นได้โดยใช้ทีมออกแบบและผลิตกลุ่มเดิม

“เราได้แนวคิดใหม่กับคอร์ส LEAD ว่าถ้าจะเข้าไปขายในทำเลอื่น ไม่ใช่ว่าเราต้องลงสินค้าเดิมเสมอ แต่เราสามารถแตกแบรนด์ย่อยเพื่อผลิตสินค้าให้ตรงกับคนในทำเลนั้นๆ ก็ได้ เช่น ทำเลพระราม 2 ซึ่งเป็นกลุ่มครอบครัว เราก็ลองทำแบรนด์ Nineties Kids เป็นเสื้อผ้าเด็กลายยุค 90s หรือทำเลที่เป็นหนุ่มสาวออฟฟิศ เราแตกเป็นแบรนด์ NINE จำหน่ายเสื้อยืดที่มินิมอล เรียบง่าย เน้นคัตติ้งและเนื้อผ้าดี สามารถใส่ไปทำงานได้” กัญญาณัฐอธิบาย

จากกลยุทธ์นี้บริษัทจึงสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 30 สาขา เป็นการเปิดสาขาจริงระหว่างที่ยังเรียนอยู่ในหลักสูตร และตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 50 สาขาในปีนี้


Amatas แบรนด์รีเทลใหม่จากผู้ผลิต ‘Super Lock’

Amatas (อมาทาส) เป็นแบรนด์ร้านรีเทลใหม่ที่เกิดขึ้นหลัง “พลาวุฒิ เจริญจิตมั่น” กรรมการผู้จัดการ ไมครอน กรุ๊ป เข้าร่วมหลักสูตร LEAD โดยกลุ่มบริษัทนี้เป็นธุรกิจครอบครัว แต่เดิมเป็นโรงงานรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์พลาสติก ก่อนที่ต่อมาได้สร้างแบรนด์ของตนเองคือ SuperLock” จำหน่ายสินค้าใช้เก็บและจัดระเบียบในครัว เช่น กล่องอาหาร ขวดน้ำ

การมาร่วมหลักสูตรนี้ของพลาวุฒิ เกิดจากแนวคิดที่บริษัทต้องการจะมีช่องทางรีเทลของตนเอง และจะขยายไปจำหน่าย “เครื่องครัวแบบครบวงจร” หลังผ่านหลักสูตรทำให้ร้านรีเทล Amatas มีคอนเซปต์ที่ชัดเจนคือจะเป็น “ร้านเครื่องครัวแบบมัลติแบรนด์” โดยเน้นนำเข้าสินค้าที่ฟังก์ชันเยี่ยมและดีไซน์มีรสนิยม

ร้านออฟไลน์แห่งแรกกำลังจะเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ในเดือนมิถุนายนนี้ โดย Amatas เริ่มขายทางออนไลน์แล้ว โดยมีสินค้าเรือธงคือ “Fika” เครื่องครัวสุดมินิมอลจากเกาหลีใต้ที่บริษัทเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเพียงผู้เดียว และสร้างกระแสเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มพ่อบ้านแม่บ้านชาวไทย

พลาวุฒิตั้งเป้าว่าหลังจากเปิด Amatas จะทำให้ไมครอน กรุ๊ป ทั้งเครือมีรายได้แตะ 500 ล้านบาทภายในปี 2568 จากที่เคยมีรายได้ 200 ล้านบาทเมื่อปี 2565 และร้านรีเทล Amatas จะเปิดให้ครบ 10 สาขา นำเข้าสินค้าจากทั่วโลก เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สเปน อิตาลี เป็นต้น


Tempered ช็อกโกแลตฝีมือคนไทยที่ขอ “ขึ้นห้างฯ”

แบรนด์นี้เป็นสินค้าจากแพสชันของ “ชนิกานต์ ตันบุญเพิ่ม” ผู้ร่วมก่อตั้งและเชฟแบรนด์ Tempered Cooperatives ซึ่งเป็นแบรนด์ช็อกโกแลตคนไทย ผลิตจากเมล็ดโกโก้ที่ปลูกในไทยทั้งหมด และมีขั้นการผลิตแบบ Zero-Waste เพื่อความยั่งยืน

ก่อนหน้าเข้าร่วมคอร์ส LEAD แบรนด์ Tempered มีหน้าร้านเพียง 1 สาขาเป็นแบบ stand-alone นอกศูนย์การค้า แต่ความมุ่งมั่นของชนิกานต์คือต้องการจะนำร้านขยายสาขาสู่ศูนย์การค้าให้ได้

“ในหลักสูตรนี้เราได้ลองทำ pop-up store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ถูกคอมเมนต์ทุกวัน ต้องแก้ไขเปลี่ยนดิสเพลย์ร้านทุกวัน ได้ยืนหน้าร้านเองเพื่อคุยกับลูกค้า ได้โอกาสคอลแลปสินค้ากับเพื่อนร่วมรุ่น เช่น ไอศกรีมช็อกโกแลต ขนมปังช็อกโกแลต คอร์ส LEAD ช่วยให้เรารู้ว่าเราควรจะสเกลร้านรูปแบบไหน” ชนิกานต์กล่าว

ระหว่างการเรียนในหลักสูตรนี้ทำให้ยอดขายต่อเดือนของ Tempered เพิ่มขึ้น 20-30% และเห็นทิศทางที่ชัดขึ้นในด้านการตลาดและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะถูกใจกลุ่มลูกค้า


Moreover จากดีไซเนอร์สู่ธุรกิจรีเทล

ปิดท้ายที่แบรนด์ Moreover ภายใต้การนำของ “นวัต ศักดิ์ศิริศิลป์” ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการด้านการออกแบบ บริษัท เข้ากันดี จำกัด แบรนด์นี้จะเน้นการออกแบบของแต่งบ้านที่มีสไตล์ มีไอเดีย เช่น หิ้งพระมินิมอล เครื่องหอม โดยมีทั้งสินค้าของ       แบรนด์เองที่วางจำหน่ายในร้านมัลติแบรนด์ต่างๆ และสินค้ากลุ่มที่คอลแลปรับออกแบบให้กับแบรนด์หรือบริษัทอื่นๆ

โจทย์ที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจนี้คือแบรนด์ต้องการจะมีช่องทางขายที่มากขึ้น และเข้าใจการทำธุรกิจสูงขึ้น จากเดิมมีพื้นฐานในด้านงานดีไซน์เป็นหลัก

“หลังมาเรียนคอร์ส LEAD แล้วทำให้เราขยายจุดจำหน่ายได้จาก 15 จุด เป็น 20-30 จุด ซึ่งเกิดจากเราเข้าใจการจัดการสต็อกได้ดีขึ้น” นวัตกล่าว

อีกโปรเจ็กต์หนึ่งที่เกิดจากการเรียน คือการเริ่มสร้างคอนเซปต์ Flagship Store ในชื่อ “Overlaps by Moreover” เพื่อจะวางขายสินค้าที่บริษัทออกแบบทุกๆ ชิ้นไว้ในร้านเดียว ทั้งสินค้าของแบรนด์และที่คอลแลปกับแบรนด์อื่น ขณะนี้อยู่ระหว่างเปิด pop-up store กับเซ็นทรัลพัฒนาเพื่อหาโลเคชันที่ดีที่สุด

ดร.ณัฐกิตติ์กล่าวสรุปว่า จากผู้เข้าร่วมหลักสูตร LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา รวม 4 รุ่น มีแบรนด์ที่ผ่านการอบรม 150 แบรนด์ ร่วมเปิดร้านกับเซ็นทรัลพัฒนาแล้ว 600 ร้าน คิดเป็นพื้นที่ขายรวม 30,000 ตร.ม. และคิดเป็นมูลค่าการเติบโตทางธุรกิจมากกว่า 1,800 ล้านบาท

ส่วนคอร์ส LEAD รุ่นที่ 5 จะเริ่มรับสมัครตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ โดยจะมีการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกนักเรียนเพียง 40-50 คนเท่านั้น ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องเคยเปิดร้านกับเซ็นทรัลพัฒนามาก่อน แต่ต้องเป็นผู้ประกอบการตัวจริง และต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะดึงศักยภาพแบรนด์ให้ไปได้ไกลที่สุด

ผศ.ปิติพีร์ยังวางวิสัยทัศน์คอนเซปต์การเรียนในรุ่นที่ 5 ว่าจะเป็นธีม “Curation of the Newness” พาแบรนด์ตามโลกที่เปลี่ยนเร็วให้ทัน เชื่อมต่อกับ ‘value’ ใหม่ของผู้บริโภคยุคใหม่เพื่อสร้างความสำเร็จให้กับแบรนด์อย่างยั่งยืน

สนใจสมัครเข้าร่วมหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 5  https://shoppingcenter.centralpattana.co.th/lead/

 

]]>
1420832