Lucky Suki – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 29 Dec 2025 09:10:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สรุป ‘สงครามหม้อเดือด’ ในปี 2568 ปีที่เรียกได้ว่า (แข่งขัน)เดือดของแท้ https://positioningmag.com/1553812 Mon, 29 Dec 2025 09:09:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1553812 ขณะที่ความท้าทายเรื่องภาวะเศรษฐกิจ ต้นทุนพุ่งที่สูงขึ้น และการแข่งขันดุเดือด จะกดดันให้ภาพรวมตลาดธุรกิจ ‘ร้านอาหาร’ ดูซบเซา แต่ไม่ใช่กับ ‘ตลาดหม้อร้อน’ ที่มีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท ซึ่งเรียกได้ว่า ปีนี้การแข่งขันดุเดือดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเซ็กเม้นต์ Budget Buffet ราคาต่ำกว่า 300 บาท

 

นำขบวนโดย 3 ผู้เล่นรายหลัก ได้แก่ พี่ใหญ่ของวงการหม้อร้อน ‘MK’ ที่ตอนนี้ได้แบรนด์น้องใหม่ ‘โบนัส สุกี้’ มาเสริมกำลัง, ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ผู้เขย่าบัลลังก์ของพี่ใหญ่ และ ‘ลัคกี้ สุกกี้’ แบรนด์อายุ 3 ปี ทว่าทำรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท ที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยหมัดเด็ดแบบไม่มีใครยอมใคร เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจ ทั้งจัดโปรโมชั่น เสิร์ฟและเพิ่มความหลากหลายเมนู รวมถึงเร่งขยายสาขา

 

MK ยักษ์ใหญ่ที่ขอทวงบัลลังก์ผู้นำ

 

เริ่มจาก MK แบรนด์อายุกว่า 40 ปี หลังจากผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรลดลงต่อเนื่อง เมื่อเปิดปี 2568 ได้แสดงให้เห็นถึงความต้องการทวงบัลลังก์ผู้นำในตลาดหม้อร้อนคืน ด้วยการสร้างไวรัลจากการประกาศเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจมาเป็น MongKol

 

จากนั้นได้เปิดโมเดล ‘บุฟเฟ่ต์’ เพื่อแก้เกมอย่างจริงจัง ผ่านแบรนด์ ‘MK BUFFET’ มีให้เลือกหลายระดับราคา ได้แก่ 499,699 และ 899 บาท ขณะเดียวกันก็ได้มีการจัดโปรฯ ‘MK คุ้มเกินคุ้ม 299’ ภายในร้าน MK เดิม

 

แต่ที่น่าสนใจ คือ การตั้งบริษัท ‘คุ้มคุ้ม’ ขึ้นมาลุยธุรกิจที่เน้น ‘ความคุ้มค่า’ เป็นหลัก ซึ่งเปิดตัวธุรกิจแรกมาก็ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก นั่นคือ ‘โบนัส สุกี้’ เพื่อลุยตลาดสุกี้ Budget Buffet ราคาต่ำกว่า 300 บาทแบบเต็มกำลัง

 

ที่มาของแบรนด์ใหม่นี้ ‘ทานตะวัน และ ธีร์ ธีระโกเมน’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า จะมาเสริมพอร์ตสุกี้ของ MK ให้แข็งแรงมากขึ้น โดยนอกจากความคุ้มค่าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความหลากหลาย และประสบการณ์ที่ดีในมื้ออาหาร

 

และทั้งคู่ยืนยันว่า การที่ MK เพิ่งมาบุกโมเดลบุฟเฟ่ต์ไม่ได้เป็นการขยับตัวที่ ‘ช้าไป’ เนื่องจาก MK ให้ความสนใจและศึกษาตลาดบุฟเฟ่ต์มานานพอสมควร เพราะมีการเติบโตน่าสนใจ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คือ ต้องการมากกว่าแค่ความคุ้มค่า ซึ่งผู้เล่นแต่ละรายมี ‘จุดเด่น’ และ ‘จุดด้อย’ แตกต่างกัน

สำหรับ MK จะใช้ศักยภาพของกรุ๊ปทั้งหมดที่มี อาทิ เครือข่ายร้านอาหารกว่า 600 สาขาในเครือ, ซัพพลายเออร์มากกว่า 1,000 ราย,คลังสินค้าและครัวกลางรองรับได้ 1,000 สาขา,ระบบโลจิสติกส์พร้อมรถขนส่งกว่า 500 คัน ส่งของได้ทุกวันทั่วไทย

 

ที่ขาดไม่ได้ คือ ‘ราคาเข้าถึงง่าย’ มาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อให้โบนัส สุกี้ เป็นแบรนด์สุกี้บุฟเฟ่ต์ที่มีการเติบโตเร็วสุดในตลาด และขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต โดยล่าสุดทาง MK ได้โชว์ฟอร์มของโบนัส สุกี้ว่า เปิดมา 6 เดือน ทำยอดขายไป 200 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้เชื่อมั่นในแนวทางที่เดินมาและเตรียมเดินหน้าต่อเนื่อง

 

ตามแผนที่วางไว้โบนัส สุกี้ จะมีสาขา 16 แห่งในปี 2568 และในปี 2569 จะเพิ่มเป็นมากกว่า 70 แห่งในปี 2569 มียอดขายรวมกว่า 3,600 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มเป็น 100 สาขาทั่วประเทศในปี 2570

 

ตี๋น้อยจัดโปรฯ-เร่งเปิดสาขาต่อเนื่อง

 

ด้าน ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ในปี 2568 ก็มีการขยับและเปิดเกมรุกต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของปีนี้ที่ ‘เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ ซีอีโอ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย ตั้งรายได้ไว้ 9,000 ล้านบาท หลักๆ มาจาก

 1.‘การขยายสาขาใหม่’ โดยในปีนี้เราได้เห็นการขยายสาขาผ่านการหาพื้นที่ด้วยรูปแบบใหม่ นั่นคือ การเช่าพื้นที่เก่าของโชว์รูมรถมาเปิดเป็นสาขาของสุกี้ตี๋น้อย

2.‘การเปิดแบรนด์ใหม่’ จับกลุ่มเซ็กเมนต์พรีเมียม กับแบรนด์ Teenoi Gold ให้บริการบุฟเฟ่ต์พรีเมียม ราคาเริ่มต้นที่ 599 บาท ปัจจุบันมี 1 สาขา ได้แก่ เมเจอร์รัชโยธิน ชั้น2 โซนอเวนิว และมีแผนขยายสาขาอีกหลายแห่ง อาทิ Index Living Mall บางใหญ่ และชลบุรี, โลตัส นครปฐม, ธัญญาพาร์ค ฯลฯ

3.‘จัดโปรฯ’ ต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มความหลากหลายของเมนู

 

นอกจากนี้เรายังได้เห็นการใช้ช่องทางโซเชียล มีเดีย เข้ามาสื่อสารและสร้างเอนเกจกับลูกค้า รวมถึงดึง ‘เฟิร์น-นัทธมน’ มาทำ CEO Branding มากขึ้นด้วย  

 

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางเพจสุกี้ตี๋น้อย โพสต์ข้อความว่า ตอนนี้สุกี้ตี๋น้อยบรรลุเป้าหมายยอดขาย 9,000 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อย

 

ส่วนเป้าหมายในปี 2569 ทางเฟิร์น-นัทธมนประกาศจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 32 สาขา เป็นจำนวนสูงที่สุดเท่าที่ทำมา ขณะที่รายได้ตั้งเป้าจะทะลุ 10,000 ล้านบาทให้ได้

 

ลัคกี้ สุกี้ ผนึกกำลัง CRG ท้าชิงผู้นำตลาด

 

ขณะที่น้องใหม่มาแรงอย่างบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของแบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ และ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ ซึ่งเปิดมา 3 ปีทำยอดขายไป 2,000 ล้านบาท โดยหลังจาก CRG เข้ามาถือหุ้น 40% ด้วยมูลค่าลงทุน 940 ล้านบาท ก็ทำให้ชื่อของลัคกี้ สุกี้ ถูกจับตามองมากขึ้นอีกครั้ง

 

การร่วมทุนที่เกิดขึ้น ‘รสรินทร์ ติยะวราพรรณ’ กรรมการบริหาร มิราเคิล แพลนเนท บอกว่า สิ่งที่มองหาไม่ใช่เพียงการขยายสาขา แต่คือการสร้างรากฐานธุรกิจที่แข็งแรง และมาตรฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวในระยะยาว ซึ่ง CRG และ มิราเคิล แพลนเนท มีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับธุรกิจอาหารไทยให้แข็งแกร่ง

 

แน่นอนเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึง ก็คือ การทำให้ลัคกี้ สุกี้ ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสุกี้ และบาร์บีคิวของไทยภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

 

โดยหลังจากได้ CRG มาเป็นพาร์ทเนอร์แล้ว จะมีขยายสาขาเพิ่มทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ปีละ 20 – 25 สาขา เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะสามารถขยายสาขาได้ต่อเนื่อง และมีจำนวนสาขา 100 – 120 สาขาทั่วประเทศ

 

เปิดปี 2569 เราน่าจะได้เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนของการผนึกกำลังครั้งนี้ ซึ่งน่าจับตามอง

ยอดขายโตแต่กำไรลดปัจจัยท้าทายของผู้ประกอบการ

 

อย่างไรก็ตาม การทำศึกบุฟเฟ่ต์ที่มี ‘สงครามราคา’ เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จะปลุกให้ตลาดหม้อร้อนคึกคักและเติบโตสวนกระแสภาพรวมของธุรกิจร้านอาหาร ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ นั่นคือ การรักษาสมดุลระหว่าง ‘วอลุ่ม’ กับ ‘มาร์จิน’

 

เพราะแม้โมเดลบุฟเฟ่ต์จะดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้เติบโต แต่ฉุด ‘กำไร’ ให้ลดลง ซึ่งประเด็นนี้ชัดเจนจากผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ของทั้ง‘บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)’ เจ้าของ ‘MK’ และ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ‘สุกี้ตี๋น้อย’

 

โดย เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป มีรายได้รวม 3,884 ล้านบาท เติบโต 5.5% กำไรสุทธิไป 226 ล้านบาท ลดลง -33.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ส่วน บีเอ็นเอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป ในไตรมาส 3 ปี 2568 ทำกำไร221 ล้านบาท ลดลง 21% ขณะที่ ไตรมาส 1 ปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท ลดลง 2.1% ไตรมาส 2 ปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 311 ล้านบาท ลดลง 6.7%

 

ดังนั้น จึงน่าสนใจว่า ศึกบุฟเฟ่ต์หม้อร้อนต่อจากนี้จะดำเนินต่อไปในทิศทางใด แต่เชื่อว่า ดีกรีความร้อนแรงคงไม่ลดลงอย่างแน่นอน

 

เพราะแม้กำไรจะลดลง ทั้ง MK และ สุกี้ตี๋น้อย ยังยืนยันจะเพิ่มโปรโมชั่นใหม่และขยายโมเดลบุฟเฟ่ต์ต่อเนื่อง ส่วนลัคกี้ สุกี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ประกาศชัดไม่เล่น ‘สงครามราคา’ แต่เมื่อรายอื่นพร้อมใจกันเล่น จะเปลี่ยนใจกระโดดเข้าสู่สมรภูมินี้หรือไม่ 

]]>
1553812
จากผู้เล่นหน้าใหม่ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ทำอย่างไร ผ่านไป 3 ปี ถึงมีรายได้แตะ 2,000 ล้าน https://positioningmag.com/1537006 Sun, 07 Sep 2025 10:00:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537006 เมื่อ 3 ปีก่อน ‘ลัคกี้ สุกี้’ (Lucky Suki) คือหน้าใหม่ที่ได้เห็นโอกาสเติบโตของ ‘ตลาดสุกี้’ จึงตัดสินใจกระโดดเข้ามาในธุรกิจนี้แม้การแข่งขันจะรุนแรง และมี ‘รายใหญ่’ ที่แข็งแกร่งครองตลาดอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันลัคกี้ สุกี้ได้กลายเป็น ‘ผู้ท้าชิง’ รายสำคัญที่เติบโตรวดเร็ว โดยสิ้นปี 2568 จะทำรายได้แตะ  2,000 ล้านบาท  

 

อะไรคือ Key Success ที่ทำให้แบรนด์อายุ 3 ปีแบรนด์นี้เดินทางมาถึงวันนี้ได้

 

“การที่เราโตอย่างที่เห็น หลายคนบอกว่าเพราะความโชคดีหรือเปล่า ส่วนหนึ่งอาจใช่ อีกส่วนเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะตอนเราเข้ามายังมีร้านสเกลใหญ่ที่เป็นบุฟเฟต์ไม่เยอะ แต่ถ้าไม่มีความขยันบวกความตั้งใจ เราจะไม่มีวันนี้” เป็นคำตอบของ ‘รสรินทร์ ติยะวราพรรณ’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งลัคกี้ สุกี้

 

ความขยันและตั้งใจที่รสรินทร์พูดถึง คือ เริ่มตั้งแต่การทำการบ้านและศึกษาข้อมูลเชิงลึกของตลาดสุกี้ ไปจนถึงการวางหมากสร้าง Branding ให้แตกต่าง และมีอิมแพค โดยเมื่อตัดสินใจใช้ชื่อ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ก็เลือกใช้คำว่า ‘โชคดี’ มาสร้างความชัดเจนให้กับแบรนด์ ผ่านการดีไซน์ร้าน เช่น ใช้สีแดงสัญลักษณ์ของความโชคดี, ที่โต๊ะจะมีคำว่า ‘เลขที่ออก’ ซึ่งเป็นความโชคดีที่เกี่ยวข้องกับคนไทย ฯลฯ รวมไปถึงการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ  

 

สิ่งสำคัญ คือ การโฟกัสกับจุดแข็งของ ‘ตัวเอง’ และพัฒนาให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเป็นปัจจัยสำคัญให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในธุรกิจ ไม่ว่าการแข่งขันจะเป็นอย่างไร คู่แข่งจะใหญ่หรือแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม

อย่างการทำมาร์เก็ตติ้งนับตั้งแต่วันแรกของการเริ่มต้นธุรกิจมาถึงตอนนี้ที่ ‘สงครามราคา’ เดือด ลัคกี้ สุกี้ยังยึดเส้นทางเดิม นั่นคือ การเน้นสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ามีความคุ้มค่าและรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด ด้วยกลยุทธ์ Value for money โดยความคุ้มค่าในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ‘ราคาถูก’ แต่หมายถึงสิ่งที่ลูกค้าได้รับต้องคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

 

เช่น ช่วงแรกที่เกิดสงครามราคาในตลาดสุกี้ แทนที่จะ ‘ลดราคา’ มาแข่ง รสรินทร์เลือกจัดโปรฯ เสิร์ฟกุ้งแก้วและเป็ดย่างฟรี ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 15% สะท้อนให้เห็นว่า ลูกค้าไม่ได้หวังแค่ของถูก แต่พร้อมจ่ายเพิ่ม ถ้าได้ของที่คุ้มค่า เธอจึงมั่นใจเส้นทางที่เดินมาถูกต้องแล้ว

 

“สงครามราคาไม่ดีในระยะยาวและเรามั่นใจในเส้นทางของตัวเอง แต่เราพร้อมลงมาสู้สงครามราคานะ ไม่ได้กลัวกับสิ่งที่เป็นอยู่ และมองว่า การแข่งขันแบบนี้ จะทำให้ตลาดสุกี้โดยรวมโตจาก 25,000 หมื่นล้าน ไปเป็น 30,000 ล้านได้ไม่ยากในปีนี้”

 

คุณภาพคือหัวใจสำคัญ

 

ปัจจุบันลัคกี้ สุกี้ อยู่ในตลาดมา 3 ปี ตอนนี้มีสาขา 34 แห่ง แบ่งเป็นลัคกี้ สุกี้ 25 แห่ง อีก 9 แห่ง เป็นลัคกี้ บาร์บีคิว และปีนี้มีแผนขยายสาขาต่อเนื่องทุกเดือน รวมแล้วจะครบ 40 แห่งภายในสิ้นปี ส่วนรายได้ในปี 2568 จะปิดที่ 2,000 ล้านบาท

 

‘วิรัตน์ โรจยารุณ’ อีกหนึ่งผู้ก่อตั้งลัคกี้ สุกี้ เล่าว่า ปกติขนาดร้านของลัคกี้ สุกี้จะอยู่ประมาณ 500 ตร.ม.ต่อสาขา ซึ่งปีนี้สาขาจะอยู่ในรัศมี 300 กม.จากกรุงเทพฯ เพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารจัดการในภาพรวมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพ การขนส่ง และมาตรฐานต่างๆ     

ส่วนปีหน้าจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยการเลือกโลเคชั่น ต้องมีจำนวนลูกค้าหนาแน่นเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละจุดที่ไปเปิดมีลูกค้าจริง ๆ และต้องมีระบบอำนวยความสะดวกรองรับทั้งที่จอดรถ ความปลอดภัย เพราะร้านให้เปิดบริการ 10.30 – 02.00 น.

 

การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ถือเป็นอีก Key success ที่ทำให้ลัคกี้ สุกี้ เติบโตได้อย่างที่เห็น โดยไม่ได้มองเรื่องกด ‘ต้นทุน’ ให้ต่ำสุด เพราะหากซื้อวัตถุดิบถูกเกินไป คุณภาพจะตก ลูกค้าอาจจะไม่กลับมาใช้บริการอีก ดังนั้นการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพในราคาที่ควบคุมคอร์สได้ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปจึงสำคัญ

 

“การเปิดสาขามากขึ้น คุณขยายได้ แต่หากควบคุมคุณภาพไม่ได้ นั่นจะทำให้เกิดปัญหา เราจะทำตัวเองเป็นลูกค้าและลงไปเลือกเอง เพื่อให้รู้ว่า ลูกค้าอยากได้อะไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร”

 

สิ้นปีมีเซอร์ไพรส์

 

สำหรับสงครามราคาในตลาดสุกี้ จะเห็นเป็นระยะๆ และการแข่งขันจะยังไม่จบ ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละรายจะมีกลยุทธ์ใดมาช่วงชิงจังหวะ เพื่อดึงดูดและสร้างความพึงใจให้กับลูกค้ามาใช้บริการได้มากกว่ากันเนื่องจากการทำบุฟเฟต์เหมือนการบริหาร 2 มิติ ได้แก่

 

มิติแรก : ทำให้ลูกค้ารู้สึก ‘ชนะ’ มาแล้วคุ้ม ทานแล้วร้านขาดทุน และกลับมาใช้บริการใหม่

มิติที่ 2 : การบริหารคอร์สให้ผู้ประกอบการพอมีกำไร

 

ส่วนคำถามที่ว่า อยากขึ้นไปเขย่าบัลลังก์เบอร์ 1 ของเจ้าตลาดหรือไม่?

 

รสรินทร์บอกว่า คนทำธุรกิจ ‘ทุกคนอยากเป็นเบอร์ 1’ แต่ตอนนี้ลัคกี้ สุกี้ ยังเป็นแบรนด์ใหม่อายุ 3 ปี อาจต้องใช้เวลาในการผสมผสานว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วดี อะไรต้องปรับปรุง ดังนั้น จึงอยากโฟกัสทำในสิ่งที่ต้องทำให้มากที่สุด เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งและพร้อมแข่งขัน โดยสิ้นปีนี้จะได้เห็นเซอร์ไพรส์จากลัคกี้ สุกี้อย่างแน่นอน  

 

“แบรนด์เรายังใหม่ มีอะไรให้ทำอีกเยอะ ถ้าเปรียบเป็นลูก ตอนนี้ลูกเราอายุเพิ่ง 3 ขวบเอง แม่อย่างเรายังอยากดูแลโอบอุ้มต่อไป อย่างตอนนี้มีผู้สนใจเข้ามาลงร่วมทุนเยอะมาก เราต้องดูใจให้นานและดูหลายๆ อย่างด้วย ไม่รีบร้อนอะไร”  

]]>
1537006
รู้จัก ‘ลัคกี้ สุกี้’ น้องใหม่ในตลาดบุฟเฟต์ที่ขอโต “ช้าแต่ชัวร์” เปิดแค่ 4 สาขา/ปี https://positioningmag.com/1401057 Tue, 20 Sep 2022 10:54:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401057 ตั้งแต่การระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลายลง ตลาด สุกี้-ชาบู ที่มีมูลค่าถึง 15,000-20,000 ล้านบาท ก็กลับมาคึกคักโดยมีแบรนด์ใหม่ ๆ ทั้งเล็กและใหญ่ตบเท้าเข้ามาในตลาดจำนวนมาก ล่าสุด แบรนด์ ‘ลัคกี้ สุกี้’ (Lucky Suki) น้องใหม่ที่เปิดสาขาแรกไปเมื่อต้นปีก็ขยายสาขาเพิ่ม พร้อมส่งสัญญาณว่า เอาจริง แม้ตลาดจะมีการแข่งขันสูงมากก็ตาม

จุดกำเนิดเริ่มจากชอบกิน

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ลัคกี้ สุกี้ เกิดจากการร่วมลงทุนของ 4 ผู้บริหารจาก 3 อุตสาหกรรม ที่แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหารเลย ได้แก่ นางสาวรสรินทร์ ติยะวราพรรณ, นายวิรัตน์ โรจยารุณ, นางรุ่งทิวา วิพัฒนานันทกุล และ นายอิทธิพล ติยะวราพรรณ จนเกิดเป็น บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ทุนจดทะเบียน 21 ล้านบาท

โดย รสรินทร์ ได้เป็นตัวแทนผู้บริหาร เล่าถึงแนวคิดที่มาทำแบรนด์ ลัคกี้ สุกี้ ว่า หนึ่งในสมาชิกนั้นมีสูตรน้ำจิ้มสุกี้ บวกกับที่ผ่านมาชอบชวนกันหาร้านอาหารทาน ทำให้ทั้ง 4 มีแนวคิดที่จะเปิดร้านบุฟเฟต์สุกี้ เพราะเห็นว่าผู้บริโภคไทยให้ความนิยมกับบุฟเฟ่ต์มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยมูลค่าตลาดหากนับเฉพาะที่เป็นบุฟเฟต์สุกี้คาดว่าอยู่ที่ราว 4-5 พันล้าน

“เรามาจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์, เบเกอรี่ ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับบุฟเฟต์สุกี้เลย แต่เราเชื่อว่าอาหารเป็นปัจจัย 4 ดังนั้น ยังไงก็ไปได้ แม้ว่าการแข่งขันจะสูงก็ตาม”

สาขาแรกกำไรถึงเดินหน้าสาขา 2

ลัคกี้ สุกี้เปิดสาขาแรกที่ เดอะพีเพิลคอมมูนิตี้มอลล์ อ่อนนุช เมื่อเดือนมกราคม โดยมีพื้นที่ 500 ตารางเมตร ความจุประมาณ 110 ที่นั่ง 8 เดือนผ่านไปก็ได้โอกาสเปิด สาขา 2 ที่ โลตัส บางนา โดยใช้พื้นที่ 500 ตารางเมตร ความจุประมาณ 170 ที่นั่ง ส่วนสาขาที่ 3 และ 4 จะเปิดภายในปีนี้ โดยแต่ละสาขาใช้งบประมาณ 25 ล้านบาท รวมปีนี้ใช้งบ 100 ล้านบาท

รสรินทร์ ย้ำว่า การขยายสาขาในแต่ละปีจะพยายามให้อยู่ที่ 4 สาขา เพราะไม่อยากจะเติบโต เร็วเกินไป เนื่องจากกังวลเรื่องการคุมคุณภาพ อีกทั้งต้องหาทำเลที่เหมาะสม มีความขนาด 400 ตารางเมตรขึ้นไป โดยจะเน้นเปิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน รวมถึงจะเปิดในโมเดิร์นเทรดที่สามารถเปิดได้ถึง ตี 2 เป็นหลัก

“สาขาแรกมีรายได้วันละประมาณ 1.82 แสนบาท แน่นอนว่ายังไม่คืนทุนดีที่เพิ่งพ้นตัวแดงมานิดหน่อย ดังนั้น เราเลยเลือกที่จะลุยต่อ ซึ่งธุรกิจบุฟเฟต์ต้องใช้วอลลุ่มเข้าสู้ ยิ่งเปิดสาขาเยอะทำให้ได้กำไรแน่ ๆ แต่เราไม่อยากโตเร็วเกินไป เพราะถ้าคุมคุณภาพไม่ได้มันจะฆ่าตัวเอง เราเลยจะเปิดปีละ 4 สาขา”

สร้างความแตกต่างด้วยเมนูและลอยัลตี้โปรแกรม

สำหรับกลุ่มลูกค้าของลัคกี้ สุกี้ จะเน้นไปที่กลุ่มแมส ที่มาเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน และกลุ่มคนทำงาน โดยราคาเริ่มต้นที่ 219 บาท บวกเครื่องดื่มและ VAT อีก 7% รวมเป็น 276 บาท/หัว ซึ่งมองว่าเป็นราคากลาง ๆ ในตลาดที่เข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ การที่เปิดถึงตี 2 ยังช่วยให้กลุ่มคนที่ทำงานกลางคืนมาใช้บริการอีกด้วย

ขณะที่จุดแตกต่างที่ลัคกี้ สุกี้พยายามสร้างคือ การตกแต่งร้านด้วยสีแดง และมีเมนูอาหารทานเล่นที่หลากหลาย อาทิ ขนมจีบ, ซาลาเปา, ของทอด และน้ำปั่นสมูทตี้ นอกจากนี้ จะมีการเปลี่ยนน้ำซุปใหม่ ๆ ทุก 3 เดือน อย่างปัจจุบันจะมีน้ำดำและน้ำเย็นตาโฟ และสุดท้ายคือ น้ำจิ้มสูตรกวางตุ้งและไหหลำ ที่เป็นเอกลักษณ์

อีกกลยุทธ์ของ ลัคกี้ สุกี้ ก็คือการทำลอยัลตี้โปรแกรม โดยจะออกเป็น บัตรสมาชิก และจะมีโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะกระตุ้นให้มีการเข้ามาทานถี่ขึ้น ยังช่วยให้เก็บข้อมูลเพื่อทำการตลาดต่อไปในอนาคตอีกด้วย

]]>
1401057