Luxury retail – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 01 Mar 2024 15:53:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สยามพิวรรธน์ยืนหนึ่งผู้นำ Luxury Retail ในไทย ยอดขายปี 2023 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มุ่งสู่การเป็น Luxury Destination ที่ดีที่สุดในเอเชีย https://positioningmag.com/1464364 Fri, 01 Mar 2024 12:45:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464364

กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำเจ้าของและผู้บริหารจุดหมายปลายทางระดับโลก อย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลก  ด้วยยอดขายสินค้ากลุ่มลักซ์ซูรี่ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 โดยยอดขายของลักซ์ซูรี่แบรนด์ที่ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีอัตราการเติบโตสะสมถึง 300% เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้สอดคล้องกับแผนการขยายพื้นที่โซนลักซ์ซูรี่ทั้งที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม โดยเฉพาะการเปิด Luxe Hall ที่สยามพารากอนในเดือนตุลาคม 2566 ส่งผลให้แบรนด์ดังระดับโลกร่วมเปิดแฟล็กชิฟสโตร์หรือบูติกช็อปแห่งใหม่มากมายตลอดในปีที่ผ่านมา  

แคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มสยามพิวรรธน์ยังคงอยู่แถวหน้าในตลาดลักซ์ซูรี่ และได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก สะท้อนให้เห็นจากยอดขายลักซ์ซูรี่แบรนด์ ที่สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยังคงติดอันดับสูงสุดในเอเชีย และบางแบรนด์ติดอันดับระดับท็อปของโลก ทำให้ศูนย์การค้าของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ยังครองแชมป์ส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงสุดในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย และยังเป็นศูนย์การค้าที่เป็น Preferred choice สำหรับแบรนด์ดังต่างๆ ที่ต้องการจะเปิดร้านค้าแห่งแรก หรือการขยายธุรกิจเพื่อสร้างแฟล็กชิพสโตร์ระดับโลก ทำให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษและแตกต่างก่อนใคร”

ในปี 2566 แบรนด์ดังระดับโลกได้เปิดลักซ์ซูรีบูติกแห่งใหม่จำนวน 35 แบรนด์ ทั้งที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม และมีแผนงานที่จะเปิดอีก 20 แบรนด์ในปี 2567  บูติกสโตร์เปิดใหม่ในปี 2566 รวมถึง  Loro Piana แบรนด์แฟชั่นเรียบหรูจากอิตาลีเปิดบูติกแห่งแรกในประเทศไทย แฟชั่นแบรนด์เนมยอดนิยม อย่าง Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง) และ Fendi (เฟนดิ)  เปิดบูติกสำหรับผู้ชายแห่งแรกที่สยามพารากอน รวมทั้งนาฬิกาแบรนด์หรูที่มาเปิดบูติกแห่งใหม่ อาทิ Breitling, Chopard, Franck Muller, Gucci Watch, IWC, Jaeger Le Coultre, Panerai, Piaget, Rolex, Tag Heuer, Tudor, Vacheron

 

Constantin และ Zenith ซึ่งบูติกส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ที่เปิดครั้งแรกในประเทศไทยและเป็นแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่สยามพารากอนเท่านั้น ขณะที่ไอคอนสยามเตรียมขยายพื้นที่สำหรับลักซ์ซูรี่เพิ่มอีกเท่าตัวในปีนี้ พร้อมกับเตรียมเผยโฉมร้านใหม่ในรูปแบบดูเพล็กซ์ (Duplex) ของแบรนด์ดัง ซึ่งจะเป็นบูติกแห่งแรกในประเทศไทย

นอกจากนี้ ตลอดในปี 2566 สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยังได้รับเลือกจากแบรนด์หรูให้เป็นพื้นที่สำหรับการเปิด Pop-up Store และจัดแสดงนิทรรศการจำนวน 24 ครั้ง รวมทั้งงานโชว์เคสครั้งยิ่งใหญ่ในไทย “Hermès in the Making นิทรรศการที่เนรมิตพื้นที่ The Pinnacle ของไอคอนสยาม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม 2566 ถ่ายทอดเรื่องราวความประณีตของช่างฝีมือ 10 คนจากโรงผลิตของแบรนด์ที่นำเสนอเทคนิคงานคราฟต์ผ่านการสาธิต การเวิร์กช้อป และกิจกรรมต่างๆ ที่แบรนด์ใส่ใจในทุกรายละเอียด และได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมอย่างล้นหลาม และในปี 2567 คาดว่าจะมีการเปิด Pop-up Store และจัดแสดงนิทรรศการมากกว่า 23 งาน เพื่อสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างปรากฏการณ์ลักซ์ซูรี่ระดับโลกเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบลักซ์ซูรี่แห่งโลกอนาคต สยามพิวรรธน์ยังคงร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลกในการ curate สินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ๆ ทั้งในสยามพารากอน และไอคอนสยาม เสริมศักยภาพเพื่อให้สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบพรีเมียมหลากหลาย และดึงดูดลูกค้าทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 350,000 คนต่อวัน  ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในธุรกิจลักซ์ซูรีในประเทศไทยจะเปิดทางให้ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ เดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นจุดหมายปลายทางลักซ์ซูรี่ (Luxury Destination) ที่ดีที่สุดในเอเชีย

 

]]>
1464364
สยามพิวรรธน์เสริมแกร่งผู้นำอันดับ 1 Luxury Retail ในไทย ตั้งเป้าจุดหมายปลายทาง Luxury ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก https://positioningmag.com/1449176 Wed, 25 Oct 2023 10:49:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449176

กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เดินหน้าเกมรุกครั้งสำคัญที่จะสร้างนิยามใหม่ให้กับโครงการศูนย์การค้าชั้นนำระดับเวิล์ดคลาส ที่จะมาพลิกเกมธุรกิจ ด้วยการ Co-create ร่วมกับลักซ์ซูรี่แบรนด์ ในการ curate สินค้าและบริการ เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในตลาด Luxury Retail ปักหมุดจุดปลายทางระดับโลก ที่รวบรวมความเพลิดเพลินของการใช้ชีวิตแบบลักซ์ซูรี่ที่ครบครันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ในปัจจุบัน ธุรกิจ Luxury ต้องนำเสนอประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในทุกเจนเนอเรชั่นและทุกรูปแบบการใช้ชีวิต สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่น อย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ซึ่งเป็นเอาท์เล็ต Luxury แห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงสุดในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย และ ยังคงยืนอยู่แถวหน้าเสมอในการปรับภูมิทัศน์ตลาดลักซ์ซูรี่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

แคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “แรงขับเคลื่อนที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสยามพิวรรธน์ให้อยู่แถวหน้าในตลาดลักซ์ซูรี่ คือ ความเข้าใจเทรนด์ของโลก เข้าใจความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง และข้อกำหนดต่างๆ ของลักซ์ซูรี่แบรนด์ชั้นนำ สยามพิวรรธน์มีวิถีการทำงานแบบ co-create ร่วมกับร้านค้าเพื่อที่จะ curate สินค้า และ ส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษและแตกต่างก่อนใคร เราจึงมีฐานลูกค้าที่ทรงพลังและมีความผูกพันต่อเรามาก รวมถึงความเชื่อมั่นและสัมพันธภาพที่สั่งสมมายาวนานกับลักซ์ซูรี่แบรนด์ทั้งหมด พวกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในศักยภาพของเราที่สามารถสร้างจุดหมายปลายทางระดับโลก และเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ทุกแบรนด์สามารถทำยอดขายสูงสุดในระดับภูมิภาค  และบ่อยครั้งที่ติดอันดับสูงสุดระดับโลก”

สยามพารากอน แลนด์มาร์กระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ ถือเป็นหมุดหมายปลายทางที่ครองใจคนไทย และนักเดินทางจากทั่วโลกมานานเกือบ 2 ทศวรรษ  ขณะที่อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของสยามพิวรรธน์ ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งกำลังฉลองครบรอบ 5 ปี ในปี 2566 นี้ ไม่ได้เป็นเพียงโครงการที่ได้พลิกเกมธุรกิจและ สร้างมาตฐานใหม่ให้กับวงการรีเทลเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางของลักซ์ซูรี่ที่ไม่เหมือนใคร และเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองที่แผ่ขยายไปยังคอมมูนิตี้และธุรกิจโดยรอบ แม้มีปัจจัยท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 ไอคอนสยามสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และประสบความสำเร็จในการยกระดับแม่น้ำเจ้าพระยา และเปลี่ยนพื้นที่ฝั่งธนบุรี ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ และเป็นย่านธุรกิจที่มีการเติบโตสูงที่สุดในกรุงเทพฯ  ในวันนี้ ไอคอนสยามเดินหน้าไปสู่บทบาทใหม่ที่ตื่นตาตื่นใจ ด้วยการขยายพื้นที่โซนลักซ์ซูรี่อีกเท่าตัว เพื่อครองความเป็นผู้นำในตลาด เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกที่ผู้คนทั่วโลก ต้องมาเยือน

แคโรไลน์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการทำงานร่วมกับแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย จนทำให้สยามพารากอนและไอคอนสยามเป็นจุดหมายปลายทางของ Luxury Brand  และทิพาณัท เลณบุรี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานขายและธุรกิจสัมพันธ์ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการบริหารการตลาดกลุ่มสินค้าลักซ์ชูรี่มายาวนานกว่า 20 ปี เข้ามาเสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีม

ทิพาณัทกล่าวว่า “สยามพิวรรธน์เป็นผู้พัฒนาตลาดลักซ์ชูรี่ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในประเทศไทย ทั้งสยามพารากอนและไอคอนสยาม ยังคงเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งเป็นที่ต้องการของทุกลักซ์ซูรี่แบรนด์ระดับโลก ในเดือนตุลาคม 2566 มีการเปิดพื้นที่โซน Luxe Hall ที่สยามพารากอน ซึ่งจะโชว์เคสร้าน Luxury Brand เปิดใหม่ถึง 20 แบรนด์ รวมทั้งแบรนด์ที่เพิ่งเปิดร้านใหม่ อาทิ Loro Piana แบรนด์แฟชั่นเรียบหรูจากประเทศอิตาลี เปิดบูติกแห่งแรกในประเทศไทยที่สยามพารากอน อีกทั้งแฟชั่นแบรนด์เนมยอดนิยม อย่าง Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง) และ Fendi (เฟนดิ)  เปิดบูติกสำหรับผู้ชายแห่งแรกในประเทศไทย ไปจนถึงนาฬิกาแบรนด์หรูตั้งแต่ Vacheron Constantin, Jaeger Le Coultre, IWC, Panerai, Piaget, Chopard และ Franck Muller ล้วนเปิดบูติกแฟล็กชิปแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่สยามพารากอน”   

The New World of Luxury  

สยามพารากอน ได้ทรานสฟอร์มสู่การเป็น New World of Luxury เสริมศักยภาพเพื่อให้สามารถส่งมอบประสบการณ์หลากหลายที่ตรงใจผู้มาเยือน พร้อมสร้างคอมมูนิตี้ที่สมบูรณ์แบบของพลเมืองโลก (Global citizens) เพื่อก้าวไปสู่อีกขั้นของความสมบูรณ์แบบที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคต สยามพารากอนได้พัฒนาคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่หลายรูปแบบ เพื่อนำมาใช้เป็นครั้งแรกในเมืองไทยและครั้งแรกในโลก

“การรีโนเวทครั้งนี้ สยามพารากอนตั้งใจที่จะขยายทั้งความกว้างและความลึกของลักซ์ซูรีให้ไปสู่ระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคนี้ เพื่อดึงดูดกลุ่มคอมมูนิตี้ใหม่ๆ ของลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่จะเป็นแฟนคลับประจำของจุดหมายปลายทางสุดพิเศษแห่งนี้” แคโรไลน์กล่าวเสริม

ในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา สยามพารากอนได้เปิดพื้นที่สาธารณะ รับฟังไอเดียของลูกค้าผ่าน Wall of Wonders ที่เป็น Interactive Wall เพื่อสอบถามถึงรูปแบบความแปลกใหม่ที่ลูกค้าต้องการแล้วนำความคิดเห็นนั้น มารังสรรค์พื้นที่ต่างๆ ให้มีความหลากหลายตรงใจของผู้คนในแต่ละคอมมูนิตี้ และยังนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อที่จะรู้เท่าทันเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เติมเต็มความต้องการในไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของลูกค้า และส่งมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง

“ทุกคนจะร่วมสร้างนิยามใหม่อีกระดับของที่สุดแห่งความล้ำเลิศร่วมกับผู้ประกอบการหลายราย ซึ่งได้เคยสร้างปรากฏการณ์เปิด Flagship Store ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้ว ใน Next Level เราก็จะรังสรรค์ Iconic Store ที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นของความสมบูรณ์แบบที่สุดหนึ่งเดียว และเป็นมาตรฐานใหม่ของความยอดเยี่ยมในประเทศไทย” แคโรไลน์กล่าวปิดท้าย

สยามพารากอนกำลังเตรียมทยอยเปิดพื้นที่โซนใหม่ในปีนี้ พร้อมกับเตรียมเผยโฉมใหม่ของการ รีโนเวทที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Luxury แห่งโลกอนาคต ในกลางปี 2567

]]>
1449176
สยามพิวรรธน์เดินเกมรุก ครองแชมป์ Global Destination อันดับหนึ่งของไทย ขานรับนโยบายรัฐบาล ทุ่ม 1,000 ล้านบาท ดันนักท่องเที่ยว ทะลุเกินเป้าใน Q4 https://positioningmag.com/1444112 Thu, 14 Sep 2023 04:00:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444112

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ประกาศยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนธุรกิจขานรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ผ่าน 4 Strategic Pillars ย้ำจุดแข็งในการเป็นผู้สร้าง Global Destinations อันดับหนึ่งของประเทศไทย ดังนี้ 1) ผู้นำการสร้างประสบการณ์ shopping ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย เสริมแกร่งตลาด Luxury retail ที่มีความครบครันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 2) ผู้นำการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ 3) ผู้นำในการยกระดับผลงานศิลปะไทย สนับสนุนกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก และ 4) ผู้นำในการปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก  ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์ได้เตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท อัดฉีดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นให้แตะ 30 ล้านคน ในไตรมาส 4 ปีนี้

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่าสยามพิวรรธน์เป็นผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก (Global Destinations) ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายที่ครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนานประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกด้วยรางวัลชนะเลิศหลากหลายเวที อีกทั้งยังเป็นผู้ครองฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทยตลอดมา ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 นี้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์มีถึง 14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 46% จากปี 2565 โดยมียอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่ 8,500 บาท/คน/วัน เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อมั่นว่าภายในสิ้นปีนี้ประเทศไทยจะมียอดนักท่องเที่ยวถึง 30 ล้านคน และสยามพิวรรธน์จะทุ่มทุนจัดกิจกรรมในไตรมาสสุดท้ายทุกศูนย์การค้าด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาทเพื่อเป็นแม่เหล็กให้ผู้คนทั่วโลกอยากมาเยี่ยมชม

การขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มสยามพิวรรธน์เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาล ได้กำหนดยุทธศาสตร์ผ่าน 4 Strategic Pillars  ดังนี้

1. ผู้นำการสร้างประสบการณ์ Shopping ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย เสริมแกร่งผู้นำในตลาด Luxury retail ด้วยการผนึกกำลังกับ Luxury brand ร้านค้าผู้เช่า และพันธมิตรธุรกิจ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเตรียมเปิดร้าน Luxury brands ใหม่เพิ่มเติมถึง 20 ร้านค้าในไตรมาส 4 ซึ่งหลายแบรนด์เป็นสาขาแรกในประเทศไทย อีกทั้ง มีคิวจัด Pop-up store และงานอีเวนต์ระดับโลก ร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ไปจนถึงสิ้นปี 2567 รวมทั้งบรรดาลักซ์ซูรี่แบรนด์ทุกค่าย เตรียมขยายพื้นที่กว่าเท่าตัวให้เป็น Iconic store ที่ใหญ่ที่สุดในสยามพารากอนและไอคอนสยามในปีหน้าอีกด้วย

2.ผู้นำการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ โดยทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อดึงดูดนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก โดยใช้พื้นที่รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และทรู ไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์มาตรฐานระดับโลกหรือการประชุมนานาชาติ ซึ่งในปีนี้ได้รองรับงานสำคัญรวมกันกว่า 40 งาน และมีการจองใช้ใน ปี 2567 แล้วมากถึง 70% โดยสยามพิวรรธน์จะร่วมมือกับพันธมิตรใน Global Ecosystem ซึ่งประกอบด้วยพันธมิตรจากหลากหลายธุรกิจทั้งสายการบิน ธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว ภัตตาคาร เพื่อรองรับการจัดงานหลากหลายรูปแบบ ส่งเสริมธุรกิจ MICE และสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการจัดประชุมนานาชาติของ S/E Asia นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดงานอีเวนต์รายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่จะมาร่วมลงทุนสร้างศูนย์ประชุมและการแสดงเพิ่มเติมอีกด้วย สำหรับในไตรมาส 4 ของปีนี้จะลงทุนจัดกิจกรรมระดับชาติครั้งยิ่งใหญ่ในทุกศูนย์การค้ารวมกันถึง 40 กิจกรรม ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะสื่อสารประชาสัมพันธ์ออกสื่อทั่วโลก จึงมั่นใจว่าจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต้องการมาชมและสนุกสนานร่วมกัน

3.ผู้นำในการส่งเสริมศิลปะไทย ยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก  โดยสยามพิวรรธน์ได้บุกเบิกและเป็นผู้ประกอบการที่สนับสนุนศิลปินไทยมาตลอดเวลากว่า 15 ปี เป็นรายแรกที่นำผลงานของศิลปินไทยมาจัดแสดงเป็น public arts ประจำในศูนย์การค้า และจัดกิจกรรมต่างๆ ส่งเสริมความสามารถของศิลปินไทยตลอดมา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ สยามพิวรรธน์เตรียมแผนเสนอรัฐบาลที่จะปั้นให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของ S/E Asia ที่จะจัดงานศิลปะระดับโลกให้เกิดขึ้นเพื่อดึงดูดบุคคลในวงการศิลปะเข้ามาในประเทศไทย อาทิ งาน Art Basel และ Frieze เป็นต้น ซึ่งจะทำให้บรรดาศิลปินไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานร่วมกับศิลปินระดับโลกด้วย โดยจะร่วมทำงานกับภาครัฐในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น สยามพิวรรธน์มีนโยบายที่จะเปิดศูนย์ศิลปะริเวอร์มิวเซียม ชั้น 8 ไอคอนสยาม ในปี 2026 ด้วยพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นมิวเซียมมาตรฐานโลกแห่งแรกของประเทศไทยที่สามารถรองรับงานศิลปะ master piece ระดับโลกได้ทัดเทียมกับมิวเซียมชั้นนำในประเทศต่างๆ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะดึงดูดบุคคลสำคัญในวงการศิลปะและบรรดา นักสะสมงานศิลปะจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทย นับว่าเป็นกลุ่มท่องเที่ยวคุณภาพสูงกลุ่มใหม่ที่จะต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีในระยะยาว

4.ผู้นำในการปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่นำสุดยอดฝีมือในด้านต่างๆ ของไทย เพื่อนำเสนอ Soft power ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น ดีไซเนอร์ และอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs และพ่อค้าแม่ค้าจาก 77 จังหวัด จำนวนกว่า 6,000 ราย มารวมตัวกันนำเสนออัตลักษณ์ไทยรูปแบบต่างๆ ผ่านเมืองสุขสยาม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่าวันละ 70,000 คนและเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากใน social media ทั่วโลก นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยผ่านธุรกิจรีเทลของสยามพิวรรธน์ อันได้แก่ ICONCRAFT, ODS และ ECOTOPIA ก็สามารถขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศ ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์​พร้อมที่จะร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพันธมิตรระดับโลก ยกระดับ Soft power ของคนไทยให้เป็นที่ชื่นชมบนเวทีโลกด้วยเช่นกัน

สยามพิวรรธน์พร้อมที่จะผสานพลังทุกภาคส่วน สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ทำให้ประเทศไทยครองแชมป์จุดหมายปลายทางของโลก ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ที่จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และก่อให้เกิดการจ้างงานกับประชาชนจำนวนมาก ส่งผลกระทบครอบคลุมกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจ MICE และบริการที่จะได้ประโยชน์จากการมาเยือนของชาวต่างชาติ

“สยามพิวรรธน์จะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยเตรียมอัดงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 นี้ และเตรียมจัดงบประมาณเพิ่มอีกเท่าตัวในปีหน้า เพื่อเดินเครื่องหนุนการท่องเที่ยวของไทยตามนโยบายของรัฐบาล โดยมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม สร้างปรากฏการณ์ ปักหมุดให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางแรกที่ต้องมาเยือนสำหรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทางจากทั่วโลก” นางชฎาทิพกล่าวปิดท้าย

 

]]>
1444112