Luxury retail – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 05 Nov 2024 10:33:07 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเส้นทาง “เซ็นทรัล รีเทล” ลงทุนห้างหรูในอิตาลี พลิก Rinascente จาก Department Store สู่ Luxury Retail https://positioningmag.com/1497320 Tue, 05 Nov 2024 08:12:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497320
  • เซ็นทรัล รีเทล กับการลงทุนกลุ่มห้างหรูในยุโรป 13 ปี ปักหมุดอิตาลีด้วยการเข้าซื้อ Rinascente ห้างโลคอลตำนานกว่า 160 ปี 
  • พลิกโฉม Department Store สู่ Luxury Retail เบอร์ 1 ในอิตาลี
  • ปีที่ผ่านมาสามารถกวาดรายได้ 1,000 ล้านยูโร หรือ 36,000 ล้านบาท ทุบสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ มีทราฟฟิก 20 ล้านคนต่อปี รวม 9 สาขา
  • ความฝันของเซ็นทรัลในการครองห้างหรูในยุโรป

    เซ็นทรัล รีเทล หรือ CRC บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หนึ่งในลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเซ็นทรัล กรุ๊ปที่นอกจากจะมีธุรกิจในไทย และเวียดนามแล้ว ยังมีธุรกิจห้างหรูในอิตาลีด้วย หลายคนอาจจะสงสัยธุรกิจห้างหรูในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลมีการแบ่งโครงสร้างอย่างไร  

    renascente

    โดยที่ “รีนาเซนเต” ในอิตาลีจะอยู่ภายใต้เซ็นทรัล รีเทล เพียงกลุ่มเดียว เพราะก่อนหน้านี้มีการซื้อขายภายใต้ CRC พอเข้าตลาดหลักทรัพย์เลยอยู่ในเครือเดียวกันเลย ส่วนห้างหรูอื่นๆ ทั้งคาเดเว กรุ๊ป (เยอรมนี), อิลลุม (เดนมาร์ก), โกลบัส (สวิตเซอร์แลนด์), โกลเดนเนส ควอเทียร์ และกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซลฟริดส์เจส (Selfridges Group) จะอยู่ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล

    รีนาเซนเตมีประวัติยาวนานกว่า 160 ปี เริ่มก่อตั้งปี 1865 (พ.ศ. 2408) แต่เดิมใช้ชื่อว่า La Rinascente แปลว่า Reborn เพราะตอนนั้นในเมืองมิลาน เลยตั้งชื่อว่าเหมือนเป็นการเกิดใหม่อีกครั้ง ภายหลังได้รีแบรนด์เหลือแค่ Rinascente โดยที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 9 สาขา ใน 8 เมือง ในประเทศอิตาลี

    แรกเริ่มเดิมทีรีนาเซนเตเป็นห้างสรรพสินค้าแบบ Traditional Department Store แบบเก่าแก่ ให้นึกถึงภาพ “ตั้งฮั่วเส็ง” ในไทย ให้ฟีลประมาณนั้นเลย อีกทั้งยังเป็นธุรกิจครอบครัวอีกด้วย จนมาถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีลูกหลานดูแลกิจการต่อ จึงมองหาพาร์ทเนอร์ในการส่งต่อธุรกิจ เป็นจังหวะเดียวกันกับ “ทศ จิราธิวัฒน์” หัวเรือใหญ่กลุ่มเซ็นทรัล มีความใฝ่ฝันที่อยากมีห้างสรรพสินค้าในยุโรป การมีดีลของรีนาเซนเตเข้ามา เหมือนเป็นทางด่วนให้ความฝันนั้นเป็นจริงเร็วขึ้น โดยที่ไม่ต้องสร้างห้างเซ็นทรัลในยุโรปเลย

    renascente

    เซ็นทรัลเลยเข้าซื้อกิจการในช่วงปี 2554 ในตอนนั้นเป็นช่วงค่าเงินยูโรอ่อนค่าด้วย เลยเป็นผลดีในการซื้อขาย ก่อนหน้านี้ได้ซื้อตึกร้างแห่งหนึ่งในกรุงโรมเพื่อทำการรีโนเวตเป็นห้างแห่งใหม่ แต่ต้องหยุดสร้างเป็นเวลา 12 ปี เพราะเจอโครงสร้างเก่าแก่สมัยโบราณ จากนั้นจึงได้เปิดตัวรีนาเซนเตในกรุงโรมเมื่อปี 2560

    พลิกโฉมสู่ Luxury Retail 

    ก่อนที่เซ็นทรัล รีเทลจะเข้ามาซื้อกิจการ รีนาเซนเตมีผลประกอบการที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อีกทั้งจุดยืนของห้างก็เป็น Department Store แบบดั้งเดิม ไม่ได้สร้างแรงดึงดูดอะไรมากนัก ประกอบกับห้างที่ค่อนข้างเก่า นักท่องเที่ยวก็ไม่เข้า

    เมื่อเซ็นทรัล รีเทลเข้ามาซื้อกิจการจึงทำการสังคยนาใหม่ ตั้งแต่การปรับโฉม ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้ห้างดั้งเดิมกลายเป็น Luxury Retail เน้นสินค้าแบรนด์เนม ลักชัวรี่ เพราะอิตาลีขึ้นชื่อเรื่องสินค้าแบรนด์เนมอยู่แล้ว พร้อมกับเติมความแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ให้มากขึ้น 

    renascente

    เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทางเซ็นทรัล รีเทลได้พาสื่อมวลชนจากไทยไปเยือนรีนาเซนเต 3 สาขา ได้แก่ โรม, ฟลอเรนซ์ และมิลาน พร้อมกับแชร์อินไซต์ในการพลิกโฉมเป็น Luxury Retail ตอนนี้ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในอิตาลีไปแล้ว

    ปิแอร์ลุยจิ ค็อคคินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ในเครือเซ็นทรัล
    รีเทล กล่าวว่า

    “หลังจากที่เซ็นทรัล รีเทล เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ได้มีการลงทุนครั้งใหญ่ โดยปรับโฉมห้างทุกสาขาทั่วอิตาลี ตั้งแต่ช่วงปี 2554 – 2566 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยน Traditional Department Store สู่ Luxury Retail อย่างเต็มรูปแบบ และสำหรับก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต จะมีการยกระดับห้างไปอีกขั้น โดยชูเอกลักษณ์ของรีนาเชนเตที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า สู่การเป็น Media Company โดยมีการลงทุนพัฒนาห้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโฉมห้างให้สวยงาม, การปรับพอร์ต Brand Mix ให้ทันสมัย, การยกระดับการให้บริการแบบ VIP เช่น บริการ Personal Shopper และการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ผ่านการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด Brand Take Over ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ และการจัด Big Events อีกมากมาย ทำให้ห้างรีนาเชนเตสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และดึงดูดทั้งลูกค้าโลคอล ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี”

    ภาพรวมของรีนาเซนเตทั้งหมด มีพื้นที่รวมทั้งหมดทุกสาขา 74,000 ตารางเมตร ออนไลน์สโตร์ 1 แห่ง มีสินค้าขายรวม 559,000 รายการ 3,600 แบรนด์ มีสมาชิกรีนาเซนเต การ์ด 4 ล้านราย มีทราฟฟิกเยี่ยมชมสโตร์ปีละ 20 ล้านคน โดยที่ 47% ของลูกค้า มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

    สำหรับรีนาเซนเต สาขาโรม มีพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยที่ชั้น 7 ได้รีโนเวตนำร้านอาหารที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ยังคงใช้โครงสร้างสไตล์โรม มีช่องให้แสดงแดดเข้า 

    สาขานี้มีทราฟฟิกผู้ใช้บริการเฉลี่ย 5,000 คน สำหรับวันธรรมดา และ 10,000 คนในวันเสาร์-อาทิตย์ สัดส่วนรายได้ 60% มาจากนักท่องเที่ยว ท็อป 5 ที่มาเยือนมากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, จีน, เกาหลีใต้, บราซิล และกลุ่มตะวันออกกลาง

    renascente

    สัดส่วนสินค้าส่วนใหญ่ 70% เป็นสินค้าลักชัวรี่ คนอิตาเลียนชอบใช้ของแบรนด์เนม และชอบแบรนด์อิตาลีเอง ได้แก่ Dolce&Gabbana, Prada, Gucci, Tod, Valentino และ Bottega Veneta แบรนด์เหล่านี้จะค่อนข้างขายดี 

    สินค้าที่มียอดขายอันดับหนึ่ง ยังคงเป็นสินค้ากลุ่มผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ 50% รองลงมาเป็นสินค้าผู้ชาย เสื้อผ้าต่างๆ 50% 

    ช่องทางออนไลน์ยังเป็นสัดส่วนน้อย เพราะคนอิตาเลียนชอบเดินห้าง ชอบลองสินค้า เพราะฉะนั้นประสบการณ์ในห้างจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับเซ็นทรัล รีเทลในการเข้ามาลงทุนห้างหรูในยุโรปก็คือ “คอนเน็กชั่น” ได้มีคอนเน็กชั่นดีๆ กับเหล่าแบรนด์เนมต่างๆ มีพาวเวอร์ที่ดีในการดึงมาลงทุนที่ไทย ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ 

    ทุบสถิติกวาดรายได้พันล้านยูโร

    ถึงแม้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบทั่วโลกจะไม่สู้ดีนัก รวมถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก แต่ภาพรวมของอิตาลียังเติบโตมากกว่ามากกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม EU รวมไปถึงสถานการณ์ช่วงหลัง COVID-19 ที่กระทบไปทั่วโลก กำลังซื้อก็แย่ลง แต่การรีนาเซนเตมีการรีโนเวตห้าง ทำให้ยังดึงนักท่องเที่ยวได้อยู่

    ทำให้ในปี 2566 รีนาเซนเตกวาดรายได้ 1,000 ล้านยูโร หรือราว 36,000 ล้านบาท ทุบสถิตินิวไฮเป็นครั้งแรก โดยที่สาขามิลานสร้างรายได้อันดับ 1 ที่ 430 ล้านยูโร

    renascente

    รีนาเซนเตสาขามิลานมีพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของเมืองมิลานก็คือ อยู่ติดกับมหาวิหาร Duomo di Milano จุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเยือน ทำให้สาขานี้มีทราฟฟิกคนมาเยือนปีละ 8 ล้านคน สัดส่วนรายได้แบ่งเป็นคนโลคอล 70% และนักท่องเที่ยว 30% กลุ่มที่มาเยือนมากที่สุด ได้แก่ จีน, สหรัฐอเมริกา และกลุ่มตะวันออกกลาง

    ที่นี่ยังคงเน้นสินค้าลักชัวรี่มีสัดส่วน 72% แบรนด์ที่ขายดีที่สุด ได้แก่ Louis Vuitton, Dior และ Gucci กลุ่มสินค้าที่ขายดีที่สุดยังเป็นกลุ่มผู้หญิง กระเป๋า รองเท้า รองลงมาเป็นกลุ่มเสื้อผ้าผู้หญิง และเสื้อผ้าผู้ชาย

    ที่มิลานจะมีการรีโนเวตใหญ่ ใช้งบลงทุน 1,200 ล้านบาท ย้ายโซนบิวตี้ไปที่ตึกใหม่ทั้งหมด บนพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ซึ่งตึกข้างๆ เป็นโรงภาพยนตร์เก่า แต่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นฮอลล์บิวตี้ เปิดให้บริการปี 2570 

    ส่วนที่สาขาฟลอเรนซ์ แม้จะเป็นสาขาเล็กพริกขี้หนู มีพื้นที่ 3,000-4,000 ตารางเมตร แต่ก็ยังตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ใจกลางเมือง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี สร้างรายได้ 40 ล้านยูโรต่อปี สาขานี้คนไทยไปเยือน และมีการใช้จ่ายติด Top 10 

    สำหรับก้าวต่อไปของห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต จะมีการยกระดับห้างไปอีกขั้น โดยชูเอกลักษณ์ของรีนาเชนเตที่เป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า สู่การเป็น Media Company โดยมีการลงทุนพัฒนาห้างอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโฉมห้างให้สวยงาม, การปรับพอร์ต Brand Mix ให้ทันสมัย, การยกระดับการให้บริการลูกค้าแบบ VIP เช่น บริการ Personal Shopper ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในด้านต่างๆ และการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่า ผ่านการจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น การจัด Brand Take Over ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ และการจัด Big Events อีกมากมาย ทำให้ห้างรีนาเชนเตสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และดึงดูดทั้งลูกค้าโลคอล ลูกค้าชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี

    ]]>
    1497320
    สยามพิวรรธน์ ยืนหนึ่งผู้นำ Luxury ที่ครองฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงสุดในไทย เปิดตัว JAI by ONESIAM ลักซ์ซูรี่ไลฟ์สไตล์คลับระดับโลก ก้าวไปอีกขั้นสู่การสร้างคอมมูนิตี้ที่ไร้พรมแดน https://positioningmag.com/1480471 Tue, 02 Jul 2024 12:40:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1480471

    ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตอกย้ำความป็นผู้นำในตลาด Luxury Retail ที่ครองความเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่สุดในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จจากยอดการใช้จ่ายที่เติบโตสูง ด้วยการเพิ่มศักยภาพและยกระดับ Luxury CRM สำหรับลูกค้าสมาชิก (Membership) ในรูปแบบใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Global citizen  พร้อมกับการเปิดตัว JAI by ONESIAM ลักซ์ซูรี่คลับระดับโลกรูปแบบใหม่ ก้าวข้ามขอบเขตเดิมๆ ออกไปสู่การสร้างเน็ตเวิร์คกับสมาชิกหนุ่มสาวระดับแถวหน้าจากหลากหลายวงการในเอเชีย ตอบโจทย์ลูกค้าระดับพรีเมียมในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่หาไม่ได้จากที่อื่น

    นางธณพร ตันติยานนท์ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ กล่าวว่า “สยามพิวรรธน์เป็นผู้พัฒนาโกลบอลเดสติเนชั่นที่มีฐานลูกค้าที่ทรงพลังในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง หรือกลุ่ม High Net Worth (HNW) เราประสบความสำเร็จด้วยยอดเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการใช้จ่ายของลูกค้าที่เป็นสมาชิก ONESIAM  ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 30% ของฐานลูกค้าปัจจุบัน เราพร้อมที่จะยกระดับบริการลูกค้าในแบบ VVIP ด้วยการมอบสิทธิพิเศษใหม่ๆ และประสบการณ์เหนือระดับที่หาซื้อไม่ได้  เนื่องจากเรามีสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มและครบครันมากที่สุดทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ และด้วยการเปิดตัว ONESIAM SuperApp แอปพลิเคชั่นเดียวที่สามารถตอบโจทย์ลักซ์ซูรี่ไลฟ์สไตล์ การสร้างสรรค์ประสบการณ์ลูกค้าโดยใช้ข้อมูล หรือ data-driven CRM ทำให้เราเข้าใจความต้องการลูกค้าอย่างลึกซึ้งสามารถนำเสนอบริการแบบ Personalized ที่เยี่ยมยอด อีกทั้งการสร้างประสบการณ์ลักซ์ซูรี่ในรูปแบบใหม่ และงานอีเวนต์แบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าได้สินค้าคอลเลคชั่นพิเศษก่อนใคร  รวมทั้งสิทธิพิเศษ อาทิ การให้ ONESIAM Coin สิทธิประโยชน์จากการซื้อสินค้ากลุ่มลักซ์ซูรี่แบรนด์ทุกร้าน”  

    ความแข็งแกร่งเหล่านี้ทำให้สยามพิวรรธน์มีความพร้อมที่จะยกระดับการสร้างประสบการณ์ Luxury Community ให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการส่ง JAI by ONESIAM ลักซ์ซูรี่ไลฟ์สไตล์คลับระดับโลก เพื่อตอบความต้องการมากกว่าการเข้าถึงสินค้า แต่รวมถึงการเข้าถึงคอมมูนิตี้ใหม่ๆ ที่นำเสนอประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่อื่น และโอกาสที่จะร่วมสร้างสรรค์โลกของลักซ์ซูรี่ในอนาคต

    นางสาวโมโมริ ฮิราบายาชิ Business Development บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “JAI by ONESIAM เป็นคอมมูนิตี้หนึ่งเดียวที่บุกเบิกการสร้างประสบการณ์ลักซ์ซูรี่ไลฟ์สไตล์ ของบรรดาผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ที่ไปไกลกว่าความลักซ์ซูรี่ เพื่อมุ่งสู่การสร้างสรรค์ร่วมกัน (Co-creation) ระหว่างสมาชิกร่วมก่อตั้งอย่างเช่น ผู้นำด้านเทคโนโลยีจากฮ่องกง จนถึงผู้นำอุตสาหกรรมแฟชั่นจากเอเชีย และยุโรป  และพันธมิตรระดับโลก ที่จะมากำหนดนิยามใหม่ของอนาคต ด้วยการจับมือกันรวมพลังสร้างนวัตกรรมใหม่ สปิริตของการผสานความร่วมมือเป็นหัวใจสำคัญของ JAI เมื่อสมาชิกและพันธมิตรเชื่อมโยง ร่วมมือ  และสร้างสรรค์ ประสบการณ์อันน่าจดจำร่วมกัน จะทำให้สามารถก้าวข้ามความธรรมดา และมุ่งสู่ประสบการณ์ลักซ์ซูรี่เหนือระดับที่แตกต่างไม่เหมือนใคร”


    แนวคิดที่ล้ำสมัยของ JAI by ONESIAM

    1.การสร้างคอมมูนิตี้ของผู้มีวิสัยทัศน์จากหลากหลายอุตสาหกรรมและประสบการณ์ มารวมตัวกันด้วยความชื่นชอบในนวัตกรรมที่เหมือนกัน มีแรงขับเคลื่อนที่จะสร้างสรรค์ มองหาโอกาสใหม่ๆ ที่ไร้พรมแดน กิจกรรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟจะถูกจัดขึ้นในทุกเดือน เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ของสมาชิกที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน และเปิดโอกาสให้สมาชิกได้พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ความรู้กับผู้บริหารระดับสูง ซีอีโอจากองค์กรชั้นนำ หรือผู้มีวิสัยทัศน์ในสายอาชีพต่างๆ อีกด้วย ในช่วงเวลาที่ผ่านมา JAI เชื่อมโยงคอมมูนิตี้ผ่านกิจกรรม อาทิ งาน JAI Hong Kong Art Basel Week ซึ่งจัดที่ฮ่องกงเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2567 หรือ การจัดงานร่วมกับ Blaq Lyte และ PLEASURES แบรนด์สตรีทแฟชั่นจากลอสแอนเจลิสหรือการจัดงานล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยาร่วมกับ Hashed ที่ได้รวบรวมผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลกมาที่ประเทศไทย

    2.บุกเบิกความลักซ์ซูรี่ในยุคใหม่โดยการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อมอบข้อเสนอพิเศษให้เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่ตอบความต้องการของสมาชิก พร้อมทั้งการมอบสิทธิพิเศษที่คัดสรรจากสยามพิวรรธน์และพันธมิตร ด้วยการเข้าชมงานอีเวนต์แบบ Exclusive สิทธิประโยชน์เหนือระดับในรูปแบบต่างๆ อาทิ งาน JAI Art Nite ที่ เดอะสแตนดาร์ด กรุงเทพมหานครและสิทธิพิเศษจากสยามพิวรรธน์ ด้วยบริการผู้ช่วยส่วนตัว บริการต้อนรับที่สนามบิน รถลีมูซีน ห้องรับรองพิเศษ VIP Lounges ที่สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ และไอคอนสยาม บริการจองร้านอาหาร และ Concierge service

    JAI by ONESIAM มีการจัดอีเวนต์ 2-3 ครั้งทุกเดือนทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองต่างๆ ในเอเชีย เพื่อสร้าง passion และแรงบันดาลใจ ให้ทุกวันเป็นวันพิเศษเหนือธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ ความบันเทิง อาหาร และแฟชั่น  สำหรับโลกของลักซ์ซูรี่ สมาชิก JAI จะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนใครจากสิทธิพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟในการเข้าชมคอลเลคชั่นพิเศษ ผลงานระดับมาสเตอร์พีสที่ไม่ได้เปิดใครเข้าชม และโอกาสที่จะได้พูดคุยกับเจ้าของแบรนด์ รวมทั้งสิทธิที่จะได้บัตรเข้าชมการแข่งขัน  F1 Singapore Grand Prix  ที่สิงคโปร์  หรือทัวร์นาเม้นท์กอล์ฟของมืออาชีพ ไปจนถึงงานปาร์ตี้แบบมีสไตล์

    3.ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในระดับโลก โดยดึงศักยภาพจากพันธมิตรระดับโลก มาสร้างโอกาสที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ความร่วมมือกับแบรนด์และองค์กรชั้นนำทั่วโลกทำให้ JAI ขยายการเข้าถึงและทำให้เกิดการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตไปอย่างกว้างไกล คอมมูนิตี้ระดับโลกนี้เชื่อม global citizen จากหลากหลายวงการ ตั้งแต่ภาคธุรกิจ เทคโนโลยี การเงิน บริการ แฟชั่น และศิลปะ กิจกรรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จัดขึ้นในเมืองสำคัญๆ ปัจจุบัน มีสมาชิกที่เข้าร่วมจากประเทศต่างๆ อาทิ แคนาดา ฝรั่งเศส ฮ่องกง ฮังการี สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สวีเดน สหรัฐอเมริกา และไทย

    JAI ได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรในวงการลักซ์ซูรี่ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก ยกระดับการใช้ชีวิตสุดหรู สร้างประสบการณ์เหนือระดับที่หาไม่ได้จากที่อื่น สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ

    • เปิดโลกแห่งการเดินทางแบบลักซ์ซูรี่: DayAway  มอบ Complimentary access สมาชิกระดับเจ็ตเซ็ทเตอร์ของ DayAway ที่จะมอบประสบการณ์ลักซ์ซูรีและสิทธิประโยชน์จากโรงแรมร้านอาหาร ไพรเวทคลับในเมืองที่ดีที่สุด เช่น ซิดนีย์ สิงคโปร์ และอื่นๆ และเรทพิเศษจากเครือโรงแรมหรูกว่า 4,500 แห่งทั่วโลก รวมทั้ง  Raffles, AMAN และ Four Seasons   
    • สร้างประสบการณ์การเดินทางแบบไร้รอยต่อ: Concierge service ตอบโจทย์ทุกเรื่องของการเดินทาง ตั้งแต่บริการคนขับรถ ช่องทางพิเศษที่สนามบิน รังสรรค์ทริปสุดหรูสู่จุดหมายปลายทาง เช่น เกาะมิคอนนอส นิเซโกะ ภูเก็ต และอิบิซา
    • ประสบการณ์พักผ่อนแบบมีสไตล์ ณ โอเอซิสใจกลางเมือง The Standard Hotels ผู้นำเครือโรงแรมแนวบูติคระดับโลก มอบส่วนลดพิเศษทั้งห้องพัก ร้านอาหารชั้นนำ และบริการสปา สร้างประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่ที่จะยกระดับไลฟ์สไตล์ทั้งที่กรุงเทพ และเมืองอื่นๆ
    • Yona Beach Club: บีชคลับลอยน้ำครั้งแรกของโลกที่จังหวัดภูเก็ต มอบบริการ onboarding ฟรีและบริการ Early event access สำหรับสมาชิก JAI ที่จะได้สัมผัสพื้นที่แห่งการสังสรรค์และพักผ่อนอย่างแท้จริง
    • Blue by Alain Ducasse: สัมผัสประสบการณ์อาหารสุดล้ำกับร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งสัญชาติฝรั่งเศส ที่ไอคอนสยาม นำทีมโดยเชฟมิชลินสตาร์ วิลฟริด อ็อกเก (WilfridHocquet) มอบ Complementary Blue Candle มูลค่า 1,700 บาท และเค้กวันเกิดฟรี สำหรับสมาชิก JAI
    • Hungry in Bali: เปิดประสบการณ์การลิ้มรสอาหารในบาหลีด้วย Hungry in Bali สุดยอดคู่มือสู่จุดหมายปลายทางด้านอาหารที่ต้องลิ้มลอง เพลิดเพลินกับส่วนลดแบบเอ็กซ์คลูซีฟและสิทธิพิเศษระดับ VIP มูลค่ากว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากร้านอาหาร คาเฟ่ยอดนิยม บาร์ลับ และสปา กว่า 90 แห่งในบาหลี
    • Awethentic Journeys นำเสนอประสบการณ์ Wellness Retreat สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมกับการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจที่จะนำไปสู่การพัฒนาตนเองและการค้นพบตัวเองในสถานที่สุดล้ำ เช่น บาหลี มองโกเลีย และนอร์เวย์

    ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ JAI by ONESIAM เชื่อมโยงกับคอมมูนิตี้ของผู้มีวิสัยทัศน์ ที่มุ่งมั่นในการสร้างสุดยอดประสบการณ์เหนือระดับ ติดตาม JAI by ONESIAM ผ่านทางอินสตาแกรม @jaibyonesiam หรือข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.jaibyonesiam.com

    ]]>
    1480471
    สยามพิวรรธน์ยืนหนึ่งผู้นำ Luxury Retail ในไทย ยอดขายปี 2023 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มุ่งสู่การเป็น Luxury Destination ที่ดีที่สุดในเอเชีย https://positioningmag.com/1464364 Fri, 01 Mar 2024 12:45:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464364

    กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำเจ้าของและผู้บริหารจุดหมายปลายทางระดับโลก อย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลก  ด้วยยอดขายสินค้ากลุ่มลักซ์ซูรี่ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 โดยยอดขายของลักซ์ซูรี่แบรนด์ที่ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีอัตราการเติบโตสะสมถึง 300% เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้สอดคล้องกับแผนการขยายพื้นที่โซนลักซ์ซูรี่ทั้งที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม โดยเฉพาะการเปิด Luxe Hall ที่สยามพารากอนในเดือนตุลาคม 2566 ส่งผลให้แบรนด์ดังระดับโลกร่วมเปิดแฟล็กชิฟสโตร์หรือบูติกช็อปแห่งใหม่มากมายตลอดในปีที่ผ่านมา  

    แคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มสยามพิวรรธน์ยังคงอยู่แถวหน้าในตลาดลักซ์ซูรี่ และได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก สะท้อนให้เห็นจากยอดขายลักซ์ซูรี่แบรนด์ ที่สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยังคงติดอันดับสูงสุดในเอเชีย และบางแบรนด์ติดอันดับระดับท็อปของโลก ทำให้ศูนย์การค้าของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ยังครองแชมป์ส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงสุดในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย และยังเป็นศูนย์การค้าที่เป็น Preferred choice สำหรับแบรนด์ดังต่างๆ ที่ต้องการจะเปิดร้านค้าแห่งแรก หรือการขยายธุรกิจเพื่อสร้างแฟล็กชิพสโตร์ระดับโลก ทำให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษและแตกต่างก่อนใคร”

    ในปี 2566 แบรนด์ดังระดับโลกได้เปิดลักซ์ซูรีบูติกแห่งใหม่จำนวน 35 แบรนด์ ทั้งที่สยามพารากอนและไอคอนสยาม และมีแผนงานที่จะเปิดอีก 20 แบรนด์ในปี 2567  บูติกสโตร์เปิดใหม่ในปี 2566 รวมถึง  Loro Piana แบรนด์แฟชั่นเรียบหรูจากอิตาลีเปิดบูติกแห่งแรกในประเทศไทย แฟชั่นแบรนด์เนมยอดนิยม อย่าง Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง) และ Fendi (เฟนดิ)  เปิดบูติกสำหรับผู้ชายแห่งแรกที่สยามพารากอน รวมทั้งนาฬิกาแบรนด์หรูที่มาเปิดบูติกแห่งใหม่ อาทิ Breitling, Chopard, Franck Muller, Gucci Watch, IWC, Jaeger Le Coultre, Panerai, Piaget, Rolex, Tag Heuer, Tudor, Vacheron

     

    Constantin และ Zenith ซึ่งบูติกส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ที่เปิดครั้งแรกในประเทศไทยและเป็นแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่สยามพารากอนเท่านั้น ขณะที่ไอคอนสยามเตรียมขยายพื้นที่สำหรับลักซ์ซูรี่เพิ่มอีกเท่าตัวในปีนี้ พร้อมกับเตรียมเผยโฉมร้านใหม่ในรูปแบบดูเพล็กซ์ (Duplex) ของแบรนด์ดัง ซึ่งจะเป็นบูติกแห่งแรกในประเทศไทย

    นอกจากนี้ ตลอดในปี 2566 สยามพารากอน และไอคอนสยาม ยังได้รับเลือกจากแบรนด์หรูให้เป็นพื้นที่สำหรับการเปิด Pop-up Store และจัดแสดงนิทรรศการจำนวน 24 ครั้ง รวมทั้งงานโชว์เคสครั้งยิ่งใหญ่ในไทย “Hermès in the Making นิทรรศการที่เนรมิตพื้นที่ The Pinnacle ของไอคอนสยาม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม 2566 ถ่ายทอดเรื่องราวความประณีตของช่างฝีมือ 10 คนจากโรงผลิตของแบรนด์ที่นำเสนอเทคนิคงานคราฟต์ผ่านการสาธิต การเวิร์กช้อป และกิจกรรมต่างๆ ที่แบรนด์ใส่ใจในทุกรายละเอียด และได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมอย่างล้นหลาม และในปี 2567 คาดว่าจะมีการเปิด Pop-up Store และจัดแสดงนิทรรศการมากกว่า 23 งาน เพื่อสร้างประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

    ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างปรากฏการณ์ลักซ์ซูรี่ระดับโลกเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบลักซ์ซูรี่แห่งโลกอนาคต สยามพิวรรธน์ยังคงร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลกในการ curate สินค้าและบริการในรูปแบบใหม่ๆ ทั้งในสยามพารากอน และไอคอนสยาม เสริมศักยภาพเพื่อให้สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบพรีเมียมหลากหลาย และดึงดูดลูกค้าทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 350,000 คนต่อวัน  ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในธุรกิจลักซ์ซูรีในประเทศไทยจะเปิดทางให้ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ เดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นจุดหมายปลายทางลักซ์ซูรี่ (Luxury Destination) ที่ดีที่สุดในเอเชีย

     

    ]]>
    1464364
    สยามพิวรรธน์เสริมแกร่งผู้นำอันดับ 1 Luxury Retail ในไทย ตั้งเป้าจุดหมายปลายทาง Luxury ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก https://positioningmag.com/1449176 Wed, 25 Oct 2023 10:49:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449176

    กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เดินหน้าเกมรุกครั้งสำคัญที่จะสร้างนิยามใหม่ให้กับโครงการศูนย์การค้าชั้นนำระดับเวิล์ดคลาส ที่จะมาพลิกเกมธุรกิจ ด้วยการ Co-create ร่วมกับลักซ์ซูรี่แบรนด์ ในการ curate สินค้าและบริการ เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำในตลาด Luxury Retail ปักหมุดจุดปลายทางระดับโลก ที่รวบรวมความเพลิดเพลินของการใช้ชีวิตแบบลักซ์ซูรี่ที่ครบครันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    ในปัจจุบัน ธุรกิจ Luxury ต้องนำเสนอประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในทุกเจนเนอเรชั่นและทุกรูปแบบการใช้ชีวิต สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่น อย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ซึ่งเป็นเอาท์เล็ต Luxury แห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันสูงสุดในตลาด Luxury Retail ในประเทศไทย และ ยังคงยืนอยู่แถวหน้าเสมอในการปรับภูมิทัศน์ตลาดลักซ์ซูรี่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    แคโรไลน์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการขายและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “แรงขับเคลื่อนที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสยามพิวรรธน์ให้อยู่แถวหน้าในตลาดลักซ์ซูรี่ คือ ความเข้าใจเทรนด์ของโลก เข้าใจความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง และข้อกำหนดต่างๆ ของลักซ์ซูรี่แบรนด์ชั้นนำ สยามพิวรรธน์มีวิถีการทำงานแบบ co-create ร่วมกับร้านค้าเพื่อที่จะ curate สินค้า และ ส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษและแตกต่างก่อนใคร เราจึงมีฐานลูกค้าที่ทรงพลังและมีความผูกพันต่อเรามาก รวมถึงความเชื่อมั่นและสัมพันธภาพที่สั่งสมมายาวนานกับลักซ์ซูรี่แบรนด์ทั้งหมด พวกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในศักยภาพของเราที่สามารถสร้างจุดหมายปลายทางระดับโลก และเป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ทุกแบรนด์สามารถทำยอดขายสูงสุดในระดับภูมิภาค  และบ่อยครั้งที่ติดอันดับสูงสุดระดับโลก”

    สยามพารากอน แลนด์มาร์กระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ ถือเป็นหมุดหมายปลายทางที่ครองใจคนไทย และนักเดินทางจากทั่วโลกมานานเกือบ 2 ทศวรรษ  ขณะที่อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของสยามพิวรรธน์ ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งกำลังฉลองครบรอบ 5 ปี ในปี 2566 นี้ ไม่ได้เป็นเพียงโครงการที่ได้พลิกเกมธุรกิจและ สร้างมาตฐานใหม่ให้กับวงการรีเทลเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางของลักซ์ซูรี่ที่ไม่เหมือนใคร และเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองที่แผ่ขยายไปยังคอมมูนิตี้และธุรกิจโดยรอบ แม้มีปัจจัยท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 ไอคอนสยามสามารถฟันฝ่าอุปสรรค และประสบความสำเร็จในการยกระดับแม่น้ำเจ้าพระยา และเปลี่ยนพื้นที่ฝั่งธนบุรี ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ และเป็นย่านธุรกิจที่มีการเติบโตสูงที่สุดในกรุงเทพฯ  ในวันนี้ ไอคอนสยามเดินหน้าไปสู่บทบาทใหม่ที่ตื่นตาตื่นใจ ด้วยการขยายพื้นที่โซนลักซ์ซูรี่อีกเท่าตัว เพื่อครองความเป็นผู้นำในตลาด เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกที่ผู้คนทั่วโลก ต้องมาเยือน

    แคโรไลน์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการทำงานร่วมกับแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย จนทำให้สยามพารากอนและไอคอนสยามเป็นจุดหมายปลายทางของ Luxury Brand  และทิพาณัท เลณบุรี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานขายและธุรกิจสัมพันธ์ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการบริหารการตลาดกลุ่มสินค้าลักซ์ชูรี่มายาวนานกว่า 20 ปี เข้ามาเสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีม

    ทิพาณัทกล่าวว่า “สยามพิวรรธน์เป็นผู้พัฒนาตลาดลักซ์ชูรี่ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในประเทศไทย ทั้งสยามพารากอนและไอคอนสยาม ยังคงเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งเป็นที่ต้องการของทุกลักซ์ซูรี่แบรนด์ระดับโลก ในเดือนตุลาคม 2566 มีการเปิดพื้นที่โซน Luxe Hall ที่สยามพารากอน ซึ่งจะโชว์เคสร้าน Luxury Brand เปิดใหม่ถึง 20 แบรนด์ รวมทั้งแบรนด์ที่เพิ่งเปิดร้านใหม่ อาทิ Loro Piana แบรนด์แฟชั่นเรียบหรูจากประเทศอิตาลี เปิดบูติกแห่งแรกในประเทศไทยที่สยามพารากอน อีกทั้งแฟชั่นแบรนด์เนมยอดนิยม อย่าง Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง) และ Fendi (เฟนดิ)  เปิดบูติกสำหรับผู้ชายแห่งแรกในประเทศไทย ไปจนถึงนาฬิกาแบรนด์หรูตั้งแต่ Vacheron Constantin, Jaeger Le Coultre, IWC, Panerai, Piaget, Chopard และ Franck Muller ล้วนเปิดบูติกแฟล็กชิปแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่สยามพารากอน”   

    The New World of Luxury  

    สยามพารากอน ได้ทรานสฟอร์มสู่การเป็น New World of Luxury เสริมศักยภาพเพื่อให้สามารถส่งมอบประสบการณ์หลากหลายที่ตรงใจผู้มาเยือน พร้อมสร้างคอมมูนิตี้ที่สมบูรณ์แบบของพลเมืองโลก (Global citizens) เพื่อก้าวไปสู่อีกขั้นของความสมบูรณ์แบบที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตแห่งโลกอนาคต สยามพารากอนได้พัฒนาคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่หลายรูปแบบ เพื่อนำมาใช้เป็นครั้งแรกในเมืองไทยและครั้งแรกในโลก

    “การรีโนเวทครั้งนี้ สยามพารากอนตั้งใจที่จะขยายทั้งความกว้างและความลึกของลักซ์ซูรีให้ไปสู่ระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคนี้ เพื่อดึงดูดกลุ่มคอมมูนิตี้ใหม่ๆ ของลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่จะเป็นแฟนคลับประจำของจุดหมายปลายทางสุดพิเศษแห่งนี้” แคโรไลน์กล่าวเสริม

    ในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา สยามพารากอนได้เปิดพื้นที่สาธารณะ รับฟังไอเดียของลูกค้าผ่าน Wall of Wonders ที่เป็น Interactive Wall เพื่อสอบถามถึงรูปแบบความแปลกใหม่ที่ลูกค้าต้องการแล้วนำความคิดเห็นนั้น มารังสรรค์พื้นที่ต่างๆ ให้มีความหลากหลายตรงใจของผู้คนในแต่ละคอมมูนิตี้ และยังนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อที่จะรู้เท่าทันเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เติมเต็มความต้องการในไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของลูกค้า และส่งมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง

    “ทุกคนจะร่วมสร้างนิยามใหม่อีกระดับของที่สุดแห่งความล้ำเลิศร่วมกับผู้ประกอบการหลายราย ซึ่งได้เคยสร้างปรากฏการณ์เปิด Flagship Store ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้ว ใน Next Level เราก็จะรังสรรค์ Iconic Store ที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นของความสมบูรณ์แบบที่สุดหนึ่งเดียว และเป็นมาตรฐานใหม่ของความยอดเยี่ยมในประเทศไทย” แคโรไลน์กล่าวปิดท้าย

    สยามพารากอนกำลังเตรียมทยอยเปิดพื้นที่โซนใหม่ในปีนี้ พร้อมกับเตรียมเผยโฉมใหม่ของการ รีโนเวทที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ Luxury แห่งโลกอนาคต ในกลางปี 2567

    ]]>
    1449176
    สยามพิวรรธน์เดินเกมรุก ครองแชมป์ Global Destination อันดับหนึ่งของไทย ขานรับนโยบายรัฐบาล ทุ่ม 1,000 ล้านบาท ดันนักท่องเที่ยว ทะลุเกินเป้าใน Q4 https://positioningmag.com/1444112 Thu, 14 Sep 2023 04:00:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444112

    บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ประกาศยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนธุรกิจขานรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ผ่าน 4 Strategic Pillars ย้ำจุดแข็งในการเป็นผู้สร้าง Global Destinations อันดับหนึ่งของประเทศไทย ดังนี้ 1) ผู้นำการสร้างประสบการณ์ shopping ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย เสริมแกร่งตลาด Luxury retail ที่มีความครบครันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 2) ผู้นำการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ 3) ผู้นำในการยกระดับผลงานศิลปะไทย สนับสนุนกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก และ 4) ผู้นำในการปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก  ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์ได้เตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท อัดฉีดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นให้แตะ 30 ล้านคน ในไตรมาส 4 ปีนี้

    นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่าสยามพิวรรธน์เป็นผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก (Global Destinations) ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายที่ครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนานประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกด้วยรางวัลชนะเลิศหลากหลายเวที อีกทั้งยังเป็นผู้ครองฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทยตลอดมา ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 นี้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์มีถึง 14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 46% จากปี 2565 โดยมียอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่ 8,500 บาท/คน/วัน เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อมั่นว่าภายในสิ้นปีนี้ประเทศไทยจะมียอดนักท่องเที่ยวถึง 30 ล้านคน และสยามพิวรรธน์จะทุ่มทุนจัดกิจกรรมในไตรมาสสุดท้ายทุกศูนย์การค้าด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาทเพื่อเป็นแม่เหล็กให้ผู้คนทั่วโลกอยากมาเยี่ยมชม

    การขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มสยามพิวรรธน์เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาล ได้กำหนดยุทธศาสตร์ผ่าน 4 Strategic Pillars  ดังนี้

    1. ผู้นำการสร้างประสบการณ์ Shopping ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย เสริมแกร่งผู้นำในตลาด Luxury retail ด้วยการผนึกกำลังกับ Luxury brand ร้านค้าผู้เช่า และพันธมิตรธุรกิจ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเตรียมเปิดร้าน Luxury brands ใหม่เพิ่มเติมถึง 20 ร้านค้าในไตรมาส 4 ซึ่งหลายแบรนด์เป็นสาขาแรกในประเทศไทย อีกทั้ง มีคิวจัด Pop-up store และงานอีเวนต์ระดับโลก ร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ไปจนถึงสิ้นปี 2567 รวมทั้งบรรดาลักซ์ซูรี่แบรนด์ทุกค่าย เตรียมขยายพื้นที่กว่าเท่าตัวให้เป็น Iconic store ที่ใหญ่ที่สุดในสยามพารากอนและไอคอนสยามในปีหน้าอีกด้วย

    2.ผู้นำการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ โดยทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อดึงดูดนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก โดยใช้พื้นที่รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และทรู ไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์มาตรฐานระดับโลกหรือการประชุมนานาชาติ ซึ่งในปีนี้ได้รองรับงานสำคัญรวมกันกว่า 40 งาน และมีการจองใช้ใน ปี 2567 แล้วมากถึง 70% โดยสยามพิวรรธน์จะร่วมมือกับพันธมิตรใน Global Ecosystem ซึ่งประกอบด้วยพันธมิตรจากหลากหลายธุรกิจทั้งสายการบิน ธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว ภัตตาคาร เพื่อรองรับการจัดงานหลากหลายรูปแบบ ส่งเสริมธุรกิจ MICE และสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการจัดประชุมนานาชาติของ S/E Asia นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดงานอีเวนต์รายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่จะมาร่วมลงทุนสร้างศูนย์ประชุมและการแสดงเพิ่มเติมอีกด้วย สำหรับในไตรมาส 4 ของปีนี้จะลงทุนจัดกิจกรรมระดับชาติครั้งยิ่งใหญ่ในทุกศูนย์การค้ารวมกันถึง 40 กิจกรรม ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะสื่อสารประชาสัมพันธ์ออกสื่อทั่วโลก จึงมั่นใจว่าจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต้องการมาชมและสนุกสนานร่วมกัน

    3.ผู้นำในการส่งเสริมศิลปะไทย ยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก  โดยสยามพิวรรธน์ได้บุกเบิกและเป็นผู้ประกอบการที่สนับสนุนศิลปินไทยมาตลอดเวลากว่า 15 ปี เป็นรายแรกที่นำผลงานของศิลปินไทยมาจัดแสดงเป็น public arts ประจำในศูนย์การค้า และจัดกิจกรรมต่างๆ ส่งเสริมความสามารถของศิลปินไทยตลอดมา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ สยามพิวรรธน์เตรียมแผนเสนอรัฐบาลที่จะปั้นให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของ S/E Asia ที่จะจัดงานศิลปะระดับโลกให้เกิดขึ้นเพื่อดึงดูดบุคคลในวงการศิลปะเข้ามาในประเทศไทย อาทิ งาน Art Basel และ Frieze เป็นต้น ซึ่งจะทำให้บรรดาศิลปินไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานร่วมกับศิลปินระดับโลกด้วย โดยจะร่วมทำงานกับภาครัฐในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น สยามพิวรรธน์มีนโยบายที่จะเปิดศูนย์ศิลปะริเวอร์มิวเซียม ชั้น 8 ไอคอนสยาม ในปี 2026 ด้วยพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นมิวเซียมมาตรฐานโลกแห่งแรกของประเทศไทยที่สามารถรองรับงานศิลปะ master piece ระดับโลกได้ทัดเทียมกับมิวเซียมชั้นนำในประเทศต่างๆ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะดึงดูดบุคคลสำคัญในวงการศิลปะและบรรดา นักสะสมงานศิลปะจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทย นับว่าเป็นกลุ่มท่องเที่ยวคุณภาพสูงกลุ่มใหม่ที่จะต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีในระยะยาว

    4.ผู้นำในการปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่นำสุดยอดฝีมือในด้านต่างๆ ของไทย เพื่อนำเสนอ Soft power ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น ดีไซเนอร์ และอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs และพ่อค้าแม่ค้าจาก 77 จังหวัด จำนวนกว่า 6,000 ราย มารวมตัวกันนำเสนออัตลักษณ์ไทยรูปแบบต่างๆ ผ่านเมืองสุขสยาม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่าวันละ 70,000 คนและเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากใน social media ทั่วโลก นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยผ่านธุรกิจรีเทลของสยามพิวรรธน์ อันได้แก่ ICONCRAFT, ODS และ ECOTOPIA ก็สามารถขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศ ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์​พร้อมที่จะร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพันธมิตรระดับโลก ยกระดับ Soft power ของคนไทยให้เป็นที่ชื่นชมบนเวทีโลกด้วยเช่นกัน

    สยามพิวรรธน์พร้อมที่จะผสานพลังทุกภาคส่วน สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ทำให้ประเทศไทยครองแชมป์จุดหมายปลายทางของโลก ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ที่จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และก่อให้เกิดการจ้างงานกับประชาชนจำนวนมาก ส่งผลกระทบครอบคลุมกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจ MICE และบริการที่จะได้ประโยชน์จากการมาเยือนของชาวต่างชาติ

    “สยามพิวรรธน์จะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยเตรียมอัดงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 นี้ และเตรียมจัดงบประมาณเพิ่มอีกเท่าตัวในปีหน้า เพื่อเดินเครื่องหนุนการท่องเที่ยวของไทยตามนโยบายของรัฐบาล โดยมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม สร้างปรากฏการณ์ ปักหมุดให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางแรกที่ต้องมาเยือนสำหรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทางจากทั่วโลก” นางชฎาทิพกล่าวปิดท้าย

     

    ]]>
    1444112