Machi Machi – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Jan 2023 05:44:08 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก W.F. Group ผู้ปิดดีล EGGDROP เข้าประเทศไทย ขยายสาขานอกเกาหลีเป็นแห่งแรก! https://positioningmag.com/1416023 Mon, 23 Jan 2023 10:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416023

EGGDROP (เอ็กดร็อป) ร้านแซนวิชไข่อันดับหนึ่งในประเทศเกาหลี ได้เปิดสาขาแห่งแรกในไทยเป็นที่เรียบร้อยที่เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ แถมยังเป็นสาขานอกเกาหลีเป็นแห่งแรกอีกด้วย โดย W.F. Group เป็นผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างประเทศไทยให้เป็น Food destination อันดับ 1 ในอาเซียน


ทำความรู้จัก W.F. Group จากแพชชั่นของคนรักอาหาร

หลายคนอาจสงสัยว่า W.F. Group คือใคร ทำไมสามารถปิดดีลกับ EGGDROP ได้ เพราะส่วนใหญ่เราอาจจะคุ้นชินกับที่บริษัทเชนร้านอาหารรายใหญ่เป็นคนนำเข้ามา เพราะมีเงินทุนสูงกว่าบริษัทรายย่อย

W.F. Group เปรียบเหมือนบริษัทสตาร์ทอัพน้องใหม่ในวงการอาหารก็ว่าได้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 นำทัพโดย 2 คู่หูนักกิน “แหวน – ณัฐภา กุลชล” และ “เฟม – สุรพัศ ตั้งสวัสดิ์ดำรง” ทั้งคู่มีแพชชั่นในด้านอาหารอย่างเต็มเปี่ยม แม้ทั้งคู่จะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการร้านอาหาร แต่ก็สามารถฝ่าวิกฤตช่วง COVID-19 มาได้

W.F. Group ได้แจ้งเกิดในตลาดด้วยการนำเข้าแบรนด์เครื่องดื่มระดับพรีเมียมจากไต้หวันอย่าง Machi Machi (มาชิ มาชิ) เปิดสาขาแรกที่สยามสแควร์ และล่าสุดกับการนำเข้าแบรนด์แซนวิซไข่ในตำนานอย่าง EGGDROP (เอ็กดร็อป) มาเปิดสาขาแรกที่ไทย เพียงแค่ 2 แบรนด์แรกก็สามารถการันตีถึงความความแข็งแกร่งของบริษัทได้แล้ว

Machi Machi Thailand ได้เปิดตัวครั้งแรกที่สยามสแควร์ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2563 ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากผู้รักชา เนื่องด้วยความน่ารัก และเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ อย่างชานมพานาคอตต้าแบบขวด หรือชีสโฟม และทาโร่บอล ทำให้ Machi Machi ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว

คุณแหวน เริ่มเล่าว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Machi Machi มาจากเมื่อตอนสมัยเรียนปริญญาโทที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ แล้วตอนนั้นเห็นแบรนด์ Machi Machi มาเปิดสาขาที่นี่ แล้วลูกค้าต่อคิวกันเยอะมาก เลยเกิดความสนใจว่าแบรนด์นี้ต้องอร่อยมากขนาดไหน คนถึงต่อคิว และสินค้าหมดตลอด พอเรียนจบก็ได้บินไปเที่ยวที่ไต้หวัน และได้ไปชิมชาต้นตำรับที่นั่นด้วย รู้สึกชอบรสชาติ กลิ่นชา ลูกเล่นของแบรนด์มีความแตกต่างจากที่อื่น จึงได้ติดต่อกับเจ้าของแบรนด์เพื่อซื้อแฟรนไชส์ ตอนนั้นแบรนด์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีการขยายสาขา 10 กว่าประเทศ ตอนนั้นคุณแหวนเองก็เพิ่งเรียนจบ ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ แต่อยากลองเป็นประสบการณ์ พอส่งแผนธุรกิจกว่า 60 หน้าไป พูดคุยกันอยู่ประมาณ 2 เดือนก็ได้เป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ หลังจากนั้นก็ได้ก่อตั้งเป็น W.F. Group

คุณแหวนเองเป็นสายกินอยู่แล้ว เป็นมิชลินฮันเตอร์ตัวยง ตามเก็บดาวร้านอาหารมิชลิน เป็นคนเดินทางหลายประเทศจึงอยากให้คนไทยได้ทานชารสชาติที่ดี วัตถุดิบออแกนิก บวกกับแนวคิดที่มองว่าตลาดประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมากมาย อยากปั้นให้ประเทศไทยเป็น Food Destination ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาทานอาหารอร่อยที่ไทย


เปิดเส้นทาง กว่าจะมาเป็น EGGDROP Thailand     

สำหรับแบรนด์ที่ 2 ในพอร์ตของ W.F. Group ก็คือ EGGDROP แบรนด์แซนวิชไข่อันดับ 1 ในประเทศเกาหลี ใครที่เป็นสายเกาหลี สายซีรีส์ หรือใครที่เคยไปประเทศเกาหลีน่าจะคุ้นเคยกับแบรนด์นี้กันอยู่บ้าง เพราะเป็นเมนูที่ปรากฎในซีรีส์ค่อนข้างบ่อย

ส่วนจุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้เกิดจากการที่คุณแหวนได้ไปทานที่เกาหลีอีกเช่นเคย แล้วชอบในรสชาติ มองว่าต้องเข้าปากคนไทยแน่ๆ มีความคิดขึ้นมาทันทีเลยว่า “ต้องเอาร้านนี้มาเปิดในไทยให้ได้” หลังจากนั้นได้ส่งอีเมลคุยกับเจ้าของแบรนด์ พร้อมส่งแผนธุรกิจกว่า 80 หน้า ทำการเจรจากว่า 11 เดือนจึงได้สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์มาครอง

ทางด้านคุณเฟมได้เล่าว่า สำหรับแบรนด์ EGGDROP ได้มองเห็นโอกาส และ Pain point ใทยเนื่องจากมองเห็นพฤติกรรมคนไทยที่ไปร้านกาแฟชอบทานกาแฟพร้อมเบเกอรี่ ราคารวมกันไม่ต่ำกว่า 300 บาท ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำคนไทย 300 บาท ซึ่งมีความย้อนแย้งอยู่พอสมควร มองว่าสามารถเข้าถึงคนไทยได้แค่เฉพาะกลุ่มที่จะสามารถทานของอร่อยได้ จึงอยากมีอะไรที่เข้าถึงคนไทยได้ทุกกลุ่มในราคาย่อมเยา ซึ่ง EGGDROP มีรสชาติที่เข้าปากคนไทย เมนูเป็นขนมปัง คนไทยคุ้มชินกับการทานขนมปังอยู่แล้ว ถ้าเป็นชุดคอมโบ้อาหารและเครื่องดื่มรวมกันไม่ถึง 300 บาท

อีกทั้งยังมีช่องทางในตลาดให้เข้าไปเล่นได้ คนไทยบางคนอาจจะอยากได้มื้ออาหารที่เป็น Quick Meal อาหารด่วนๆ แต่ไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ด EGGDROP สามารถตอบโจทย์ตรงนั้นได้ หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือ EGGDROP เข้ามาตอบโจทย์คนที่อยากทานมื้อด่วนๆ แต่ได้ในเรื่องคุณภาพ ซึ่ง EGGDROP เป็น High Quality Fastfood อาหารฟาสฟู้ดที่ได้คุณภาพ แต่ Fastfood ที่ว่านี้หมายถึงการปรุงอาหารที่รวดเร็ว ไม่ได้หมายถึงการเป็น Junk Food และด้วยความที่ EGGDROP เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว จากอิทธิพลของเกาหลีในไทย ทำให้ทำการตลาดง่ายขึ้น

ถ้าถามว่าอะไรเป็นจุดที่ทำให้ทาง EGGDROP ตัดสินใจเลือก W.F. Group เป็นพาร์ทเนอร์ในไทย เพราะที่ผ่านมาได้มีเชนร้านอาหารเคยติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์เช่นกัน แต่ได้เลือกบริษัทน้องใหม่อย่าง W.F. Group

คุณเฟมมองว่า “ทางเกาหลีเลือกเราเพราะแพชชั่นในด้านอาหารจริงๆ แม้จะมีธุรกิจใหญ่ๆ เข้าไปเจรจาด้วย แต่เขาเลือกเรา เพราะเรามีความเป็นเจ้าของ ทำงานเหมือนสตาร์ทอัพ ลงไปดูแลร้านด้วยตัวเอง อีกทั้งไทยเป็นโลเคชั่นสำคัญ เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอาเซียน เป็นโอกาสทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นได้”

โดย EGGDROP ได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2560 และขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยภายในระยะเวลา 1 ปี สามารถเปิดได้ถึง 50 สาขา และเติบโตขึ้นจนกลายเป็นร้าน QSR (Quick Service Restaurant) อันดับ 1 ของเกาหลีในเวลาไม่นาน ปัจจุบันมีสาขามากถึง 275 สาขาทั่วประเทศเกาหลี

จุดเด่นที่ทำให้ EGGDROP เป็นที่รักของชาวเกาหลี และทุกคนที่ได้ชิม เพราะคุณภาพของอาหาร และวัตถุดิบ ที่คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด ตั้งแต่ ไข่ ขนมปัง แฮม รวมไปถึงผักต่างๆ รวมไปถึงหน้าตาของเจ้าแซนวิชไข่ที่สุดแสนจะน่ารัก มาพร้อมกับลายตารางอันเป็นเอกลักษณ์ ชวนให้ลิ้มลองชิม และชวนถ่ายรูปเช็คอินบนโซเชียลมีเดียกันเลยทีเดียว


เตรียมขยาย 70 สาขาภายใน 5 ปี

สำหรับร้าน EGGDROP ในประเทศไทย มีราคาเริ่มต้นที่ 89 บาท มีราคาถูกกว่าที่เกาหลีถึง 20% เป็นความตั้งใจของบริษัทที่อยากทำราคาให้เข้าถึงคนไทยได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นจากแบรนด์อื่นที่มีการนำเข้ามาเปิดในไทย จะมีราคาแพงกว่าประเทศต้นแบบ จึงหาวิธีทำให้ราคาถูกกว่า แต่คงคุณภาพให้เหมือนต้นแบบ

สำหรับแผนในการขยายสาขาในระยะสั้นมีการขยาย 10-15 สาขาภายใน 2 ปี ส่วนในระยะยาวจะขยายมากถึง 70 สาขาภายใน 5 ปี เลือกโลเคชั่นตามปั๊มน้ำมัน ศูนย์การค้า หรือพื้นที่ที่มีทราฟฟิกเยอะ มีแผนอยากเปิดร้านแบบ 24 ชั่วโมง และโมเดลสแตนอโลน รวมไปถึงโมเดลที่เน้น Grab and Go ด้วย

ในอนาคตมีแผนที่จะพัฒนาเมนูให้เข้ากับโลคอล หรือเพิ่มเมนูความเป็นไทยๆ ให้มากขึ้น เมนูที่มีรสชาติจัดจ้าน รสชาติเผ็ดๆ หรือมีเมนูข้าวเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมของคนไทยที่ชอบทานรสชาติจัดจ้าน


เริ่มจากศูนย์ เจอรับน้องด้วย COVID-19

อีกหนึ่งความท้าทายของ W.F. Group ก็คือ การเริ่มธุรกิจตอนช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 พอดี หลังจากที่เซ็นสัญญา ก็เกิดการแพร่ระบาดจนมีมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้แผนการเปิดร้านต้องเลื่อนจากตอนแรกมีแผนจะเปิดช่วงเดือนเมษายนปี 2563 เป็นเดือนตุลาคม 2563 แทน

กลายเป็นว่าการเริ่มธุรกิจของคุณแหวน และคุณเฟมได้เจอรับน้องอย่างหนัก จากที่ต้องเริ่มจากศูนย์ กลายเป็นติดลบ เพราะต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง แต่ถึงแม้จะล้มลุกคลุกคลานแต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมแพ้ สามารถขยายสาขา Machi Machi ได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสาขาอยู่ในห้างต่างๆ ในกรุงเทพแล้วถึง 6 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์, เซ็นทรัล ชิดลม, สามย่านมิตรทาวน์, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, สีลมคอมเพล็กซ์ และเซ็นทรัล อีสต์วิลล์

“ที่ผ่านมาถือว่ายากมาก จากที่เป็นหน้าใหม่ในวงการ ได้เริ่มจากศูนย์ พอเจอ COVID-19 เข้าไปกลายเป็นติดลบไปเลย ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง ตอนล็อกดาวน์ก็ทำให้สินค้าเข้าไม่ได้ ท่าเรือปิด เคยคิดอยากเลิกทำเหมือนกัน แต่มีทีมงานอยู่ มีกำลังใจ ก็เลยต้องสู้ ถือว่าลงหลังเสือมาแล้ว แต่จากวิกฤตรงนั้นก็เป็นบทเรียนให้เราได้ มองว่าทุกปัญหามีทางแก้ แต่ต้องใจเย็น มองหลายมุมมอง” 

นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว W.F. Group มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังตลาด “สัตว์เลี้ยง” เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการเติบโตขึ้นทุกปี อีกทั้งทั้งคู่ยังเป็น “ทาสหมา” เลี้ยงน้องหมา 10 กว่าตัว มีแผนที่จะทำเป็นคอมเพล็กซ์สำหรับสัตว์เลี้ยง คาดว่าจะเปิดตัวภายในปีนี้ ส่วนธุรกิจอาหารมองว่าในปีนี้จะขยายไปยังตลาดเบเกอรี่ อาจจะนำเข้าแบรนด์เบเกอรี่จากต่างประเทศอีก 1 แบรนด์อีกด้วย

 

]]>
1416023
รู้จัก “Machi Machi” เทพเเห่งชาชีสจากไต้หวัน ผู้สร้างเทรนด์ “ชานมขวด” ลุยเปิดสาขาในไทย https://positioningmag.com/1300379 Thu, 08 Oct 2020 13:00:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300379

เรียกได้ว่าตอนนี้ “ชาชีส” ยังคงเป็นเครื่องดื่มมาเเรงที่ครองใจใครหลายคน เเม้กระเเสจะผ่านมาสักพักหนึ่งเเล้ว เเต่ความนิยมก็ยังพุ่งต่อเนื่อง

ช่วงที่ผ่านมา เเบรนด์ชานมชื่อดังต่างๆ พาเหรดเข้ามาตีตลาดบ้านเรากันมากขึ้น ครั้งนี้ไม่ธรรมดาเพราะถึงคิวของ “Machi Machi” เจ้าใหญ่แบรนด์แฟรนไชน์จากไต้หวัน ผู้ได้รับฉายาการันตีคุณภาพอย่าง “The Cheese Tea God” ออริจินัลชานมในขวดในตำนาน…ที่ต้องไปลองชิมกันให้จงได้

Machi Machi ประกาศ “บุกไทย” ด้วยการเปิดสาขาเเรก ใจกลางเมืองที่สยามสเเควร์ ซอย 8 เเหล่งวัยรุ่น-คนทำงาน พร้อมเสิร์ฟเมนูชานมที่เป็นมากกว่าไข่มุก บวกกับการตกเเต่งร้านที่โดดเด่นเเละมีสไตล์ให้ได้เช็ก-อินกันเก๋ๆ ด้วย

วันนี้เรามารู้จัก “Machi Machi” เเบรนด์ชาชีสสุดฮิตกันให้มากขึ้นกัน…

Machi Machi (มาชิ มาชิ) ชานมไต้หวัน…สู่ตลาดโลก

อย่างที่ทราบกันดีว่า “ธุรกิจชานม” ในไต้หวันทำรายได้สูงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนถึงขั้นว่าถ้าคนคิดถึงไต้หวัน ก็ต้องคิดถึงชานมไปเเล้ว

รัฐบาลไต้หวันจึงคว้าโอกาสนี้ ด้วยการผลักดันให้เเบรนด์ชานมไป “รุกตลาดต่างประเทศ” เพื่อหวังทำรายได้มากกว่าสินค้าส่งออกดั้งเดิม โดยในปี 2019 ธุรกิจชานมในไต้หวันสร้างมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

“Machi Machi” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์แฟรนไชน์จากไต้หวัน ที่ก่อตั้งในปี 2018 เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเน้นให้ความสำคัญกับการดื่มชาที่เป็นเสมือนวิถีชีวิตของผู้คน มากกว่าจะเป็นเเค่ความนิยมตามเเฟชั่น เจาะลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่เเละวัยทำงาน อายุระหว่าง 15-35 ปี พร้อมให้บริการที่เน้นความสะดวกเเละรวดเร็ว พกพาง่าย มีการพัฒนาเมนูอยู่ตลอดเวลา

ล่าสุด Machi Machi ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาไปกว่า 11 ประเทศ 40 สาขาทั่วโลก กระจายอยู่ทุกภูมิภาค ทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือเเละโอเชียเนีย

ที่มาของโลโก้ “Machi Machi” มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยเป็นการออกเเบบจากปรัชญาที่เเบรนด์ยึดถือตั้งเเต่เริ่มก่อตั้งที่ว่าจะเป็น “เพื่อนที่ดีที่สุดของลูกค้า” โดยในระหว่างขั้นตอนการพัฒนาเเละหาเเรงบันดาลใจดีไซน์โลโก้นั้น สมาชิกในทีมคนหนึ่งได้นำสุนัขตัวโปรดของเขาเข้ามาเเละเริ่มเล่นกับมันอย่างสนุกสนาน นับเป็นภาพบรรยากาศที่บ่งบอกถึงการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งนำมาสู่การเลือกใช้โลโก้เป็น “น้องหมา” เพราะต้องการสื่อความหมายถึง “เพื่อนที่ซื่อสัตย์” นั่นเอง

ปรากฎการณ์ “ต่อเเถวยาว-ขายอัพราคาชานม”

ด้านความฮอตของ Machi Machi นั้นไม่ธรรมดา เพราะเคยสร้างปรากฏการณ์การต่อคิวที่ยาวเหยียดจนเป็นกระเเสข่าวมาเเล้ว ด้วยความต้องการในตลาดที่สูงมาก ทำให้มีการ “ซื้อไปขายบวกราคา” จากขวดละประมาณ 4 ดอลลาร์สหรัฐเป็น 40 ดอลลาร์สหรัฐ มีการต่อคิวเพื่อซื้อเฉลี่ย 3-4 ชั่วโมงในจีน และในต่างประเทศอย่างกรุงลอนดอน กรุงปารีสเเละเกาหลีใต้จะอยู่ที่เฉลี่ย 20-30 นาที

Machi Machi ได้รับฉายาว่าเป็น “The Cheese Tea God” ของเหล่าผู้ชื่นชอบของหวาน และเป็นเจ้าแรกที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ “ชานมขวด” จากนั้นได้กลายเป็นเเรงบันดาลใจให้ร้านชานมเจ้าอื่นทำตาม โดยเฉพาะเมื่อต้องเอาตัวรอดในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ตอนนั้นไม่สามารถเปิดให้บริการร้านได้ตามปกติ เเละ Machi Machi ยังเป็นเจ้าเเรกที่ทำชานมกับ “พานาคอตต้า” ซึ่งกลายมาเป็นเมนูยอดฮิตที่ “ต้องสั่ง”

นอกจากเมนูเครื่องดื่มที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเเล้ว การตกแต่งร้านจะมีการผสมทั้งความน่ารัก มินิมอลเเละศิลปะไว้ด้วยกัน ออกแบบมาเพื่อให้เป็นมุมถ่ายรูป เอาใจสายโซเชียลได้เป็นอย่างดี

เมนูหลายสไตล์…มาจากธรรมชาติ

Machi Machi สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีส่วนผสมของชาเป็นหลัก และได้เพิ่มความเฟรช ด้วยส่วนผสมอื่นๆ อย่างผลไม้สด พานาคอตต้า แครมบรูว์เล ช็อกโกแลต ฯลฯ เน้นความลงตัวของรสชาติเเละรู้สึก “ดื่มเเล้วผ่อนคลายไปพร้อมๆ กัน” 

โดยเมนูซิกเนเจอร์ของ Machi Machi ต้องบอกว่ามีหลากหลายจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว…สามารถเลือกระดับความหวานเเละปริมาณน้ำเเข็งได้ ตามความชอบของลูกค้า

Bottle Series : ชานมขวดในตำนาน ราคาอยู่ที่ 125-160 บาท มีเมนูเเนะนำให้สั่งเลยอย่าง

  • Strawberry milk with Panna Cotta
  • Plum green tea with Plum Jelly
  • Black milk tea with Panna Cotta

ตามมาด้วย The cheese foam series : ชานมชีสสุดฮิต จุดเด่นของ “เครมบรูเร่” ที่ทำให้  Machi Machi เเตกต่าง คือการนำขนมเครมบลูเร่มาดัดแปลงสูตรให้เหมาะแก่การเป็นท็อปปิ้ง มีรสสัมผัสที่นุ่มเเละหอม ราคาอยู่ที่ 110-120 บาท มีเมนูเเนะนำให้สั่งเลยอย่าง

  • Cream Cheese Foam Black Tea
  • Cream Cheese Foam Jasmine Green Tea
  • Cream Cheese Foam Oolong Tea
  • Cream Cheese Foam Black Milk Tea

ใครที่ต้องการเติมความสดชื่น ถึงใจต้องลองนี่เลย The fruit tea series : ชานมผลไม้ ราคาอยู่ที่ 130-135 บาท มีเมนูเเนะนำให้สั่งเลยอย่าง

  • Fresh Fruits Jasmine Green Tea
  • Fresh Orange Jasmine Tea
  • Strawberry Slush with Cream Cheese Foam
  • Blueberry & Strawberry Slush with Cream Cheese Foam

ส่วน “ท็อปปิ้ง” ก็มาเเบบราคาย่อมเยาว์ เพียง 10-25 บาท มีให้เลือก 2 อย่าง ได้เเก่มินิทาโร่บอล เเละ ไข่มุกดำไข่มุกสุดอร่อยนั่นเอง

โดยอีกหนึ่งความพิเศษของ Machi Machi คือการใช้ชาพรีเมียมเเละส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ สร้างสรรค์เป็นเมนูที่ผ่านการออกเเบบมาอย่างดี โดยเน้นให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีมากกว่าการเป็นเเค่ Grab & Go

ไม่ใช่เเค่อร่อย…เเต่ต้องรู้สึกดี 

ด้วยความที่ต้องการส่งต่อความรู้สึกดีๆ ต่อลูกค้านี้ นำมาสู่คอนเซ็ปต์การ “ตกเเต่งร้าน” ของ Machi Machi ที่เน้นสร้างความอบอุ่น รู้สึกสบายเเละเข้าถึงง่าย

ผสมผสานกับการออกเเบบร้านให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ของเหล่าศิลปิน นำเสนอจินตนาการผ่านศิลปะเเละสื่อสารกับผู้คนผ่านลวดลายกราฟฟิตี้ เป็น Interaction art ที่น่าสนใจ

โดยการดีไซน์ของร้าน Machi Machi สาขาในไทยนั้น มาด้วยสไตล์ “Minimal But Elegant” เรียบง่ายเเต่หรูหรา วางเฟอร์นิเจอร์เป็นโทนสีพาสเทลและไม้ให้ดูซอฟท์

ตัดกับผนังที่ดูทันสมัยเเละสบายตา มีคำเก๋ๆ อย่าง “ I Love You So Machi” ที่เล่นคำจากประโยค “I Love You So Much” เหมาะเป็นจุดถ่ายภาพสวยๆ เเชร์ลงโซเชียลมีเดีย อย่าง Instagram เเละ Tiktok

ถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ไปพร้อมๆกับการเชื่อมความสัมพันธ์เเละความใกล้ชิดกับเเบรนด์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ใครที่เเวะมาเยี่ยม Machi Machi สาขาสยามสเเควร์ ซอย 8 หลังได้ทานชานมอร่อยๆ กันเเล้วต้องห้ามพลาดเช็ก-อินกันล่ะ

สำหรับใครที่อยากติดตามความเคลื่อนไหวของ Machi Machi ว่ามีเมนูเด็ดๆ โปรโมชั่นโดนๆ อะไรบ้าง ก็ตามไปดูกันได้ที่ Facebook  :  @machimachithailand เเละ Instagram  : @machimachi_thailand  รับรองว่าได้เติมพลังความหวานกันอย่างเต็มที่เเน่ๆ

]]>
1300379