meta – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 07 Nov 2025 13:11:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Meta’ โดนแหก! พบโกยเงินจาก ‘มิจฉาชีพ’ ปีละกว่า 5 แสนล้านบาท แถมยังไม่กล้าจัดการเด็ดขาดเพราะกลัว ‘เสียรายได้’ https://positioningmag.com/1545956 Fri, 07 Nov 2025 10:19:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545956 มิจฉาชีพในปัจจุบันนี้ มีหลายรูปแบบและมาในหลากหลายช่องทาง โดยแพลตฟอร์มในเครือของ Meta ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพเช่นกัน โดย Reuters ได้ออกมาเปิดเผยถึง เอกสารภายในของ Meta ที่ได้ประเมินว่า บริษัทอาจทำรายได้ถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 แสนล้านบาท จากโฆษณาหลอกลวง และสินค้าผิดกฎหมาย

5 แสนล้าน เงินที่มาจากโฆษณามิจฉาชีพ

รอยเตอร์ (Reuters) ได้ออกมาเปิดเผยเอกสารภายในของบริษัท Meta ที่จัดทำระหว่างปี 2021-2025 โดยระบุว่า บริษัทได้คาดการณ์ว่า รายได้ในปี 2024 ประมาณ 10% หรือราว 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจาก โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงและสินค้าต้องห้าม และหนึ่งในเอกสารเมื่อเดือนธ.ค. 2024 ระบุว่า Meta แสดงโฆษณาที่จัดอยู่ในกลุ่ม ความเสี่ยงสูง ให้ผู้ใช้เห็นถึง 15,000 ล้านครั้งต่อวัน และสร้างรายได้จากโฆษณาความเสี่ยงสูงถึงปีละ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยข้อมูลจากเอกสารดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา Meta ล้มเหลว ในการระบุและหยุดยั้งโฆษณาจากมิจฉาชีพ ทำให้ผู้ใช้หลายพันล้านคนต้องเผชิญกับการหลอกลวงกับการฉ้อโกง, การพนันที่ผิดกฎหมาย, และการขายสินค้าต้องห้าม

มาตรการป้องกันที่ใจดีเกิน

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเผชิญหน้ากับโฆษณาจากมิจฉาชีพก็คือ ระบบการปรับโฆษณาให้เป็นส่วนตัวของ Meta ซึ่งพยายาม ยิงโฆษณาตามความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งทำให้หากผู้ใช้หลงคลิกที่โฆษณาหลอกลวง ผู้ใช้คนนั้นจะมีแนวโน้มที่จะ เห็นโฆษณาเหล่านั้นมากขึ้น

ในขณะที่มาตรการลงโทษของ Meta นั้น ใจดีเกิน เพราะระบบต้อง มั่นใจ 95% ว่าผู้ลงโฆษณากำลังฉ้อโกง ถึงจะลงโทษแบน แต่ถ้ายังมั่นใจไม่ถึง 95% ระบบจะใช้วิธี ขึ้นค่าโฆษณา (Penalty Bids) ในอัตราที่สูงขึ้น เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้โฆษณาเข้าถึงผู้ใช้มากนัก แต่นั่นก็ทำให้ บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น จากแหล่งที่มาที่น่าสงสัยนี้

นักวิเคราะห์มองว่า ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง ความลังเล ในการจัดการกับปัญหาอย่างเด็ดขาด เพราะอาจ กระทบต่อรายได้ ทำให้บริษัทเลือกจะ จัดการอย่างช้า ๆ

ภาพจาก Unsplash

ยอมรับว่าแพลตฟอร์มใช้โกงง่าย

นอกจากนี้ เอกสารภายในของ Meta ยังยอมรับว่า แพลตฟอร์มของบริษัทนั้น ง่ายกว่า Google ในการลงโฆษณาหลอกลวง นอกจากนี้ Meta ยังประเมินเองว่า แพลตฟอร์มของตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงที่สำเร็จในสหรัฐฯ ถึง 1 ใน 3

และนอกเหนือจากโฆษณาจากมิจฉาชีพแล้ว ผู้ใช้ยังต้องเผชิญกับความพยายามหลอกลวงจากโพสต์ปลอมหรือโปรไฟล์ปลอม (ที่ไม่ต้องเสียเงิน) อีก 22,000 ล้านครั้งต่อวัน

ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลของ สหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ของ Meta มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 54% ของการสูญเสียการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับการชําระเงินทั้งหมดในปี 2023 หรือ มากกว่าสองเท่า ของแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน

Photo : Shutterstock

โดนปรับก็ยังคุ้ม

มีเอกสารภายในบางฉบับบ่งชี้ว่า บริษัทนำ ค่าปรับ มาพิจารณาถึง ความคุ้มค่าทางธุรกิจ โดยคาดว่าจะเผชิญค่าปรับสูงสุดราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับรายได้จากโฆษณาหลอกลวง ซึ่งทุก ๆ 6 เดือน Meta มีรายได้จากตรงนี้ถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

และในเอกสารปี 2025 ระบุว่า ทีมผู้บริหารได้จำกัดการดำเนินการกับมิจฉาชีพให้ไม่เกิน 0.15% ของรายได้ หรือราว 135 ล้านดอลลาร์ จากรายได้รวม 90,000 ล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 อย่างไรก็ตาม Meta ก็ตั้งเป้าที่จะ ลดสัดส่วนรายได้จากโฆษณาหลอกลวง จาก 10.1% ในปี 2024 ลงเหลือ 7.3% ภายในสิ้นปี 2025 และลดต่อเนื่องเหลือ 6% ในปี 2026 และ 5.8% ในปี 2027

Meta โต้ ข้อมูลบิดเบือน

อย่างไรก็ตาม Andy Stone โฆษกของ Meta กล่าวในแถลงการณ์ว่า เอกสารที่รอยเตอร์ได้เห็นนั้นนำเสนอมุมมองแบบเลือกสรรที่บิดเบือนแนวทางของ Meta ในการจัดการกับการฉ้อโกงและการหลอกลวง โดยออกมาแย้งว่า ตัวเลขรายได้ 10% ที่มาจากโฆษณาหลอกลวงนั้น เป็นเพียงการประเมินแบบคร่าว ๆ เพราะการประเมินดังกล่าวได้รวมโฆษณาที่ถูกกฎหมายเข้าไปด้วย โดยบริษัทได้ประเมินใหม่และพบว่าตัวเลขจริงต่ำกว่านั้น อย่างไรก็ตาม Stone ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริงในปัจจุบัน

Stone กล่าวต่อว่า ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา Meta สามารถลดจำนวนการรายงานปัญหาพบโฆษณาหลอกลวงทั่วโลกได้ 58% และในปี 2025 เพียงปีเดียว ได้ลบเนื้อหาโฆษณาหลอกลวงไปแล้วกว่า 134 ล้านรายการ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับเอกสารภายในบางส่วนที่ ระบุว่า Meta มีแผนจะจัดการกับโฆษณาหลอกลวงมากขึ้น และตั้งเป้าลดโฆษณาหลอกลวงในบางประเทศลง 50% ในปี 2025

“เราต่อสู้กับการฉ้อโกงและการหลอกลวงอย่างแข็งขัน เพราะผู้คนบนแพลตฟอร์มของเราไม่ต้องการเนื้อหาเหล่านี้   ผู้ลงโฆษณาที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องการ และเราเองก็ไม่ต้องการเช่นกัน”

]]>
1545956
‘อเล็กซานเดอร์ หวัง’ แนะ ‘วัยรุ่น’ เร่งฝึกใช้ AI เขียนโค้ด แล้วจะได้เปรียบมหาศาล https://positioningmag.com/1541531 Tue, 07 Oct 2025 05:14:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1541531 อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Scale AI วัย 28 ปีที่สามารถสร้างตัวเป็นมหาเศรษฐีพันล้านได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ได้ออกมาให้คำแนะนำกับ ‘วัยรุ่น’ ที่ฝันอยากมีรายได้ดีและเติบโตในสายงานเทคโนโลยีว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้ก้าวไปข้างหน้าคือ ให้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสร้างโค้ดด้วย AI

อเล็กซานเดอร์ หวังไม่อาจจะอธิบายได้หมดว่า การเขียนโค้ดด้วย AI สามารถเปลี่ยนมุมมองและความคิดของเขาไปได้มากมายขนาดไหน

โดยเฉพาะการเขียนโค้ดด้วย AI ที่เรียกว่า Vibe Coding การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างซอฟต์แวร์ต้นฉบับขึ้นมา ด้วยคำสั่งหรือคำอธิบายง่าย ๆ เครื่องมือเขียนโค้ด AI อย่าง Replit และ Cursor ก็สามารถทำให้คนทั่วไปเขียนโค้ดหรือพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโค้ดหรือเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เหมือนในอดีต

“หากวัยรุ่นใช้เวลา 10,000 ชั่วโมงไปกับการทำความคุ้นเคยและเล่นกับเครื่องมือเขียนโค้ด AI นั่นจะเป็นข้อได้เปรียบมหาศาล”

เขายังเล่าย้อนถึงยุคที่ ‘บิล เกตส์’ (Bill Gates) ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ใช้ช่วงวัยรุ่นแอบออกจากบ้านตอนกลางคืน เพื่อใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการเรียนรู้การเขียนโค้ดซอฟต์แวร์อย่างมุ่งมั่น ซึ่งอเล็กซานเดอร์ หวังเชื่อว่า วัยรุ่นควรเดินตามแนวทางนี้ของบิล เกตส์

“ถ้าคุณอายุ 13 ปี ควรใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเขียนโค้ด และนี่แหละคือสิ่งที่คุณควรทำในชีวิต”

ทั้งนี้ อเล็กซานเดอร์ หวังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Scale AI ในปี 2016 และพาบริษัทเติบโตมีมูลค่าสูงถึง 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตามรายงานของ Forbes เขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างตัวขึ้นมาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และเมื่อไม่นานมานี้ Meta ได้ดึงตัวไปรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI

แม้จะประสบความสำเร็จ แต่อเล็กซานเดอร์ หวังเชื่อว่า การที่ AI สามารถเขียนโค้ดได้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยในอีก 5 ปี โค้ดทั้งหมดที่เขาเขียนมาในชีวิต AI จะสามารถเขียนแทนได้หมด และนำมาสู่ประเด็นที่สร้างความกังวลว่า ในอนาคตอาชีพนักเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ยังมั่นคงหรือไม่ เนื่องจากมีหลายบริษัทเริ่มใช้ AI มาเขียนโค้ดแทนโปรแกรมเมอร์ที่เป็นมนุษย์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อเล็กซานเดอร์ หวัง เชื่อว่า ทักษะการเขียนโปรแกรมยังมีคุณค่า โดยเฉพาะเมื่อเรียนรู้ควบคู่ไปกับการใช้ AI เข้ามาต่อยอดทักษะและเสริมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นถ้าอยากสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาลวัยรุ่นก็ควรใช้เวลาไปกับเรื่องนี้อย่างมุ่งมั่นให้มากที่สุด

ที่มา : cnbc

]]>
1541531
เยอะไปหน่อย! ‘Meta’ สั่งเบรกจ้างงานทีม ‘AI’ หลังทุ่มงบมหาศาลดึงตัว ‘หัวกะทิ’ มาเสริมทัพไม่พัก https://positioningmag.com/1534947 Fri, 22 Aug 2025 09:00:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1534947 หลังจากที่ Meta เจ้าของ Facebook, Instagram เดินหน้าดันแผนก Meta Superintelligence Labs เพื่อพัฒนา AI โดยมีการลงทุนอย่างมหาศาลโดยเฉพาะการดึงตัวนักวิจัยและวิศวกร AI เข้ามาเสริมทัพ แต่ล่าสุด Meta ก็ประกาศ หยุดการจ้างงานใหม่ เพื่อให้บริษัทมีเวลาจัดสรรทีม

The Wall street journal รายงานว่า การหยุดจ้างงานมีผลตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน โดยทาง Meta ยืนยันกับ CNBC ว่านี่เป็นเพียงการจัดระเบียบองค์กรขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างโครงสร้างที่มั่นคงสำหรับโครงการพัฒนาระบบซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์ (Superintelligence) รวมถึงการทำงบประมาณและแผนงานประจำปี ไม่ได้จะลดการลงทุนเรื่อง AI แต่อย่างใด

จากรายงาน ระบุว่า Meta มีแผนก Meta Superintelligence Labs ที่ทำเรื่องการพัฒนา AI โดยได้แบ่งการทำงานออกเป็น 4 ทีม ได้แก่

  1. ทีม TBD Lab (To Be Determined) – เน้นการพัฒนา AI ระดับซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์
  2. ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ในเชิงพาณิชย์
  3. ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน
  4. ฝ่ายโครงการระยะยาวและทดลอง

ที่ผ่านมา Meta ใช้งบอย่างหนักเพื่อแข่งขันในสมรภูมิ AI รวมถึงการเสนอ ค่าตอบแทนสูงลิ่ว เช่น โบนัสเซ็นสัญญาที่มีรายงานว่าสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดึงตัวผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทคู่แข่ง

หนึ่งในดีลที่โดดเด่นที่สุดคือการเข้าซื้อหุ้น 49% ของ Scale AI มูลค่า 1.43 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ Meta ได้ตัวผู้ก่อตั้ง Alexandr Wang มานำทีมวิจัย AI พัฒนาโมเดลภาษา Llama แบบโอเพ่นซอร์ส อย่างไรก็ตาม แม้กลยุทธ์การจ้างงานเชิงรุกของ Meta จะเป็นข่าวดังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีรายอื่น ๆ ก็ทุ่มงบหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านบุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน และการวิจัย AI เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การหยุดจ้างงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่าการลงทุนใน AI อาจเร็วเกินไป ประกอบกับการปรับฐานราคาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ และเมื่อต้นสัปดาห์ แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอ OpenAI กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาเชื่อว่า AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่ แต่ก็มีนักวิเคราะห์และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย โดยมองว่าหุ้นเทคโนโลยียังมีมูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพของ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

ซีอีโอ ‘OpenAI’ เตือน ตลาด ‘AI’ เสี่ยงเกิดภาวะ ‘ฟองสบู่’ เหมือนยุค ‘ดอทคอม’ ที่ตลาดหุ้นร่วงเกือบ 80%

แดน ไอฟส์ (Dan Ives) นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities มองว่า การหยุดจ้างงานของ Meta ไม่ใช่สัญญาณว่าบริษัทจะลดการลงทุนด้าน AI จริง ๆ แต่เป็นเพียง ช่วงพัก หลังจากทุ่มงบก้อนใหญ่

ด้าน แดเนียล นิวแมน (Daniel Newman) ซีอีโอ Futurum Group เสริมว่า หลังจากที่ Meta ใช้เงินมหาศาลไปกับการซื้อกิจการและจ้างงาน การหยุดครั้งนี้เป็นเหมือนจุดพัก เพื่อให้บริษัทมีเวลาในการจัดวางทีมงานใหม่และประเมินว่าพร้อมจะสร้างนวัตกรรมที่ Meta คาดหวังไว้หรือไม่

]]>
1534947
รู้จัก ‘Perplexity’ AI Search Engine สุดฮอตที่กำลังถูก ‘Meta’ และ ‘Apple’ ตามจีบเพื่อฮุบกิจการ https://positioningmag.com/1527954 Fri, 27 Jun 2025 07:31:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527954 หลังจากที่ทุ่มเงินกว่า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนใน Scale AI ล่าสุด Meta ก็มีข่าวว่าสนใจจะเข้าซื้อกิจการ Perplexity ที่เป็น AI Search Engine แต่ไม่ได้มีแค่ Meta เพราะแม้แต่ Apple ก็สนใจจะเข้าซื้อเช่นกัน ดังนั้น Positioning จะพาไปทำความรู้จักกันว่า Perplexity มีดีอะไร
Perplexity AI ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2022 โดยมีผู้ก่อตั้ง 4 คน นำโดย Aravind Srinivas, Denis Yarats, Johnny Ho และ Andy Konwinski ซึ่ง Aravind เป็นอดีตนักวิจัย AI ชาวอินเดียที่เคยทำงานกับ OpenAI และ Meta มาก่อน โดยจุดประสงค์หลักในการก่อตั้ง Perplexity AI ก็คือ การพัฒนา AI Search Engine ที่ชาญฉลาดและแม่นยำกว่าเครื่องมือค้นหาแบบเดิม ๆ ซึ่งนั่นแปลว่า Perplexity กำลังมาท้าทายบัลลังก์ราชา Search Engine ชื่อดังอย่าง Google
Aravind Srinivas

โดยเบื้องหลังการทำงานของ Perplexity AI นั้น จะใช้เทคโนโลยีโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) เช่น GPT-4 และ Claude ในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ได้คำตอบที่แม่นยำ ครอบคลุม และเป็นปัจจุบัน พร้อมกับแสดงลิงก์อ้างอิงแหล่งข้อมูลให้ผู้ใช้ตรวจสอบได้ นอกจากนี้ ยังรองรับการอัปโหลดไฟล์ เช่น ข้อความ, ภาพ, PDF, วิดีโอ เพื่อให้ AI วิเคราะห์และตอบคำถามจากข้อมูลที่ผู้ใช้มีโดยตรงได้อีกด้วย

ที่สำคัญ Perplexity AI ต้องการสร้างประสบการณ์การค้นหาข้อมูลที่ตรงไปตรงมา มีประสิทธิภาพ และปราศจากอิทธิพลของโฆษณา ทำให้เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่จำเป็นจริง ๆ โดยไม่ถูกรบกวนจากข้อมูลที่มากเกินไป ขณะที่การค้นหาผ่าน Google ในบางครั้งอาจมีโฆษณาหรือผลลัพธ์ที่ไม่ตรงประเด็นมาเกี่ยวข้อง

หลังจากก่อตั้งบริษัทได้ 4 เดือน บริษัทเปิดตัวเครื่องมือค้นหาหลักของตนไปเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2022 และได้ออกส่วนขยายสำหรับ Google Chrome และแอปสำหรับ iOS และ Android ตามมา โดยหลังจากเปิดตัวได้ 1 ปี Perplexity AI มีการเติบโตถึง 1,000 เท่าโดยมีผู้ใช้งานรายเดือนอยู่กว่า 10 ล้านคน

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ ก็ได้ดึงดูดนักลงทุนมากมาย อาทิ Jeff Bezos CEO ของ Amazon ที่สนใจมาร่วมลงทุนด้วย ส่งผลให้มูลค่าของ Perplexity AI เติบโตอย่างรวดเร็ว จาก 520 ล้านดอลลาร์ในต้นปี 2024 พุ่งขึ้นเป็น 3 พันล้านดอลลาร์ในมิถุนายน 2024 จากนั้นเพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็น 9 พันล้านดอลลาร์ในธันวาคมปีเดียวกัน ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างระดมทุนซรีรส์ D มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถ้าปิดจบคาดว่ามูลค่าบริษัทจะแตะ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้นถึง 27 เท่า

อย่างไรก็ตาม แม้ Perplexity ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก แต่ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะจาก ChatGPT ของ OpenA ซึ่งถือเป็นแอปแชทบอตที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในไตรมาส 3/2024 ซึ่งในตอนนั้น ChatGPT คิดเป็น 45% ของการดาวน์โหลดแอป AI แชทบอตทั้งหมด อ้างอิงจากข้อมูลของบริษัท Sensor Tower

นอกจากนี้ Perplexity ยังเจอความท้าทายจากการที่ AI ใช้ข้อมูลจากสื่อหลาย ๆ แหล่ง อาทิ BBC, The Wall Street Journal และ New York Post จนล่าสุด บรรดาบริษัทสื่อเหล่านี้ขู่ว่าจะฟ้องร้องบริษัท เนื่องจาก AI มีการคัดลอกเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงขโมยการเข้าชมจากเว็บไซต์ของพวกเขา

Jeff Bezos CEO Amazon

แม้บริษัทจะต้องเผชิญความท้าทายด้านกฎหมายและการแข่งขัน แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่แพลตฟอร์ม AI ในปัจจุบันต้องเจอ ดังนั้น Perplexity จึงยังเป็นบริษัทที่น่าสนใจสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ โดยมีข่าวว่าในช่วงปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม Meta ได้เจรจากับ Perplexity เกี่ยวกับการซื้อกิจการ เพื่อที่จะขยับใกล้คู่แข่งอย่าง Google และ OpenAI

ส่วน Apple เอง ก็อยากได้ Perplexity ไปเสริมแกร่งในด้าน Search Engine เนื่องจากที่ผ่านมา Google จ่ายเงินให้ Apple หลายพันล้านดอลลาร์เพื่อให้เป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นในเบราว์เซอร์ Safari แต่ปัจจุบัน Google กำลังถูกฟ้องในเรื่องการผูกขาดด้าน Search Engine ซึ่งหมายความว่า Apple อาจต้องหาทางเลือกอื่นแทนที่ Google

นอกจากนี้ หากพูดถึงเรื่อง AI ของ Apple นั้นถือว่ายังไม่ค่อยมีความคืบหน้า เช่น AI Siri เวอร์ชันปรับปรุงใหม่    ที่ประกาศเมื่อมากกว่าหนึ่งปีที่แล้วยังไม่ได้กำหนดวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทำให้หากข้อตกลงของ Apple กับ Perplexity เกิดขึ้นจริง จะช่วยเสริมแอปและบริการปัจจุบันของ Apple ในขณะที่ยังคงพัฒนา Siri อยู่

CNN / reuters / britannica

]]>
1527954
เสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้! ‘Meta’ พร้อมทุ่ม 1.4 หมื่นล้านเหรียญ ลงทุน ‘Scale AI’ หลังโมเดล Llama 4 AI ที่เปิดตัวยังตามหลัง ‘OpenAI’ https://positioningmag.com/1525565 Wed, 11 Jun 2025 05:10:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1525565 ต้องยอมรับว่า ในเรื่องของ GenAI ตอนนี้เบอร์ 1 ก็คือ OpenAI และ Mark Zuckerberg ก็รู้สึกไม่โอเคที่ Meta ต้องตามหลัง ทำให้บริษัทยอมควักเงินกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ได้ Scale AI มาช่วยปรับปรุงโมเดล Llama ของ Meta ให้แข่งขันได้มากขึ้น

อย่างที่รู้กันว่าในโลกของ AI ข้อมูล เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ AI จะเรียนรู้จากข้อมูลที่เราป้อนให้ และบริษัทที่ทำหน้าที่คัดกรองข้อมูลก็คือ Scale AI ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดย Alexander Wang ที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 19 ปี

โดย Scale AI ให้บริการด้าน Data Labeling หรือ การติดป้ายระบุประเภทให้กับข้อมูลดิบ เพื่อให้คอมพิวเตอร์หรือระบบ AI เข้าใจและเรียนรู้ข้อมูลนั้นได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอ รวมถึงช่วยตรวจสอบถูกต้องของข้อมูลที่ผ่านการสร้างขึ้นด้วย

ซึ่งบริการของ Sclae AI ได้รับการยอมรับในวงกว้างในอุตสาหกรรม AI โดยมีลูกค้าอย่าง Microsoft, OpenAI และได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนหลายราย เช่น Nvidia, Amazon และ Meta ทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดเทคโนโลยี

ดังนั้น Meta ที่ยังตามหลังคู่แข่งในด้าน AI จึงยอมทุ่มเงินสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนใน Scale AI เพื่อจะได้มาช่วยพัฒนา โมเดล Llama ของ Meta ให้แข่งขันได้ โดยตามรายงานจาก The Information เปิดเผยว่า ข้อตกลงในการลงทุนคือ Meta จะถือหุ้น 49% และ Alexander Wang ต้องมาเป็นผู้นำห้องปฏิบัติการวิจัย AI แห่งใหม่ที่บริษัท

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2025 AI เป็นหนึ่งในสิ่งที่ Meta ให้ความสำคัญสูงสุด โดย Mark Zuckerberg ได้ลดความสำคัญของหน่วย Fundamental Artificial Intelligence Research (FAIR) เพื่อสนับสนุนทีม GenAI    ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์มากกว่า เพื่อช่วยให้ Meta ก้าวหน้าใน AI และปรับปรุงตระกูลโมเดล AI Llama

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวโมเดล Llama 4 AI ของ Meta ในเดือนเมษายนไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักพัฒนา และดูเหมือนว่าคู่แข่งอย่าง OpenAI จะนำหน้าทั้งในเรื่องโมเดล AI พื้นฐาน และจำนวนการใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งนั่นทำให้ Mark Zuckerberg ยื่งกำหมัดด้วยความหงุดหงิด

ด้วยความที่เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ Mark Zuckerberg จึงประกาศที่จะเปิดตัวโมเดล Behemoth ที่ใหญ่และทรงพลังกว่า แต่โมเดลนั้นยังไม่ได้เปิดตัว เนื่องจากเขายังกังวลเกี่ยวกับความสามารถ เมื่อเทียบกับโมเดลของคู่แข่ง โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับการเปรียบเทียบ Behemoth กับโมเดลล่าสุดจากบริษัทอย่าง OpenAI และ DeepSeek ของจีน 

และหลังการเปิดตัว Llama 4 ที่ไม่ประสบความสำเร็จ Meta ได้ปรับโครงสร้างหน่วย GenAI โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน คอนเนอร์ เฮย์ส พนักงาน Meta ที่มีประสบการณ์ยาวนานได้รับผิดชอบ AI Products ขณะที่ AGI Foundations ถูกมอบให้ อามีร์ เฟรนเคล อดีตรองประธานด้านวิศวกรรมและผลิตภัณฑ์ของหน่วย Reality Labs hardware ของ Meta และ อาห์หมัด อัล-ดาห์เล อดีตหัวหน้า GenAI แทน

Source

]]>
1525565
‘Meta’ เตรียมเปิดตัวแอป ‘Meta AI’ ในไตรมาส 2 หวังใช้เป็นใบเบิกทางสู่ผู้นำตลาด GenAI ในปีนี้ https://positioningmag.com/1512836 Fri, 28 Feb 2025 07:12:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1512836 นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความดุเดือดของตลาด GenAI เพราะหลังจากที่ Microsoft และ Google ต่างก็มีแอปฯ สแตนด์อะโลน GenAI ของตัวเอง ปีนี้ถึงเวลาของ Meta เจ้าพ่อโซเชียลฯ จะออกแอป Meta AI ออกมาแข่งบ้าง

เมตา (Meta) เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram และ WhatsApp เตรียมเปิดตัว Meta AI แอปพลิเคชัน GenAI แบบสแตนด์อะโลนในช่วงไตรมาส 2/2025 หลังจากที่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายนปี 2023 และได้เปิดให้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Facebook หรือ WhatsApp แต่ยังไม่มีแอปฯ แบบ สแตนอะโลนเหมือนคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างเช่น ChatGPT และ Perplexity 

ซึ่งการเปิดตัวเป็นแอปฯ แบบสแตนด์อะโลน จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ Meta ที่ต้องการก้าวขึ้นเป็น ผู้นำ ด้าน AI เหนือคู่แข่งภายในปี 2025 ตามเป้าหมายของ มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta

Meta ได้เริ่มนำฟีเจอร์ GenAI มาใช้เพื่อถามคำถาม และสร้างภาพตามคำแนะนำของผู้ใช้ในแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram, WhatsApp และ Messenger โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Meta เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ระบุว่า “AI ของเขาจะเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ และมีความเฉพาะตัวที่เข้าถึงผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคน และหวังว่า Meta AI จะเป็นผู้ช่วยด้าน AI ชั้นนำ”

นอกจากที่ Meta วางแผนเปิดตัวแอป Meta AI แล้ว มีข่าวว่าบริษัทจะทดสอบบริการ สมัครสมาชิกแบบชําระเงิน สําหรับ Meta AI คล้ายกับวิธี OpenAI และไมโครซอฟท์ ที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนจากผู้ใช้เพื่อเข้าถึง ChatGPT และ Copilot chatbots ในเวอร์ชั่นที่เก่งขึ้น 

ซึ่งก่อนหน้านี้ Susan Li หัวหน้าฝ่ายการเงินของ Meta เคยบอกกับนักวิเคราะห์ในเดือนมกราคมว่า ในขณะที่ความพยายามของ Meta AI ของบริษัทมุ่งเน้นไปที่ “การสร้างประสบการณ์ผู้บริโภคที่ยอดเยี่ยม” แต่ก็มีโอกาสในการ “สร้างรายได้ที่ชัดเจน” เช่น การสมัครสมาชิกแบบ พรีเมียม

ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ Meta เปิดเผยในเดือนมกราคมว่า Meta AI มีผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 700 ล้านคน/เดือน เพิ่มขึ้นจาก 600 ล้านคนในเดือนธันวาคม แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่า ตัวเลขดังกล่าวจะเทียบกับ ChatGPT หรือคู่แข่งรายอื่น ๆ แบบตรง ๆ ไม่ได้ เพราะยังไม่มีแอปฯ แบบสแตนด์อะโลน

โดย David Curry บรรณาธิการข้อมูลของบริษัทข้อมูลเชิงลึก Business of Apps เปิดเผยกับเว็บไซต์ CNBC ในเดือนธันวาคมว่า เว็บไซต์เดี่ยว Meta AI สร้างยอดวิวน้อยกว่า 10 ล้านครั้งต่อเดือน ซึ่งเขากล่าวว่า ต่ำว่าบริการหลัก ๆ (ChatGPT, Gemini ฯลฯ) และต่ำว่าผู้เล่นระดับกลางบางคนเช่น Anthropic

คงต้องรอดูว่าเมื่อมีแอปฯ สแตนด์อะโลนแล้ว จะมีการใช้งาน Meta AI มากน้อยแค่ไหน เพราะในปี 2025 นี้มีคู่แข่งเปิดหน้าเข้ามามากมาย เช่น Grok จาก xAI ของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ที่จะเปิดตัวแอปอย่างเป็นทางการพร้อมกับเว็บไซต์

ทั้งนี้ จากรายงาน State of Mobile 2025 ของ Sensor Tower ที่เผยแพร่ในเดือนมกราคม พบว่า GenAI ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดโดยวัดจากการดาวน์โหลดแอป คือ ChatGPT ตามด้วย Google Gemini, Doubao ของ ByteDance และ Copilot ของ Microsoft

Source

]]>
1512836
สรุปบรรดา ‘บิ๊กเทค’ วางงบลงทุน ‘AI’ เท่าไหร่ในวันที่ ‘DeepSeek’ แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล https://positioningmag.com/1510100 Mon, 10 Feb 2025 05:45:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510100 ในวันที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทุ่มเงินมหาศาลในการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model – LLM) เพื่อใช้เป็นโมเดลพื้นฐานการประมวลผลของ Generative AI แต่การมาของ DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI จากจีน ที่เหมือนมาตบหน้าบิ๊กเทค เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ดังนั้น ไปดูกันว่าบริษัทบิ๊กเทค วางแผนทุ่มเงินเท่าไหร่ แม้ว่า DeepSeek จะแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องใช้เงินเยอะก็ตาม

เฉพาะ 4 ยักษ์ใหญ่ลงทุนเพิ่มรวมเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์

นับตั้งแต่โลกรู้จักกับ ChatGPT ในปี 2022 บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีหลายรายต่างทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการ AI โดยมุ่งขยายศูนย์ข้อมูลด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia จำนวนมาก และพัฒนาโมเดลต่าง ๆ ของตนเอง

แต่การมาของ DeepSeek ก็มาทำให้เกิดคำถามว่า บริษัทยักษ์ใหญ่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลขนาดนั้นไหม เพราะ DeepSeek ใช้เงินลงทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้หุ้นของผู้ผลิตชิป AI อย่าง Nvidia และ Broadcom ลดลงรวมกัน 800,000 ล้านดอลลาร์ ในวันเดียว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการมาของ DeepSeek จะไม่ได้ทำให้การลงทุนด้าน AI ของเหล่าบิ๊กเทคนั้นลดลง โดยเมื่อรวมเม็ดเงินการลงทุนของ Meta, Amazon, Alphabet และ Microsoft มีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา หรือมากกว่าปีก่อนถึงเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Amazon: 100,000 ล้านดอลลาร์

สำหรับ Amazon บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ ประกาศว่าปีนี้จะลงทุน มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่ใช้เงินลงทุน 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Andy Jassy ซีอีโอ กล่าวว่า เงินส่วนใหญ่จะใช้กับ AI ในส่วนของ Amazon Web Services

Microsoft: 80,000 ล้านดอลลาร์

เมื่อเดือนที่แล้ว Microsoft เปิดเผยว่าจะจัดสรรเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 สำหรับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถรองรับการประมวลผล AI โดย แบรด สมิธ ซีอีโอ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Alphabet: 75,000 ล้านดอลลาร์

Alphabet ตั้งเป้าการใช้ลงทุนด้าน AI ปีนี้ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่าย 16,000 – 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรก โดย Anat Ashkenazi หัวหน้าฝ่ายการเงินกล่าวในการรายงานผลประกอบการว่า การใช้จ่ายส่วนใหญ่จะใช้กับ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยส่วนใหญ่จะใช้กับเซิร์ฟเวอร์ รองลงมาคือ ศูนย์ข้อมูลและระบบเครือข่าย

Meta: 65,000 ล้านดอลลาร์

ส่วน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ได้กำหนดงบประมาณด้านการลงทุนด้าน AI ของบริษัทไว้ที่ 60,000 – 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับระบุว่า ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการกำหนดทิศทางของ AI และการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วย ปลดล็อกนวัตกรรมทางประวัติศาสตร์และขยายความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกา

ภาพจาก Shutterstock

Apple: เน้นร่วมมือกับพันธมิตร

สำหรับ Apple อาจจะประเมินได้ค่อนข้างยากว่ามีการใช้งบลงทุนด้าน AI มากน้อยแค่ไหน เพราะงบส่วนใหญ่จะปรากฏในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เนื่องจากบริษัท ใช้ความสามารถในการฝึกอบรมจากผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เช่น โมเดลที่รองรับปัญญาประดิษฐ์ของ Apple นั้นได้รับการฝึกฝนจาก Google Cloud นอกจากนี้ Apple ยังใช้ความสามารถในการฝึกอบรมระบบคลาวด์จาก AWS และ Azure อีกด้วย

ขณะเดียวกัน Tim Cook ซีอีโอ กล่าวว่า Apple ใช้แนวทางแบบผสมผสานในการลงทุน โดยมีสิ่งที่พัฒนาภายใน แต่ก็มีพันธมิตรบางรายที่ทำธุรกิจด้วยภายนอก ซึ่งการลงทุนนั้นจะปรากฏอยู่ในธุรกิจของพวกเขา

Tesla: 5,000 ล้านดอลลาร์

ด้าน Tesla ได้เคยเปิดเผยในปี 2024 ว่า ค่าใช้จ่ายด้านทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทคาดว่าค่าใช้จ่ายด้าน AI จะคงที่เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยปัจจุบัน Tesla ได้สร้างคลัสเตอร์การฝึกอบรมที่เรียกว่า Cortex ในโรงงานในรัฐเท็กซัส เพื่อใช้สำหรับการฝึกอบรมโมเดลเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ของบริษัทที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา

จะเห็นว่าแต่ละบริษัทอัดงบลงทุนกับ AI มหาศาล แต่นั่นก็ไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะอย่าง Amazon, Google และ Microsoft ที่แม้จะลงทุนเยอะ แต่จะยิ่งส่งผลดีอย่างมากต่อธุรกิจคลาวด์ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการเครื่องมือประมวลผล AI เพิ่มเติม และพวกเขาวางแผนที่จะรันเวิร์กโหลดที่ใหญ่ขึ้นในคลาวด์

]]>
1510100
เดี๋ยวตกขบวน! ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ประกาศทุ่ม 2.2 แสนล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ‘AI’ ในปีนี้ https://positioningmag.com/1508144 Sun, 26 Jan 2025 12:44:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508144 ในยุค AI แบบนี้ บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างก็ไม่มีใครยอมใคร โดยมีการประกาศทุ่มงบลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI กันมหาศาล โดยล่าสุดถึงคิวของ Meta

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Meta เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่าง Facebook, Instagram เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะใช้งบลงทุน 6 – 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2 – 2.18 แสนล้านบาท เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Meta โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทเพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับ OpenAI และ Google 

“นี่จะเป็นปีที่กําหนดสําหรับ AI และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มันจะขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์และธุรกิจหลักของเรา” มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กล่าว

สำหรับการลงทุนดังกล่าวจะใช้จ้างงานบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI เช่น ทีมวิศวกร และสร้างศูนย์ข้อมูลกว่า 2 จิกะวัตต์ (GW) ซึ่งจะมีพื้นที่ใหญ่พอครอบคลุมพื้นที่ส่วนสำคัญของแมนฮัตตัน ซึ่งต้องใช้ GPU กว่า 1.3 ล้านชิ้น เพื่อสร้างพลังการประมวลผลขนาด 1 จิกะวัตต์ สำหรับใช้พัฒนา Llama 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการให้เหตุผลและการโต้ตอบด้วยเสียง

โดยในปีที่ผ่านมา ผู้ช่วย AI ของ Meta มีผู้ใช้งานกว่า 600 ล้านคนต่อเดือน โดยในปีนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการมากกว่า 1 พันล้านคน

นักวิเคราะห์มองว่า การที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประกาศลงทุนในครั้งนี้ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า เขาไม่ต้องการเป็นอันดับสองในการแข่งขัน AI เนื่องจากมีการใช้งบประมาณเพิ่มอย่าง ก้าวกระโดด อย่างมีนัยสําคัญ จากปีที่ผ่านมามีการลงทุนที่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ 

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายรายได้ประกาศลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI อาทิ เมื่อต้นเดือนนี้ Microsoft กล่าวว่ากําลังวางแผนที่จะลงทุนประมาณ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีงบ ประมาณ 2025 เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูล ในขณะที่ Amazon ประกาศว่าจะมีการใช้จ่ายกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุน AI ในปี 2025 

ทั้งนี้ การประกาศของ Meta เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศว่า จะจัดตั้งกิจการที่เรียกว่า Stargate และลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วสหรัฐอเมริกา

source

]]>
1508144
พร้อมเสียบ! ‘Meta’ เปิดตัว ‘Edits’ แอปฯ ตัดต่อวิดีโอใหม่คล้าย ‘CapCut’ ของ ‘TikTok’ https://positioningmag.com/1506992 Mon, 20 Jan 2025 07:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506992 อย่างที่หลายคนรู้ว่า TikTok ได้ถูกแบนในสหรัฐฯ และมีการประเมินว่าแอปฯ อื่นอาจจะโดนร่างแหจากกฎหมายนี้ไปด้วยก็ได้ เช่น CapCut แอปฯ ตัดต่อชื่อดัง ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance เช่นกัน

แม้ว่า TikTok ในตลาดสหรัฐฯ จะถูกแบนเป็นเวลาสั้น ๆ ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะกลับมาให้บริการตามปกติ หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันจันทร์ หลังการเข้ารับตำแหน่ง เพื่อชะลอการแบนแอปฯ ดังกล่าวจากรัฐบาลกลาง ตามที่เขาโพสต์ลงบน Truth Sociai โซเชียลมีเดียของเจ้าตัว

อย่างไรก็ตาม อนาคตของบริษัทก็ยังไม่ชัดเจนภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน รวมไปถึงอีก 2 แพลตฟอร์มอย่าง CapCut และ Lemon8 ที่มีเจ้าของคนเดียวกันก็คือ บริษัท ByteDance 

แต่ถึงจะแบนหรือไม่แบน เจ้าพ่อโซเชียลฯ อย่าง Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ก็ชิงโอกาสเปิดตัวฟีเจอร์ตัดต่อวิดีโอ Edits เพื่อมาชนหรือแทนที่ CapCut หากถูกแบน

Adam Mosseri หัวหน้าทีม Instagram ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Edits ผ่าน Threads ว่า แอปฯ ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อ คนที่ถนัดการตัดต่อวิดีโอบนมือถือ โดยมีจุดเด่น ดังนี้ 

  • สามารถบันทึกคลิปสูงสุด 10 นาที และสามารถตัดต่อได้ทันที
  • สามารถส่งออกและแชร์ไปแพลตฟอร์มไหนก็ได้โดยไม่มีลายน้ำ
  • มีเครื่องมือให้ใช้ตัดต่อครบ
  • สามารถติดตามประสิทธิภาพของ Reels ผ่านแดชบอร์ดข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Edits จะสามารถดาวน์โหลดได้บน App Store แต่จะยัง ใช้งานไม่ได้ โดยจะใช้งานได้ในเดือน กุมภาพันธ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่ TikTok มีข่าวว่าจะโดนแบนในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานหลายคนเริ่มมองหาแพลตฟอร์มใหม่เพื่อใช้แทน เช่น เรดโน้ต (RedNote) หรือ เสี่ยวหงชู (Xiaohongshu) ดังนั้น การที่ Meta เพิ่มแอปฯ ใหม่อย่าง Edits ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนกลับมาใช้ Instagram เสมอไป

Source

]]>
1506992
สรุปสถิติ-เทรนด์น่าสนใจจาก #FacebookIRL https://positioningmag.com/1501451 Fri, 29 Nov 2024 12:30:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501451 FacebookIRL หรือ Facebook In Real Life เป็นโครงการระดับโลกของ Meta เพื่อตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้คนจำนวนหลายพันล้านทั่วโลก ซึ่งถูกจัดขึ้นใน 4 ประเทศทั่วโลก และ ‘ประเทศไทย’ เป็น 1 ใน 3 ประเทศนอกสหรัฐอเมริกาที่มีการจัดงานนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของบ้านเราต่อ Meta

 

ภายในงานได้มีการแชร์สถิติสำคัญ และเทรนด์น่าสนใจหลายอย่าง รวมถึงอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวในไทยเร็ว ๆ นี้ ยกตัวอย่าง Meta AI เวอร์ชั่นภาษาไทยที่จะเปิดตัวภายในสัปดาห์หน้า พร้อมเผยถึงเทคนิคในการสร้าง Engagement บน Facebook

 

สถิติน่าสนใจ

 

– Meta มีผู้ใช้จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมแล้ว 3.29 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 5% ทุกปี โดยเป็นผู้ใช้ Facebook มากกว่า 2 พันล้านคน

สำหรับในประเทศไทย Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 60 ล้านคนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 5%จากปีก่อน และมีผู้ใช้งาน Messenger กว่า 56 ล้านคนต่อเดือน

– บน Facebook มี Group มากกว่า 43 ล้านกลุ่ม และ 25 ล้านกลุ่มเป็นสาธารณะ ซึ่งในแต่ละเดือนมีผู้ใช้กว่า 1.8 ล้านคนมีส่วนร่วมในกลุ่ม

– Facebook มีผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Young Adult หรือคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 19-29 ปี

คนรุ่นใหม่ใช้เวลา 60% เพื่อดูวิดีโอบน Facebook และ 50% ดู Reels

 

เทรนด์ที่มาแรง บน Facebook

 

– พฤติกรรมการใช้ Facebook ของกลุ่ม Gen Z เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมใช้เพื่อเชื่อมต่อกับผู้คน ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น Expand & Explore ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ของกลุ่มนี้ โดยจะเน้นสำรวจความสนใจและค้นหาสิ่งใหม่ ๆ รวมถึงใช้ขยายคอมมูนิตี้ และคอนเน็กชันของตัวเอง

– Reel มาแรง และคนรุ่นใหม่เกินครึ่งจะดู Reels เป็นหลัก ที่สำคัญจะดูทุกวัน

– ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่จะแชร์วิดีโอในสาธารณะ แต่ตอนนี้พวกเขาจะแชร์เฉพาะตัวเองหรือกลุ่มเฉพาะ ทำให้เทรนด์ Private Sharing เติบโตขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับปีก่อน

– 4 ฟีเจอร์บน Facebook ที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้ ได้แก่ Market Place, Group, Event และ Messenger

ไฮไลต์ของ Meta AI มีอะไรบ้าง

 

– Meta ได้ลงทุนเงินกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเรื่อง AI เพื่อจะเป็นเบอร์ 1 ของโลกทางด้านนี้

– ตอนนี้มีผู้ใช้งาน Meta AI อยู่ประมาณ 500 ล้านคน

– บน Facebook มีผู้ใช้ราว 15 ล้านคน ใช้ Generative AI สำหรับทำคอนเทนต์และโฆษณา

Meta AI เวอร์ชั่นภาษาไทยกำลังจะเปิดตัวในสัปดาห์หน้า

– Meta AI จะมีฟีเจอร์ใหม่เพื่อช่วยให้ Admin สามารถบริหารจัดการคอมเมนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือและฟีเจอร์อื่น ๆ อาทิ Imagine yourself ที่ AI จะช่วย Gen ภาพตามที่ต้องการ และ AI Comment Summary สำหรับช่วยสรุปเนื้อหา และไฮไลต์คอนเทนต์หลักในโพสต์ เป็นต้น

 

อัปเดตเทรนด์ Creator สร้างรายได้น่าสนใจ

 

ทาง Facebook เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีครีเอเตอร์กว่า 4 ล้านคนที่สร้างรายได้บน Facebookโดยระหว่างปี 2023 จนถึงปี 2024 Facebook ได้จ่ายเงินค่าตอบแทนให้ครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์ไปแล้วกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวส่วนมากเป็นคอนเทนต์ Reels ที่เติบโตสูงถึง 80%

นอกจากนี้ Facebook ยังได้แนะนำครีเอเตอร์ที่ต้องการปั้นช่องและสร้างรายได้ว่า ให้เปิด Professional Mode เพื่อให้สามารถเข้าถึงเครื่องมือและข้อมูลอินไซต์ต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของคอนเทนต์แต่ละตัว รวมไปถึงการสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มด้วยรูปแบบต่าง ๆ

ขณะเดียวกัน Facebook ยืนยันว่า สนับสนุนครีเอเตอร์ที่โพสต์คอนเทนต์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บทความ ภาพ วิดีโอ และวิดีโอสั้น ซึ่งประสิทธิภาพของคอนเทนต์ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจ และการทำได้อย่างตรงจุด ไม่ได้เกี่ยวกับรูปแบบของการโพสต์

ยกตัวอย่างที่มีครีเอเตอร์หลายครีเอเตอร์ โดยเฉพาะสื่อ นิยมโพสต์คอนเทนต์ในรูปแบบสเตตัส เพราะเชื่อว่า เอนเกจจะดีกว่ารูปแบบบทความ ถือเป็นความเชื่อที่ไม่ตรงกับความจริง

 

 

]]>
1501451