meta – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 25 Apr 2024 05:09:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Meta’ กำไรพุ่งเท่าตัวแต่มูลค่าดิ่ง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังนักลงทุนกังวลแผนการลงทุนเกี่ยวกับ AI และ Metaverse https://positioningmag.com/1471099 Thu, 25 Apr 2024 05:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471099 แม้ว่าผลประกอบการของ Meta ในช่วง Q1/2024 จะออกมาค่อนข้างดี แต่มูลค่าบริษัทกลับลดฮวบถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากที่นักลงทุนกังวลถึงแผนการลงทุนของบริษัทที่ยังคงมีเรื่องของ Metaverse ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนกที่ขาดทุนหนักที่สุด อีกทั้งยังมีแผนลงทุนใน AI ระยะยาว ซึ่งยังมองไม่เห็นโอกาสทำกำไร

Meta รายงานผลประกอบการ Q1/2024 โดยมีรายได้รวม 36,455 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +27% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 12,369 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +117% ที่น่าสนใจคือ รายได้จาก โฆษณา ที่เติบโตสูงถึง 27% ซึ่งรายได้จากโฆษณาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 97.8% ตามด้วยธุรกิจด้าน AR VR และ Metaverse 1.2% และอื่น ๆ 1.0%

ทั้งนี้ การเติบโตของโฆษณานั้นส่วนหนึ่งมาจากที่ Threads เริ่มขายโฆษณาได้ รวมไปถึง Reels ฟีเจอร์วิดีโอสั้นที่สามารถตรึงให้ผู้ใช้อยู่บนแพลตฟอร์มได้

ในส่วนของจำนวนผู้ใช้งานประจำทุกวันรวมทุกแพลตฟอร์ม (Family Daily Active People – DAP) เพิ่มขึ้น +7% เป็น 3.24 พันล้านคน นอกจากนี้ จำนวนพนักงานทั่วโลกลดลงเหลือ 69,329 คน จากในปี 2022 ที่มีจำนวนพนักงานสูงสุดที่กว่า 87,000 คน

แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรแต่หุ้นของ Meta ร่วงลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของ Metaverse ที่ขาดทุนอย่างหนักอีกครั้งถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้แล้วก็ตาม รวมแล้วตั้งแต่ปลายปี 2020 แผนกนี้ขาดทุนสะสมไปกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์

อีกเรื่องหนึ่งเรื่องก็คือ AI โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา ต้องการจะลงทุนระยะยาวกับ AI เพื่อสร้างรายได้ใหม่นอกจากรายได้จากโฆษณา ดังนั้น บริษัทต้องจัดสรรทรัพยากรใหม่เพื่อมุ่งเน้นไปที่การลงทุนด้าน AI ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านทุนของปีนี้จะอยู่ที่ 35,000 – 40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม

ไม่ใช่แค่การลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่การผลิตภัณฑ์ AI จนสามารถสร้างผลกำไรด้วยตัวมันเองของ Meta อาจต้องใช้เวลานานหลายปี และเขาก็ไม่สามารถระบุกรอบระยะเวลาในการทำกำไรจาก AI อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามั่นใจในศักยภาพของบริษัทในด้านนี้

Source

]]>
1471099
Meta เปิดตัวชิปเร่งประมวลผล AI รุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร หวังลดการพึ่งพาจาก Nvidia https://positioningmag.com/1469864 Thu, 11 Apr 2024 03:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469864 เมต้า (Meta) เจ้าของ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram ได้เปิดตัวชิปเร่งการประมวลผลปัญญหาประดิษฐ์รุ่นใหม่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร ซึ่งมีความสามารถมากกว่ารุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้บริษัทยังต้องการลดการพึ่งพาชิปจาก Nvidia ลง

Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Social Network ได้เปิดตัวชิปเร่งการประมวลผลปัญญหาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ ซึ่งความสามารถของชิปรุ่นใหม่นี้ประมวลผลด้าน AI ได้เร็วมากขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับชิปในรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 5 นาโนเมตรซึ่งทำให้ประหยัดพลังงานลดลง

สำหรับงานที่ใช้เทคโนโลยี AI ของ Meta จนต้องมีการผลิตชิปออกมาเพื่อเร่งการประมวลผลนั้น เช่น เรื่องการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในด้านโฆษณา เพื่อหากลุ่มลูกค้า หรือแม้แต่การใช้ประมวลผลด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งชิปดังกล่าวจะใช้ในศูนย์ข้อมูลของบริษัท

Meta ยังชี้ว่าการผลิตชิปรุ่นใหม่นี้เป็นส่วนสำคัญของแผนระยะยาวในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานด้าน AI ของบริษัท

ไม่เพียงเท่านี้ ชิปดังกล่าวของ Meta ยังใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตรจาก TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากไต้หวัน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ชิปของบริษัทนั้นประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ Mark Zuckerberg ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Meta เคยกล่าวว่าในปี 2024 บริษัทจะสั่งชิปเร่งการประมวลผล AI ในรุ่น H100 จาก Nvidia เพิ่มเติมอีก 350,000 ชุด ซึ่งจะทำให้บริษัทมีชิปเร่งการประมวลผลมากถึง 600,000 ชุด ซึ่งถือว่าใช้เม็ดเงินระดับมหาศาลในการซื้อชิปรุ่นดังกล่าว

ในช่วงที่ผ่านมาเทรนด์การใช้ AI ได้ทำให้ชิปของ Nvidia ถูกบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาหรือแม้แต่คู่แข่งจากจีน ได้ทำการกว้านซื้อเพื่อที่จะนำไปประมวลผลด้าน AI ซึ่งส่งผลทำให้บริษัทผลิตชิปรายดังกล่าวกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นแตะหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐ

นักวิเคราะห์บางรายคาดยังว่า Nvidia นั้นอาจมีรายได้จากการขายชิปเร่งประมวลผล AI ได้มากถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2027 และคู่แข่งรายอื่นไม่มีใครสามารถเข้ามาเทียบเคียงได้

อย่างไรก็ดีเนื่องด้วยความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Microsoft หรือ Amazon หรือไม่เว้นแต่ Meta ต่างต้องการที่จะลดการพึ่งพาชิปจาก Nvidia ให้ได้มากที่สุด และชิปที่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จ้างผลิตยังสามารถกำหนดสเปกตามความต้องการได้อีกด้วย

]]>
1469864
รู้หรือไม่ Instagram สร้างรายได้ให้ Meta มากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด แถมยังมากกว่า YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ https://positioningmag.com/1469445 Tue, 09 Apr 2024 03:50:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469445 ปกติแล้ว Meta ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มแชร์รูปภาพอย่าง Instagram จะไม่มีการเปิดเผยรายได้ของแพลตฟอร์มดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ล่าสุดในการขึ้นศาลของบริษัทนั้นบริษัทได้กล่าวถึงรายได้ในส่วนดังกล่าวในปี 2021 นั้นบริษัททำรายได้มากกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบแล้วมากกว่า YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ

Business Insider ได้รายงานข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลที่ Meta ได้ยื่นข้อมูลกับศาลในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่ารายได้ของ Instagram ในปี 2021 ที่ผ่านมานั้นทำรายได้ให้กับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่นั้นมากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้รวมบริษัท ซึ่งถือว่าแพลตฟอร์มแชร์รูปดังกล่าวถือเป็นเครื่องจักรผลิตเงินที่สำคัญของบริษัท

Meta ได้ยื่นข้อมูลกับศาลของสหรัฐอเมริกาในคดีความกับ FTC ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล รายได้ในปี 2018 อยู่ที่ 11,300 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้ในปี 2019 อยู่ที่ 17,900 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้ในปี 2020 อยู่ที่ 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2021 อยู่ที่ 32,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และครึ่งปีแรกของปี 2022 อยู่ที่ 16,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

หากนำรายได้ของปี 2021 ของ Instagram ที่คิดเป็นเงินไทยระดับ 1.1 ล้านล้านบาท มาเทียบรายได้รวมทั้งหมดของ Meta นั้นรายได้จะคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 27% เลยทีเดียว และยังมีโอกาสที่สัดส่วนจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำในอนาคต

ปกติแล้วบริษัทแม่ของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram จะไม่มีการรายงานรายได้รวมของแต่ละหน่วยธุรกิจแต่อย่างใดในรายงานผลประกอบการแต่ละไตรมาส แต่บริษัทจะรายงานแค่รายได้จากส่วนของแอปพลิเคชันซึ่งรวมธุรกิจลูกทั้งหมด และส่วนรายได้ของ Reality Labs ซึ่งเป็นรายได้จากกลุ่ม Metaverse หรือ VR รวมกัน

และถ้าหากนำรายได้ของ Instagram ในช่วงเวลาปี 2021 นักวิเคราะห์ยังคาดว่าจะมีมากกว่ารายได้ของ YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ โดยนักวิเคราะห์จาก MoffettNathanson คาดว่ารายได้ของแพลตฟอร์มวิดีโอดังกล่าวจะมีรายได้ 28,800 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 1 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ดี Alphabet บริษัทแม่ของ YouTube และ Google เองก็ไม่ได้รายงานรายได้ของแต่ละธุรกิจ ซึ่งรวมถึง YouTube ด้วยเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมา Instagram ได้ปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินการไม่น้อย เช่น เน้นการแชร์วิดีโอสั้นเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะต่อสู้กับคู่แข่งอย่าง TikTok หรือแม้แต่การเปิดตัว Threads ซึ่งเป็นบริการที่คล้ายคลึงกับ Twitter หรือ X ในปัจจุบัน รวมถึงการหาช่องทางรายได้ใหม่ๆ จากผู้ลงโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น

การยื่นข้อมูลกับศาลของสหรัฐอเมริกาของ Meta ครั้งนี้ทำให้เราได้ทราบถึงความคุ้มค่าในการซื้อกิจการ โดย Facebook (ก่อนที่บริษัทจะเปลี่ยนชื่อ) ได้ซื้อกิจการของ Instagram ในปี 2012 ด้วยมูลค่าเพียงแค่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่บริษัทจะสร้างรายได้อย่างงดงามและเป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้กับ Meta ในทุกวันนี้

นอกจากนี้ Business Insider ได้เทียบว่าถ้าหากนำรายได้มาคำนวณสัดส่วนเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของ Meta ในปัจจุบันนั้น Instagram จะมีมูลค่ากิจการอย่างน้อย 440,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 16 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นดีลที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มในระยะเวลาเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น

]]>
1469445
หลอกกันไม่ได้แล้วนะ! “Meta” จะเริ่มติดป้ายเตือน “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI” ภายในพฤษภาคมนี้ https://positioningmag.com/1469438 Mon, 08 Apr 2024 11:47:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469438 “Meta” อัปเดตนโยบายคอนเทนต์รอบใหม่ โดยจะเริ่มบังคับให้ติดป้ายเตือนว่าเป็น “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ บังคับใช้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในเครือ ได้แก่ Facebook, Instagram และ Threads

สืบเนื่องจากข้อแนะนำจาก “Oversight Board” หรือคณะกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบายด้านเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของ Meta แจ้งว่า โซเชียลมีเดียของบริษัทมีนโยบายเกี่ยวกับคอนแทนต์ AI ที่ ‘แคบเกินไป’ ทำให้ Meta จะเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้

โดยคอนเทนต์ที่เป็นภาพ เสียง และวิดีโอทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือ AI จะต้องมีป้ายเตือนกำกับไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเองโดยสมัครใจของผู้โพสต์ หรือเมื่อเครื่องมือ AI ของ Meta เองสามารถตรวจจับได้ว่า คอนเทนต์นั้นๆ ถูกสร้างขึ้นโดย AI อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ข้อมูลรายละเอียดว่าจะมีการตรวจจับด้วยระบบไหน

ก่อนหน้านี้ นโยบายเกี่ยวกับคอนเทนต์ AI ของ Meta มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือ ห้ามลงโพสต์วิดีโอที่ปรากฏภาพเคลื่อนไหวของบุคคลที่พูดอะไรออกมาโดยที่เขาหรือเธอไม่ได้พูดจริงๆ แต่เป็นการสร้างขึ้นของ AI (Deepfake) นั่นทำให้นโยบายนี้ไม่ครอบคลุมมากพอไปถึงคอนเทนต์สร้างโดย AI อื่นๆ ที่กำลังท่วมท้นอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตขณะนี้

“ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีการพัฒนาเครื่องมือ AI ที่สร้างคอนเทนต์รูปภาพหรือเสียงได้เสมือนจริงมากขึ้น และเทคโนโลยีพวกนี้ก็กำลังพัฒนายิ่งขึ้น” Meta ระบุในบล็อกโพสต์แถลงเกี่ยวกับนโยบายนี้ “ตามที่ Oversight Board แจ้งมา การติดป้ายเตือนว่าเป็นคอนเทนต์ที่ AI สร้างขึ้นนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านโยบายห้ามโพสต์วิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลหนึ่งกำลังพูดหรือทำอะไรที่เขาหรือเธอไม่ได้ทำจริง”

Meta ย้ำว่าสำหรับคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI แต่สื่อสารสิ่งที่ผิดกฎร้ายแรงของแพลตฟอร์ม เช่น การรังแก ชักนำการเลือกตั้ง การคุกคามทางเพศ เหล่านี้จะถูกแบนออกจากระบบตามปกติแม้จะเป็นภาพหรือเสียงที่ทำขึ้นจาก AI ก็ตาม

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Meta หากสามารถทำได้จริงน่าจะช่วยให้ชุมชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียใช้วิจารณญาณได้ดีขึ้นมาก Positioning พบว่าโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบันมีภาพที่ผลิตจากเครื่องมือ AI จำนวนมากที่เหมือนจริงอย่างมาก และถูกผู้โพสต์พิมพ์ข้อความประกอบเพื่อชี้นำว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ข่าวปลอม (Fake News) ความเข้าใจที่ผิดในสังคม หรือการหลอกลวงต่อไปในอนาคตได้

Source

]]>
1469438
เอไอก็เอาไม่อยู่! ‘Meta’ รับ ยังดีไม่พอจัดการ ‘มิจฉาชีพ’ วอนผู้ใช้ช่วย ‘รีพอร์ต’ บัญชีสแกมอีกแรง https://positioningmag.com/1449412 Thu, 26 Oct 2023 11:51:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449412 หลังจากคนไทยคุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ต การช้อปออนไลน์ก็กลายเป็นอีกสิ่งที่ทำติดอันดับโลก รวมถึงการใช้ QR Payment ไทยถือเป็น Top5 ของโลกเลยทีเดียว และเมื่อคนไทยคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีก็คือ มิจฉาชีพ

อาชญากรรมออนไลน์ไทยเฉลี่ย 2.5 แสนคดี/ปี

พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ที่เปิดให้มีการแจ้งอาชญากรรมทางออนไลน์พบว่า มีการแจ้งรวมกว่า 3 แสนคดี หรือเฉลี่ยกว่า 700 คดี/วัน

รูปแบบอาชญากรรมออนไลน์ สามารถแยกได้เป็น 14 ประเภท แต่ที่มีจำนวนเยอะสุดอันดับ 1 คือ การซื้อขายออนไลน์ เช่น ได้ของไม่ตรงปก คิดเป็น 40% หรือกว่า 130,000 คดี ตามด้วย

  • หลอกทำภารกิจหรือเล่นเกม
  • หลอกทำงานออนไลน์
  • แก๊งคอลเซ็นเตอร์
  • หลอกลงทุน

“ในแต่ละปีความเสียหายจากมิจฉาชีพในไทยมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งมิจฉาชีพก็เอาเงินไปลงทุนเทคโนโลยี และคนเพิ่มเติม ทำให้เครือข่ายมีความซับซ้อนและกระจายในหลายประเทศ ทำให้จับได้ยากขึ้น มีกลโกงรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น โอกาสหลงเชื่อก็เยอะขึ้น” พ.ต.อ.เจษฎา กล่าว

พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

98% ของบัญชีสแกมที่เจอถูกปิดโดยเอไอ

เฮเซเลีย มาร์กาเรต้า ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า การป้องกันไม่ให้โฆษณาบนแพลตฟอร์มถูกใช้งานเพื่อการหลอกลวงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแพลตฟอร์มก็ได้ กำหนดมาตรฐานการโฆษณาที่ได้รับอนุญาต และหากตรวจจับโฆษณาที่ละเมิดมาตรฐานการโฆษณา แพลตฟอร์มก็จะดำเนินการ ไม่อนุมัติ โฆษณาดังกล่าวในทันที

โดย Meta ได้ใช้ เอไอ เพื่อตรวจสอบเนื้อหาและบัญชีที่ละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์ม โดยไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 Meta ได้เดินหน้าลบบัญชีปลอมออกกว่า 676 ล้านบัญชีทั่วโลก โดย 98.8% ถูกตรวจพบและลบออกไปโดยเอไอก่อนที่จะมีการรายงานจากผู้ใช้

นอกจากนี้ Meta ก็มี คน ที่คอยตรวจสอบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน อย่างไรก็ตาม ทาง Meta ไม่ได้เปิดเผยว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลส่วนนี้มากน้อยเพียงใด

เฮเซเลีย มาร์กาเรต้า ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ซ้ายของภาพ) อิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta (ขวาของภาพ)

ยอมรับว่ายังมีช่องโหว่เพราะมิจฉาชีพเก่งขึ้น

เฮเซเลีย ยอมรับว่า แม้บัญชีหรือโพสต์สแกมจะถูกเอไอสกัดกั้นนับล้านบัญชีแต่ก็ยังมีบางส่วนที่หลุดรอดมาได้ ซึ่งแพลตฟอร์มไม่ได้พอใจ และจะพยายามหาทางสกัดกั้นเพิ่มเติม รวมถึงอยากขอให้ ผู้ใช้งานช่วยกันรีพอร์ตบัญชีสแกม ซึ่งเพียงแค่คนเดียวรีพอร์ตทาง Meta ก็เทคแอคชั่นทันที แต่ไม่สามารถระบุระยะเวลาในการดำเนินการได้ เพราะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบเบื้องต้นจะใช้เอไอ และมีมนุษย์คอยตรวจสอบอีกครั้ง

“เราพยายามเต็มที่ และต้องพยายามเพิ่ม ระบบก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป และต้องยอมรับว่ามิจฉาชีพพยายามหาช่องโหว่เพื่อให้หลุดรอดการตรวจสอบ เช่น ใช้สัญลักษณ์แปลก ๆ แทนพยัญชนะ ซึ่งเราก็พยายามสอนเอไอให้ฉลาดขึ้นเพื่อตรวจจับให้ได้ และใช้มนุษย์คอยตรวจซ้ำ”

ปัจจุบัน Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.88 พันล้านคน/เดือน มีมากกว่า 10 ล้านธุรกิจทั่วโลกใช้โฆษณาบน Meta และมากกว่า 200 ล้านธุรกิจ ใช้เทคโนโลยีของ Meta ในการทำธุรกิจ

พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อสกัดกั้น

อิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Meta ได้ร่วมทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระทรวงดีอีเอส สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเมื่อทางหน่วยงานแจ้งข้อมูลเข้ามาก็พร้อมดำเนินการปิดกั้น

นอกจากนี้ Meta ยังสร้างการตระหนักรู้และแคมเปญการให้ความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้เท่าทันกลลวงและรู้วิธีการรายงานเนื้อหาเข้ามาได้ อาทิ แคมเปญ #StayingSafeOnline ภายใต้โครงการ We Think Digital Thailand โครงการหลักในการเสริมทักษะดิจิทัลของ Meta โดยแคมเปญดังกล่าวได้เข้าถึงชาวไทยเป็นจำนวนกว่า 30 ล้านคนแล้วในปัจจุบัน ตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 2564

ปัจจุบัน ตำรวจไซเบอร์ได้เปิดสายด่วน 1441 เพื่อขอความช่วยเหลือหรือปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงแจ้งเบาะแสได้ทันที

]]>
1449412
งานเข้า ‘Meta’ หลังทนาย 42 คนยื่นฟ้องข้อหาออกแบบอัลกอริทึมที่ทำให้ “เยาวชนเสพติด” การใช้งาน https://positioningmag.com/1449277 Wed, 25 Oct 2023 11:37:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449277 แม้จะมีข้อมูลว่า Facebook อาจไม่ได้เป็นที่นิยมของ วัยรุ่น แต่ไม่ใช่กับ Instagram เพราะถือว่ายังคงเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของวัยรุ่น อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดนี้เองทำให้กลุ่มทนาย 42 คน ร่วมกันฟ้องร้อง Meta ว่าทำให้ วัยรุ่นเสพติดการใช้ Facebook และ IG

ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มของ Meta อยู่ที่ 3.88 พันล้านคน/เดือน หรือคิดเป็นประชากร ครึ่งโลก ที่ใช้งาน แน่นอนว่ากลุ่ม วัยรุ่น ก็ต้องรวมอยู่ในจำนวนดังกล่าวแน่นอน ส่งผลให้ กลุ่มทนายทั่วไป 42 คน ฟ้อง Meta โดยอ้างว่า ฟีเจอร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Facebook และ Instagram นั้น ดึงดูดและมุ่งเป้าไปที่เด็กและวัยรุ่น

ส่งผลให้ขณะนี้ Meta กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องหลายคดีเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวในหลายเขต โดยอัยการสูงสุดจาก 33 รัฐ ได้ยื่นฟ้อง Meta ซึ่งคดีดังกล่าวถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐที่มีลำดับความสำคัญในการปกป้องเด็กและวัยรุ่นจากอันตรายทางออนไลน์

โดยกลุ่มทนายระบุว่า Meta ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ Facebook และ Instagram เพื่อให้วัยรุ่นใช้งานได้นานขึ้นและกลับมาซ้ำหลายครั้ง ผ่านการออกแบบอัลกอริทึม การแจ้งเตือนมากมาย ส่งผลให้เกิดการเลื่อนฟีดแพลตฟอร์มอย่างไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ กลุ่มทนายยังรวมฟีเจอร์ที่มองว่า ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นผ่านการเปรียบเทียบทางสังคมหรือส่งเสริมความผิดปกติของร่างกาย เช่น “การถูกใจ” ​​หรือฟิลเตอร์รูปภาพ

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มพันธมิตรอัยการสูงสุดของรัฐได้ร่วมมือกันเพื่อติดตาม Meta แต่ในปี 2020 มีรัฐจำนวน 48 รัฐได้ฟ้องร้องบริษัทในเรื่อง การต่อต้านการผูกขาด นอกจากนี้ รัฐบาลกลางยังกล่าวหาว่า Meta ละเมิดพระราชบัญญัติคุ้มครองความเป็นส่วนตัวออนไลน์ของเด็ก หรือ COPPA โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง โดยรัฐต่าง ๆ กำลังหาทางยุติสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นอันตรายของ Meta เช่นเดียวกับบทลงโทษและการชดใช้ค่าเสียหาย

“Meta ตระหนักดีถึงผลกระทบด้านลบที่การออกแบบอาจมีต่อผู้ใช้รุ่นเยาว์” ทนายความ กล่าว

ที่ผ่านมา เคยมีการรั่วไหลของเอกสารภายในของบริษัท ที่เปิดเผยการวิจัยภายในเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตนเกี่ยวกับ ผลกระทบของ Instagram ที่มีต่อวัยรุ่น โดยพบว่า “เด็กสาววัยรุ่น 32% รู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง โดย Instagram ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง” 

สื่อแฉ ‘Facebook’ ศึกษาผลด้านลบของ ‘Instagram’ ต่อวัยรุ่นกว่า 3 ปีแต่ไม่เปิดเผย

ทั้งนี้ จากการสำรวจของ Pew Research Center ระบุว่า วัยรุ่นจำนวนมากเลิกใช้งาน Facebook แต่ Instagram ยังคงได้รับความนิยมในสหรัฐฯ โดยวัยรุ่นที่ใช้ Instagram ในสหรัฐฯ มีประมาณ 22 ล้านคน/วัน

Source

]]>
1449277
ยอมจ่ายไหม? ‘Facebook’ และ ‘Instagram’ เตรียมเพิ่มแพ็กเกจ ‘ไร้โฆษณา’ ในยุโรปราคา 400 บาท/เดือน https://positioningmag.com/1446835 Thu, 05 Oct 2023 06:48:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446835 เชื่อว่าหลายคนน่าจะเบื่อกับโฆษณาที่ต้องเห็นในหลาย ๆ แพลตฟอร์มรวมไปถึง Facebook และ Instagram ล่าสุด ทาง Meta ก็ได้เปิดตัวแพ็กเกจแบบเสียเงินรายเดือน เพื่อที่จะ “ไม่เห็นโฆษณา” ในยุโรป

Meta วางแผนที่จะให้ผู้ใช้ Facebook และ Instagram ในยุโรปมีตัวเลือกในการชําระเงินเพื่อใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแบบไม่มีโฆษณา เนื่องจากยุโรปได้ออกกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เข้มงวด เบื้องต้น คาดว่าค่าบริการ เวอร์ชั่นเดสก์ท็อป จะอยู่ประมาณ 10 ยูโรต่อเดือน (ราว 390 บาท) และหากผู้ใช้มีบัญชีอื่น ๆ ที่เชื่อมกันก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 6 ยูโรต่อบัญชี

ส่วนถ้าเป็นการใช้ผ่านมือถือ ค่าแพ็กเกจจะแพงกว่า โดยอยู่ที่ประมาณ 13 ยูโร (ราว ๆ 500 บาทต่อเดือน) เนื่องจากต้องหักส่วนแบ่งบางส่วนให้กับทั้ง Apple App Store และ Google Play Store

อย่างไรก็ตาม Meta ยังไม่ได้กำหนดวันเปิดตัวชัดเจน แต่คาดว่าจะเปิดให้ใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับกฎความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของสหภาพยุโรป ที่ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ใช้ก่อนจะแสดงโฆษณาตามความสนใจของผู้ใช้

ทั้งนี้ Meta ระบุว่า แพลตฟอร์มไม่ได้บังคับให้ผู้ใช้งานต้องจ่ายเงินแต่อย่างใด โดยผู้ใช้ยังสามารถใช้งานได้ฟรีตามปกติ แต่ก็ยังต้องเห็นโฆษณาตามเดิม

Meta ยังเชื่อในรูปแบบการให้บริการฟรี อย่างไรก็ตาม เรายังคงสํารวจทางเลือกต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเราปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านกฎระเบียบที่กําลังพัฒนา”

Source

]]>
1446835
Meta ซุ่มพัฒนา AI ชุดใหม่ คาดเปิดตัวปี 2024 หวังไล่ให้ทันคู่แข่งทั้ง OpenAI และ Alphabet https://positioningmag.com/1443924 Mon, 11 Sep 2023 04:09:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443924 บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram อย่าง Meta ล่าสุดได้ซุ่มพัฒนา AI ชุดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวในปี 2024 และมีความสามารถมากกว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ที่บริษัทเปิดตัวไปได้ไม่นาน หวังไล่ให้ทันคู่แข่งทั้ง OpenAI และ Alphabet

Wall Street Journal รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกียวข้องว่า Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram กำลังซุ่มพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีความสามารถมากกว่าในปัจจุบัน และจะมีการแจกระบบดังกล่าวฟรี และเปิดเผยซอร์สโค้ดเหมือนที่เคยทำมา

สำหรับ AI ของ Meta ตัวใหม่นั้นมีความสามารถมากกว่า Llama 2 ที่บริษัทได้เปิดตัวไปเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา และบริษัทคาดหวังว่าความสามารถของ AI ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้จะไล่ทัน AI บริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI ซึ่งเป็นผู้พัฒนา ChatGPT ด้วย

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัทในการพัฒนา AI ดังกล่าวคือ มีการสร้างศูนย์ข้อมูลขึ้นมาใหม่ มีการจ้างงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการซื้อชิปรุ่น H100 จาก Nvidia สำหรับเร่งการประมวลผล นอกจากนี้แหล่งข่าวของสื่อธุรกิจรายนี้คาดว่า AI ของ Meta จะเริ่มมีการฝึกฝนโดยใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ในช่วงต้นปี 2024 และจะเปิดตัวได้หลังจากนั้น

การพัฒนา AI ตัวใหม่ของ Meta ได้รับการหนุนหลังจาก Mark Zuckerberg เป็นอย่างดี โดยเขามองว่าบริษัทยังตามหลังคู่แข่งอย่างมากในเรื่องดังกล่าวอย่างมาก

อย่างไรก็ดีทีมกฎหมายของ Meta มีความกังวลถึงการเปิดเผยซอร์สโค้ด AI ของบริษัท เนื่องจากกังวลว่าจะมีการฟ้องร้องในการนำข้อมูลมาฝีกฝน AI นั้นอาจเป็นข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์ หรือแม้แต่การนำ AI ไปใช้เพื่อในทางที่ไม่ดี อย่างการเผยแพร่ข้อมูลปลอม ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อบริษัทภายหลังได้

ในช่วงที่ผ่านมาการเข้ามาของ ChatGPT ได้สร้างความฮือฮาในการตอบคำถาม และผลลัพธ์ในการใช้งานที่น่าทึ่ง สิ่งดังกล่าวได้สร้างผลกระทบมหาศาลต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกเร่งการพัฒนาระบบแชทบอทดังกล่าวออกมา ไม่ว่าจะเป็น Alphabet หรือแม้แต่ Meta เอง

]]>
1443924
กลับลำ! ซีอีโอ “Meta” “Snap” “Zoom” เลิกอวย Work from Home หันมากดดันพนักงานที่ไม่เข้าออฟฟิศ https://positioningmag.com/1443468 Tue, 05 Sep 2023 06:42:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1443468 หมดยุคทองของการ Work from Home แล้วหรือเปล่า? ล่าสุดทั้งซีอีโอของ Meta, Snap และ Zoom ต่างเปลี่ยนนโยบายให้พนักงานกลับมาเข้าออฟฟิศ และเริ่มกดดันลงโทษทางวินัยหรือไล่ออกพนักงานที่ไม่ยอมทำตาม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในช่วงโควิด-19 บรรดาซีอีโอต่าง อวย การทำงานจากบ้านว่าดีกับสมดุลชีวิตและการงานมากกว่า

3 ปีที่ผ่านมา โรคระบาดบีบให้หลายบริษัทต้องใช้นโยบาย Work from Home สำหรับพนักงานออฟฟิศ จนวิถีชีวิตการทำงานลักษณะนั้นเกือบจะมาแทนที่การเข้าออฟฟิศแบบเดิมๆ ไปโดยเฉพาะในโลกตะวันตก

อย่างไรก็ตาม บางบริษัทเริ่มทยอยเปลี่ยนใจ หันมาใช้นโยบาย “กลับเข้าออฟฟิศ” เหมือนเก่าแล้ว เช่น Meta และ Goldman Sachs ที่เริ่มต้นใช้นโยบายกลับเข้าออฟฟิศมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมาพร้อมกับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากพนักงานไม่เข้าออฟฟิศบ่อยครั้งเท่าที่กำหนด อาจจะมีบทลงโทษทางวินัยถึงขั้นไล่ออกได้

ที่ผ่านมาพนักงานส่วนใหญ่ให้ค่ากับบริษัทที่มีนโยบายอนุญาตการทำงานทางไกล (remote work) ไว้สูงมาก The Wall Street Journal เคยรายงานไว้ว่า พนักงานมองว่าการมีนโยบายยืดหยุ่นเรื่องที่ทำงานนั้นเทียบเท่ากับการให้เงินเดือนเพิ่ม 8% เลยทีเดียว ดังนั้น การปรับระบบกลับมาเข้มงวดเรื่องเข้าออฟฟิศจึงเป็นสิ่งที่สวนทางกับความรู้สึกพนักงาน

ในช่วงโควิด-19 มีซีอีโอหลายรายที่อวยยศให้การ Work from Home เป็นนวัตกรรมการทำงานที่ดี แต่ปัจจุบันนี้ ‘กลับลำ’ อย่างแรง เมื่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานไม่ได้ดีอย่างที่คิด

 

‘Mark Zuckerberg’ แห่ง Meta จากอวยสู่ไล่ออก

(Photo by David Ramos/Getty Images)

ย้อนไปในช่วงเดือนพฤษภาคม 2020 หลังล็อกดาวน์ในสหรัฐฯ ผ่านไป 2 เดือน Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta เคยกล่าวในการประชุมภายในบริษัทว่า การมีนโยบายที่ทำงานแบบยืดหยุ่นทำให้บริษัทมีโอกาสเปิดกว้างขึ้นในการจ้างงาน ‘ทาเลนต์’ เพราะทาเลนต์ที่ไม่ต้องการย้ายมาอยู่เมืองใหญ่ก็สามารถทำงานกับ Meta ได้

ในแง่ชีวิตส่วนตัวของพนักงาน เขามองว่าการทำงานทางไกลทำให้ตัวเขาเองมีพื้นที่และเวลาได้คิดมากขึ้น และได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งทำให้เขามีความสุขและทำงานได้มีประสิทธิภาพ

เมื่อปี 2020 Zuckerberg ถึงกับวาดฝันว่าพนักงานของ Facebook จะได้ทำงานทางไกลกันใน 5-10 ปีข้างหน้า เขาถึงขั้นบอกด้วยว่าในปี 2022 เขาจะเริ่มทำงานจากระยะไกลสักครึ่งปี

ตัดภาพมาในปี 2023 บริษัท Meta กลับลำอย่างแรงเรื่องของการทำงานจากที่ไหนก็ได้ สำนักข่าว Business Insider รายงานว่า Meta จะเริ่มเข้มงวดเรื่องการกลับเข้าออฟฟิศของพนักงานตั้งแต่เดือนกันยายน 2023

พนักงานบางคนอาจจะได้รับอนุมัติให้ทำงานระยะไกลได้ แต่ส่วนใหญ่จะต้องเข้าออฟฟิศเกือบทั้งสัปดาห์การทำงาน พนักงานจะเริ่มถูกมอนิเตอร์จากฝ่ายบริหารว่าเข้ามาออฟฟิศจริง และจะเริ่มมีบทลงโทษทางวินัยหรือไล่ออก หากพนักงานไม่ให้ความร่วมมือเรื่องเข้าออฟฟิศ

ภาพการสนับสนุนของ Zuckerberg ว่าการทำงานแบบ Work from Home ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพนั้นไม่มีอีกแล้ว ปัจจุบันเขากล่าวว่า จากการติดตามดาต้าด้านประสิทธิภาพการทำงานในบริษัท เขาพบว่า “คนที่ทำงานจากบ้านไม่มีประสิทธิภาพ และวิศวกรที่มาออฟฟิศนั้นทำงานสำเร็จได้มากกว่า”

 

Snap: จากใช้เวลากับครอบครัว ตอนนี้ขอใช้เวลากับพนักงาน

Even Spiegel ซีอีโอของ Snap ในงาน Snap Partner Summit 2023 (Photo by Joe Scarnici/Getty Images for Snap, Inc.)

Even Spiegel ซีอีโอของโซเชียลมีเดียใหญ่ Snap ในอดีตก็คิดคล้ายๆ กัน หลังผ่านการทำงานจากบ้านในช่วงล็อกดาวน์ไปเพียงเดือนครึ่ง เขาถึงกับบอกสื่อว่า “ผมบอกทีมผมแล้วว่า ผมจะไม่กลับไปออฟฟิศอีก”

เหตุเพราะการทำงานจากบ้านทำให้เขาได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ได้ทานอาหารเช้าและข้าวเย็นกับที่บ้าน ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

แต่ตัดภาพมาถึงเดือนพฤศจิกายน 2022 ดูเหมือน Spiegel จะใช้ชีวิตกับครอบครัวมาจนพอแล้ว

เอกสารภายในของ Snap มีคำสั่งให้พนักงานของบริษัททุกคนต้องกลับเข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งนโยบายนี้ถูกกำหนดให้ใช้กับสำนักงานของ Snap ทั้ง 30 แห่งทั่วโลก

เหตุผลเพราะตอนนี้เขามองว่าการมาทำงานร่วมกันแบบเจอหน้ากันจะทำให้ได้ใช้ศักยภาพสูงสุดในการทำงาน และความสะดวกสบายส่วนตัวที่แต่ละคนต้องสละไปนั้น เขาเชื่อว่าจะนำมาสู่การประสบความสำเร็จร่วมกันในทีม

 

แม้แต่ Zoom ยังให้เข้าออฟฟิศ

อีริค หยวน ขึ้นเป็นวิทยากรในงาน Dropbox Work In Progress Conference ปี 2019 (photo: Matt Winkelmeyer/Getty Images for Dropbox)

ในยุคการทำงานทางไกลระหว่างเกิดโควิด-19 “Zoom” คือบริษัทสุดฮอตที่พุ่งทะยานตีคู่มากับบรรดาบริษัทวัคซีน

นั่นทำให้ Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom ยากที่จะปฏิเสธไม่ให้พนักงานทำงานทางไกลได้ เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนปฏิเสธบริการของบริษัทตัวเอง

เมื่อเดือนมกราคม 2022 ในช่วงที่บริษัทอื่นเริ่มให้กลับเข้าออฟฟิศได้แล้ว แต่ Zoom ประกาศว่ามีพนักงานของบริษัทเพียง 2% ที่เลือกกลับมาออฟฟิศ ตามนโยบายของบริษัทที่ให้พนักงานมีทางเลือก สามารถ Work from Home ได้

อย่างไรก็ตาม แม้จะสร้างโปรดักส์ที่เกี่ยวกับการทำงานทางไกลโดยตรง แต่ Yuan คือหนึ่งในกลุ่มซีอีโอที่ ‘รู้สึกคลางแคลงใจ’ กับการให้พนักงาน Work from Home ได้ตลอดไป เขาเป็นหนึ่งในคนที่มองว่าหลังผ่านช่วงโรคระบาดแล้ว ออฟฟิศต่างๆ น่าจะมีการทำงานแบบไฮบริดมากกว่า

ในที่สุด เมื่อเดือนสิงหาคม 2023 บริษัท Zoom แจ้งกับพนักงานของตนเองให้กลับมาออฟฟิศ โดยใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในระยะ 50 ไมล์จากออฟฟิศ (ประมาณ 80 กิโลเมตร) จะต้องกลับมาทำงานในออฟฟิศอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์

Yuan กล่าวว่า การทำงานทางไกลทำให้พนักงานยากที่จะทำความรู้จักกันและสร้างความเชื่อใจกัน “ความเชื่อใจเป็นรากฐานของทุกอย่าง ถ้าไม่มีความเชื่อใจ เราจะทำงานได้ช้าลง” Yuan กล่าวในการประชุมภายในบริษัท

“เราไม่สามารถอภิปรายกับคนอื่นได้ดีนัก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้ Zoom ทุกคนจะพยายามทำตัวให้เป็นมิตรมากๆ” Yuan กล่าวยอมรับว่า Zoom มักจะไม่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนไอเดียอย่างตรงไปตรงมา แต่ว่าบริษัทของเขาจะพยายามพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อไป

น่าสนใจว่าการทำงานระยะไกลหรือ Work from Home ที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้พนักงานมีความสุขและมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น และอาจจะกลายเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ ปัจจุบันนี้มีแนวโน้มมีข้อเสียมากกว่าข้อดี เมื่อองค์กรพบว่าวิธีการทำงานแบบนี้ทำให้พนักงานไม่มีวัฒนธรรมองค์กร และบางทีก็ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานด้อยลงด้วย

Source

]]>
1443468
“ทรูโด” เดือดจัด! Facebook บล็อกการเผยแพร่ “ข่าว” บนแพลตฟอร์ม ท่ามกลางวิกฤตไฟป่า “แคนาดา” https://positioningmag.com/1441873 Tue, 22 Aug 2023 04:57:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1441873 “แคนาดา” เกิดวิกฤตไฟป่าขึ้น แต่ประชาชนไม่สามารถติดตามข่าวผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ได้สะดวก เหตุเพราะ Meta สั่งบล็อกการเผยแพร่ “ข่าว” ต่างๆ บนแพลตฟอร์มนี้ หลังรัฐบาลแคนาดาออกกฎหมายไล่บี้ให้บริษัท “แบ่งกำไร” กับสำนักข่าว ร้อนถึงนายกรัฐมนตรี “จัสติน ทรูโด” ออกโรงวิจารณ์ Meta “เห็นกำไรเหนือกว่าความปลอดภัยของประชาชน”

Facebook และ Instagram เริ่มบล็อกการเข้าถึงลิงก์ “ข่าว” บนแพลตฟอร์มของตนเองใน “แคนาดา” ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2023 โดยผู้ใช้แพลตฟอร์มหากเลื่อนเจอลิงก์คอนเทนต์ข่าว จะปรากฏข้อความขึ้นว่า “ผู้ใช้ในแคนาดาจะมองไม่เห็นคอนเทนต์นี้ เพื่อตอบสนองการออกกฎหมายของรัฐบาลแคนาดา คอนเทนต์ข่าวจะไม่สามารถมองเห็นได้ในแคนาดา”

Meta ทำเช่นนี้เพื่อตอบโต้รัฐบาลแคนาดาซึ่งเริ่มออก “กฎหมายข่าวออนไลน์” มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 กฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Google, Meta ต้องเจรจาสัญญา “แบ่งกำไร” ให้กับสำนักข่าวต่างๆ ที่นำข่าวมาลงเผยแพร่ในแพลตฟอร์ม เห็นได้ว่าการบล็อกการเผยแพร่ลิงก์ข่าวบน Facebook – Instagram นั้นทำไปเพื่อที่บริษัท Meta จะได้ไม่ต้องแบ่งกำไรให้กับสำนักข่าวต่างๆ ตามกฎหมายกำหนด

Facebook บล็อก ข่าว
ข้อความที่ปรากฏบน Facebook แคนาดา หากมีการโพสต์ลิงก์ข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา แคนาดาเกิดวิกฤตไฟป่ารุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี ไฟป่าแพร่กระจายเป็นวงกว้างและปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งการเข้าถึงข่าวสารได้อย่างรวดเร็วจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาชนอพยพหนีไฟป่าได้ทันเวลา แต่เมื่อ Facebook เลือกบล็อกข่าวบนแพลตฟอร์มไปก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้อพยพหนีไฟป่าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเข้าถึงข่าวสารได้ช้าลง

กลุ่มผู้อพยพในเขต Northwest Territories ซึ่งเสี่ยงต่อภัยไฟป่าที่กำลังเข้ามาใกล้ตัวเมือง Yellowknife ในระยะเพียง 15 กิโลเมตร บอกว่า การบล็อกข่าวบน Facebook ทำให้พวกเขาแชร์ข้อมูลที่สำคัญต่อการปกป้องชีวิตได้ช้าลง พวกเขาไม่สามารถแชร์วิดีโอการแถลงข่าวจากทางราชการหรือข่าวแจ้งเตือนการอพยพลงบน Facebook เพื่อให้คนในชุมชนของตนทราบได้เลย

ก่อนหน้านี้เคยมีข้อมูลว่า 77% ของชาวแคนาดามีการใช้งาน Facebook และ 1 ใน 4 ของชาวแคนาดาใช้ Facebook เพื่อติดตามข่าวสารต่างๆ แพลตฟอร์มนี้จึงถือเป็นช่องทางสำคัญในการรับทราบข้อมูล

เหตุนี้ “จัสติน ทรูโด” นายกรัฐมนตรีแคนาดา จึงเดือดจัดจากการตัดสินใจของ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook

ในช่วงการแถลงข่าวผ่านทางโทรทัศน์เมื่อวานนี้ (21 สิงหาคม 2023) ทรูโดจึงวิจารณ์ Meta ว่าตัดสินใจแบบที่ “เหลือจะเชื่อ” และกล่าวหาว่า Facebook “เห็นกำไรเหนือกว่าความปลอดภัยของประชาชน”

ขณะที่ “พาสคาล เซนต์อองจ์” รัฐมนตรีกระทรวงมรดกแห่งแคนาดา ระบุในโพสต์บนโซเชียลมีเดียของเธอว่า บริษัทนี้กำลังบล็อก “ข้อมูลที่สำคัญยิ่ง” ต่อผู้ใช้งาน และยังบอกด้วยว่า Meta เริ่มบล็อกข่าวทันทีทั้งที่กฎหมาย C-18 หรือกฎหมายข่าวออนไลน์ฉบับที่ว่านี้ ยังไม่ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ด้วยซ้ำ เธอจึงเรียกการกระทำของ Meta ว่า “ไร้ความรับผิดชอบ”

ฟาก Meta ออกมาตอบโต้ว่า กฎหมายฉบับนี้ “ตราขึ้นโดยมีปัญหาตั้งแต่เรื่องพื้นฐานเพราะละเลยความเป็นจริงในวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มของเรา”

ในถ้อยแถลงของบริษัทที่ส่งให้สำนักข่าว BBC นั้น Meta ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้ ‘บังคับ’ ให้บริษัท “ต้องหยุดการเข้าถึงคอนเทนต์ข่าว เพื่อปฏิบัติตามระเบียบของกฎหมาย”

Meta ยังเสริมด้วยว่า บริษัทมีการเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Safety Check” บนแพลตฟอร์มแล้ว เพื่อให้ผู้อพยพสามารถระบุบนโซเชียลมีเดียได้ว่าตัวเองปลอดภัย และเป็นช่องทางเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานราชการได้โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีคนเข้าไปใช้ฟีเจอร์นี้แล้วกว่า 300,000 ราย

ความเห็นของชาวแคนาดาต่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แยกเป็นหลายฝ่าย บางกลุ่มมองว่าเป็นความผิดของรัฐบาลที่ทำให้เกิดการบล็อกข่าวบน Facebook และมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในเวลาต่อมา แต่บางกลุ่มก็มองว่าเป็นความรับผิดชอบของ Meta เองที่เลือกผลกำไรบริษัทมากกว่าจะทำตามกฎหมาย

Source

]]>
1441873