meta – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 28 Oct 2024 09:41:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Meta จับมือ Reuters ในการใช้เนื้อหาข่าว ตอบแชทบอท AI ของผู้ใช้แบบเรียลไทม์ https://positioningmag.com/1495828 Mon, 28 Oct 2024 07:15:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495828 โฆษกของ Reuters (รอยเตอร์) กล่าวในแถลงการณ์ว่า Reuters ได้ร่วมมือและอนุญาตให้ Meta (เมตา) นำเนื้อหาข่าวไปใช้ในตอบคําถามของผู้ใช้แบบเรียลไทม์ เกี่ยวกับข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน ผ่านแชทบอท AI อย่าง Meta AI (เมตา เอไอ) โดยการลิงก์ไปยังเนื้อหาของรอยเตอร์บนเว็บไซต์

โดย Meta AI เป็นระบบที่ช่วยรวบรวมข้อมูลเชิงซ้อนจำนวนมาก เพื่อมอบข้อมูลเชิงลึกและคำแนะให้แก่ผู้ใช้บริการโดยเฉพาะใน Facebook, Whatsapp และ Instagram 

ซึ่งในระยะหลายปีให้หลังบริษัทโซเชียลมีเดียต่างก็พบเจอกับปัญหาในการใช้งาน โดยเฉพาะกับ Facebook ที่ Meta กำลังปรับลดเนื้อหาข่าวในบริการของตนลง หลังได้รับคำวิจารณ์จากหน่วยงานกำกับดูแลและผู้จัดพิมพ์ เกี่ยวกับข้อมูลที่ผิดพลาดและความขัดแย้งเกี่ยวกับการแบ่งรายได้

การจับมือของทั้ง Meta และ Reuters ถือเป็นการร่วมมือทางธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทสื่อในรอบหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ Reuters ได้ร่วมมือตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียกับ Meta ในปี 2020

สำนักข่าว Reuters จะได้รับค่าตอบแทนสำหรับการเข้าถึงข่าวสารภายใต้ข้อตกลงที่มีระยะเวลานานหลายปี ขณะที่โฆษกของ Meta กล่าวในแถลงการณ์ว่า ความร่วมมือกับสำนักข่าว Reuters จะช่วยให้ Meta AI สามารถตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับข่าวสารด้วยบทสรุปและลิงก์ไปยังเนื้อหาของสำนักข่าว Reuters ได้

นอกจากนั้นยังมีบริษัทอื่นๆ รวมถึง OpenAI ผู้ผลิต ChatGPT และ Perplexity สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jeff Bezos ก็ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีในการร่วมมือที่คล้ายกันกับองค์กรข่าวเช่นกัน

ทั้งนี้ ข้อกําหนดของข้อตกลงรวมถึงรายละเอียดทางการเงินในข้อตกลงความร่วมมือนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยแต่อย่างใด

ที่มา : Reuters 

]]>
1495828
เลย์ออฟอีก!  “Meta” เลิกจ้าง-โยกย้ายพนักงาน “WhatsApp” – “Instagram” เพื่อลดต้นทุน https://positioningmag.com/1495167 Sun, 20 Oct 2024 05:05:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495167 Meta (เมตา) บริษัทโซเชียลมีเดียเจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook เลิกจ้าง โยกย้ายสถานที่ทำงาน โยกย้ายตำแหน่งงาน ในกลุ่มพนักงานบริษัท Instagram, WhatsApp และ Reality Labs ที่ Meta เป็นเจ้าของ โดยยังไม่ระบุจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบแน่ชัด

โฆษกของ Meta ระบุในแถลงการณ์ว่า บริษัทฯ ทําการเปลี่ยนแปลงองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระยะยาวและกลยุทธ์ด้านสถานที่ที่ได้วางไว้ โดยจะมีการย้ายทีมงานบางทีมไปยังสถานที่อื่น และมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานของพนักงานบางคนไปทำหน้าที่ส่วนอื่น รวมถึงการช่วยเหลือและมองหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง

ตามรายงานข่าวระบุว่า ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมจาก Meta ว่า จำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในครั้งนี้มีจํานวนเท่าใด และ Meta ก็ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน 

โดยก่อนหน้านั้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 Meta ได้ลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 21,000 คน เพื่อลดต้นทุนของบริษัทฯ ไปรอบหนึ่งแล้วตามที่ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ซีอีโอบริษัทฯ เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ “ปีแห่งประสิทธิภาพ”

ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ Meta สามารถสร้างรายได้ได้ดีกว่าความคาดหวังของตลาดโดยหุ้นของ บริษัทฯ พุ่งขึ้นมากกว่า 60% และมีการคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 3 รายได้ของบริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตขึ้น บ่งชี้ว่าการใช้จ่ายด้านการโฆษณาแบบดิจิทัลที่แข็งแกร่งบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้

นอกจากนั้น Financial Times ยังรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Meta ได้ปลดพนักงานจำนวน 24 คนในลอสแองเจลิสออก เนื่องจากพบว่าพนักงานกลุ่มดังกล่าวมีการใช้เครดิตอาหารรายวันมูลค่า 25 ดอลลาร์ (ประมาณ 830 บาท) เพื่อซื้อของใช้ในครัวเรือน เช่น แผ่นแปะสิว แก้วไวน์ และน้ํายาซักผ้า แทนอาหาร ซึ่งการเลิกจ้างส่วนนี้ เป็นการเลิกจ้างที่แยกจากการปรับโครงสร้างทีมและทาง Meta ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปลดพนักงานกลุ่มดังกล่าว

ที่มา : Reuters 

 

]]>
1495167
จากศัตรูสู่มิตร! Meta พูดคุยกับ Apple ถึงความเป็นไปได้ในการเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ https://positioningmag.com/1479480 Tue, 25 Jun 2024 05:05:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1479480 ยักษ์ใหญ่ Social Network อย่าง Meta ได้มีการพูดคุยกับ Apple เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายเคยมีความขัดแย้งระหว่างกันมาแล้ว อย่างไรก็ดีในฝั่งของผู้ผลิต iPhone มีึความกังวลในเรื่องของความเป็นส่วนตัวของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ของ Meta

Wall Street Journal รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Meta เจ้าของ Social Network อย่าง Facebook และ Instagram ได้มีการพูดคุยกับ Apple เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเข้าผนวกกับระบบ Apple Intelligence

Meta ที่กำลังพัฒนาโมเดล AI อย่าง Llama ซึ่งแข่งขันกับคู่แข่งจากบริษัทเทคโนโลยีหลายราย ได้พยายามที่จะใช้ความได้เปรียบของจำนวนผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ จึงทำให้มีการพูดคุยในเรื่องดังกล่าวขึ้น

ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ Apple ได้เปิดตัว Apple Intelligence ขึ้น โดยมีการผนวก AI จาก OpenAI ซึ่งถือว่าเป็น AI ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในเวลานี้ ซึ่งดีลดังกล่าวนั้น ผู้ผลิต iPhone ไม่ได้มีการจ่ายเงินให้กับเจ้าของ ChatGPT แต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้สำหรับ Meta และ Apple เองเคยมีกรณีกระทบกระทั่งระหว่างกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของความเป็นส่วนตัว และผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวทำให้เจ้าของ Facebook และ Instagram นั้นมีรายได้ลดลงจากเรื่องดังกล่าวมาแล้ว

กรณีการกระทบกระทั่งกันนั้นทำให้หัวเรือใหญ่อย่าง Mark Zuckerberg นั้นเคยออกมาวิจารณ์การกระทำของ Apple หลายครั้ง หรือแม้แต่ Tim Cook เองก็ได้กล่าวย้ำถึงความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทมาโดยตลอด และมีการวิจารณ์ในเรื่องของการเก็บข้อมูลของยักษ์ใหญ่เจ้าของเครือข่ายสังคมด้วย (แม้ไม่ได้พาดพิงตรงๆ ก็ตาม)

โมเดลธุรกิจระหว่าง Apple กับ OpenAI ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาผนวกใน Apple Intelligence นั้นทำให้ Meta เองมองเห็นถึงโอกาส จึงทำให้เกิดการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่ายในเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ดี สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานล่าสุดว่า Apple ได้ยกเลิกการพูดคุยกับทาง Meta โดยยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต iPhone นั้นมีความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของโมเดล AI ดังกล่าว และชี้ว่าการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่ายนั้นเป็นเพียงเริ่มต้น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม

ที่มา – Bloomberg, Wall Street Journal

]]>
1479480
Meta พิจารณาซื้อข้อมูลจากสำนักข่าวเพื่อฝึกฝน AI ชี้ข้อมูลมีคุณภาพ ส่งผลให้ลูกค้าใช้แชตบอทบริษัทมากขึ้น https://positioningmag.com/1474700 Thu, 23 May 2024 09:10:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1474700 เจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram อย่าง Meta ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวว่าบริษัทกำลังพิจารณาข้อมูลในการซื้อข้อมูลจากสำนักข่าว เพื่อนำมาฝึกฝนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันคู่แข่งหลายรายก็เริ่มที่จะปิดดีลกับสำนักข่าวบ้างแล้ว

Business Insider รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Meta เจ้าของบริการเครือข่ายทางสังคม เช่น Facebook หรือ Instagram ฯลฯ กำลังมีการพิจารณาในบริษัทเรื่องของการฝึกฝนปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยการซื้อข้อมูลจากสำนักข่าว

แหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้กล่าวว่าผู้บริหารแผนกที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง AI ได้เริ่มพูดคุยในการเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ซึ่งถ้าหากฝึกฝนโดยข้อมูลที่มีคุณภาพแล้วจะช่วยทำให้ AI เก่งขึ้น ซึ่งหนึ่งในข้อมูลที่มีคุณภาพก็คือข่าวของสำนักข่าวต่างๆ นั่นเอง

บริษัทเจ้าของ Facebook และ Instagram ต้องการที่จะเข้าถึงเนื้อหาข่าวและภาพข่าว ไปจนถึงวิดีโอข่าว ของสำนักข่าว เพื่อที่จะนำมาฝึกฝน AI

Meta หวังว่าเมื่อ AI เก่งขึ้นนั้นจะทำให้มีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการแชตบอทของบริษัท และแหล่งข่าวรายหนึ่งชี้ว่าบริษัทอาจต้องจ่ายเงินให้กับสำนักข่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ก่อนหน้านี้สำนักข่าวหลายแห่งได้ฟ้องบริษัทเทคโนโลยี เช่น กรณี Axel Springer ได้ฟ้อง OpenAI ที่นำข่าวไปใช้ฝึกฝน AI โดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนที่จะมีข้อตกลงกันได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจเนื่องจากสำนักข่าวหลายแห่งนั้นไม่ได้รับผลตอบแทนที่ควรจะได้ หรือการนำข่าวไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ได้เปลี่ยนทิศทางการดำเนินธุรกิจของ Meta ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชิปเร่งประมวลผล AI เพื่อที่จะลดการพึ่งพาจากผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia หรือแม้แต่โมเดล AI ตัวใหม่ที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ซึ่งแตกต่างกับในอดีตที่บริษัทได้เน้นไปยังโลก Metaverse เป็นหลัก

นอกจากนี้แรงกดดันจากคู่แข่งไม่ว่าจะเป็น Google หรือ OpenAI ที่เป็นเจ้าของ ChatGPT เริ่มปิดดีลกับสำนักข่าวเพิ่มมากขึ้นก็เป็นแรงกดดันให้ Meta ต้องรีบพิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน

]]>
1474700
‘Meta’ กำไรพุ่งเท่าตัวแต่มูลค่าดิ่ง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังนักลงทุนกังวลแผนการลงทุนเกี่ยวกับ AI และ Metaverse https://positioningmag.com/1471099 Thu, 25 Apr 2024 05:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471099 แม้ว่าผลประกอบการของ Meta ในช่วง Q1/2024 จะออกมาค่อนข้างดี แต่มูลค่าบริษัทกลับลดฮวบถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากที่นักลงทุนกังวลถึงแผนการลงทุนของบริษัทที่ยังคงมีเรื่องของ Metaverse ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนกที่ขาดทุนหนักที่สุด อีกทั้งยังมีแผนลงทุนใน AI ระยะยาว ซึ่งยังมองไม่เห็นโอกาสทำกำไร

Meta รายงานผลประกอบการ Q1/2024 โดยมีรายได้รวม 36,455 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +27% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 12,369 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +117% ที่น่าสนใจคือ รายได้จาก โฆษณา ที่เติบโตสูงถึง 27% ซึ่งรายได้จากโฆษณาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 97.8% ตามด้วยธุรกิจด้าน AR VR และ Metaverse 1.2% และอื่น ๆ 1.0%

ทั้งนี้ การเติบโตของโฆษณานั้นส่วนหนึ่งมาจากที่ Threads เริ่มขายโฆษณาได้ รวมไปถึง Reels ฟีเจอร์วิดีโอสั้นที่สามารถตรึงให้ผู้ใช้อยู่บนแพลตฟอร์มได้

ในส่วนของจำนวนผู้ใช้งานประจำทุกวันรวมทุกแพลตฟอร์ม (Family Daily Active People – DAP) เพิ่มขึ้น +7% เป็น 3.24 พันล้านคน นอกจากนี้ จำนวนพนักงานทั่วโลกลดลงเหลือ 69,329 คน จากในปี 2022 ที่มีจำนวนพนักงานสูงสุดที่กว่า 87,000 คน

แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรแต่หุ้นของ Meta ร่วงลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของ Metaverse ที่ขาดทุนอย่างหนักอีกครั้งถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้แล้วก็ตาม รวมแล้วตั้งแต่ปลายปี 2020 แผนกนี้ขาดทุนสะสมไปกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์

อีกเรื่องหนึ่งเรื่องก็คือ AI โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา ต้องการจะลงทุนระยะยาวกับ AI เพื่อสร้างรายได้ใหม่นอกจากรายได้จากโฆษณา ดังนั้น บริษัทต้องจัดสรรทรัพยากรใหม่เพื่อมุ่งเน้นไปที่การลงทุนด้าน AI ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านทุนของปีนี้จะอยู่ที่ 35,000 – 40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม

ไม่ใช่แค่การลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่การผลิตภัณฑ์ AI จนสามารถสร้างผลกำไรด้วยตัวมันเองของ Meta อาจต้องใช้เวลานานหลายปี และเขาก็ไม่สามารถระบุกรอบระยะเวลาในการทำกำไรจาก AI อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามั่นใจในศักยภาพของบริษัทในด้านนี้

Source

]]>
1471099
Meta เปิดตัวชิปเร่งประมวลผล AI รุ่นใหม่ ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร หวังลดการพึ่งพาจาก Nvidia https://positioningmag.com/1469864 Thu, 11 Apr 2024 03:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469864 เมต้า (Meta) เจ้าของ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram ได้เปิดตัวชิปเร่งการประมวลผลปัญญหาประดิษฐ์รุ่นใหม่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตร ซึ่งมีความสามารถมากกว่ารุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้บริษัทยังต้องการลดการพึ่งพาชิปจาก Nvidia ลง

Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Social Network ได้เปิดตัวชิปเร่งการประมวลผลปัญญหาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ ซึ่งความสามารถของชิปรุ่นใหม่นี้ประมวลผลด้าน AI ได้เร็วมากขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับชิปในรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 5 นาโนเมตรซึ่งทำให้ประหยัดพลังงานลดลง

สำหรับงานที่ใช้เทคโนโลยี AI ของ Meta จนต้องมีการผลิตชิปออกมาเพื่อเร่งการประมวลผลนั้น เช่น เรื่องการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในด้านโฆษณา เพื่อหากลุ่มลูกค้า หรือแม้แต่การใช้ประมวลผลด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งชิปดังกล่าวจะใช้ในศูนย์ข้อมูลของบริษัท

Meta ยังชี้ว่าการผลิตชิปรุ่นใหม่นี้เป็นส่วนสำคัญของแผนระยะยาวในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานด้าน AI ของบริษัท

ไม่เพียงเท่านี้ ชิปดังกล่าวของ Meta ยังใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 นาโนเมตรจาก TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากไต้หวัน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ชิปของบริษัทนั้นประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ Mark Zuckerberg ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Meta เคยกล่าวว่าในปี 2024 บริษัทจะสั่งชิปเร่งการประมวลผล AI ในรุ่น H100 จาก Nvidia เพิ่มเติมอีก 350,000 ชุด ซึ่งจะทำให้บริษัทมีชิปเร่งการประมวลผลมากถึง 600,000 ชุด ซึ่งถือว่าใช้เม็ดเงินระดับมหาศาลในการซื้อชิปรุ่นดังกล่าว

ในช่วงที่ผ่านมาเทรนด์การใช้ AI ได้ทำให้ชิปของ Nvidia ถูกบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาหรือแม้แต่คู่แข่งจากจีน ได้ทำการกว้านซื้อเพื่อที่จะนำไปประมวลผลด้าน AI ซึ่งส่งผลทำให้บริษัทผลิตชิปรายดังกล่าวกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นแตะหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐ

นักวิเคราะห์บางรายคาดยังว่า Nvidia นั้นอาจมีรายได้จากการขายชิปเร่งประมวลผล AI ได้มากถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2027 และคู่แข่งรายอื่นไม่มีใครสามารถเข้ามาเทียบเคียงได้

อย่างไรก็ดีเนื่องด้วยความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Microsoft หรือ Amazon หรือไม่เว้นแต่ Meta ต่างต้องการที่จะลดการพึ่งพาชิปจาก Nvidia ให้ได้มากที่สุด และชิปที่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้จ้างผลิตยังสามารถกำหนดสเปกตามความต้องการได้อีกด้วย

]]>
1469864
รู้หรือไม่ Instagram สร้างรายได้ให้ Meta มากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด แถมยังมากกว่า YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ https://positioningmag.com/1469445 Tue, 09 Apr 2024 03:50:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469445 ปกติแล้ว Meta ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มแชร์รูปภาพอย่าง Instagram จะไม่มีการเปิดเผยรายได้ของแพลตฟอร์มดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ล่าสุดในการขึ้นศาลของบริษัทนั้นบริษัทได้กล่าวถึงรายได้ในส่วนดังกล่าวในปี 2021 นั้นบริษัททำรายได้มากกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบแล้วมากกว่า YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ

Business Insider ได้รายงานข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลที่ Meta ได้ยื่นข้อมูลกับศาลในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่ารายได้ของ Instagram ในปี 2021 ที่ผ่านมานั้นทำรายได้ให้กับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่นั้นมากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้รวมบริษัท ซึ่งถือว่าแพลตฟอร์มแชร์รูปดังกล่าวถือเป็นเครื่องจักรผลิตเงินที่สำคัญของบริษัท

Meta ได้ยื่นข้อมูลกับศาลของสหรัฐอเมริกาในคดีความกับ FTC ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล รายได้ในปี 2018 อยู่ที่ 11,300 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้ในปี 2019 อยู่ที่ 17,900 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้ในปี 2020 อยู่ที่ 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2021 อยู่ที่ 32,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และครึ่งปีแรกของปี 2022 อยู่ที่ 16,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

หากนำรายได้ของปี 2021 ของ Instagram ที่คิดเป็นเงินไทยระดับ 1.1 ล้านล้านบาท มาเทียบรายได้รวมทั้งหมดของ Meta นั้นรายได้จะคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 27% เลยทีเดียว และยังมีโอกาสที่สัดส่วนจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำในอนาคต

ปกติแล้วบริษัทแม่ของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram จะไม่มีการรายงานรายได้รวมของแต่ละหน่วยธุรกิจแต่อย่างใดในรายงานผลประกอบการแต่ละไตรมาส แต่บริษัทจะรายงานแค่รายได้จากส่วนของแอปพลิเคชันซึ่งรวมธุรกิจลูกทั้งหมด และส่วนรายได้ของ Reality Labs ซึ่งเป็นรายได้จากกลุ่ม Metaverse หรือ VR รวมกัน

และถ้าหากนำรายได้ของ Instagram ในช่วงเวลาปี 2021 นักวิเคราะห์ยังคาดว่าจะมีมากกว่ารายได้ของ YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ โดยนักวิเคราะห์จาก MoffettNathanson คาดว่ารายได้ของแพลตฟอร์มวิดีโอดังกล่าวจะมีรายได้ 28,800 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 1 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ดี Alphabet บริษัทแม่ของ YouTube และ Google เองก็ไม่ได้รายงานรายได้ของแต่ละธุรกิจ ซึ่งรวมถึง YouTube ด้วยเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมา Instagram ได้ปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินการไม่น้อย เช่น เน้นการแชร์วิดีโอสั้นเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะต่อสู้กับคู่แข่งอย่าง TikTok หรือแม้แต่การเปิดตัว Threads ซึ่งเป็นบริการที่คล้ายคลึงกับ Twitter หรือ X ในปัจจุบัน รวมถึงการหาช่องทางรายได้ใหม่ๆ จากผู้ลงโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น

การยื่นข้อมูลกับศาลของสหรัฐอเมริกาของ Meta ครั้งนี้ทำให้เราได้ทราบถึงความคุ้มค่าในการซื้อกิจการ โดย Facebook (ก่อนที่บริษัทจะเปลี่ยนชื่อ) ได้ซื้อกิจการของ Instagram ในปี 2012 ด้วยมูลค่าเพียงแค่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่บริษัทจะสร้างรายได้อย่างงดงามและเป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้กับ Meta ในทุกวันนี้

นอกจากนี้ Business Insider ได้เทียบว่าถ้าหากนำรายได้มาคำนวณสัดส่วนเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของ Meta ในปัจจุบันนั้น Instagram จะมีมูลค่ากิจการอย่างน้อย 440,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 16 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นดีลที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มในระยะเวลาเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น

]]>
1469445
หลอกกันไม่ได้แล้วนะ! “Meta” จะเริ่มติดป้ายเตือน “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI” ภายในพฤษภาคมนี้ https://positioningmag.com/1469438 Mon, 08 Apr 2024 11:47:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469438 “Meta” อัปเดตนโยบายคอนเทนต์รอบใหม่ โดยจะเริ่มบังคับให้ติดป้ายเตือนว่าเป็น “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ บังคับใช้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในเครือ ได้แก่ Facebook, Instagram และ Threads

สืบเนื่องจากข้อแนะนำจาก “Oversight Board” หรือคณะกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบายด้านเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของ Meta แจ้งว่า โซเชียลมีเดียของบริษัทมีนโยบายเกี่ยวกับคอนแทนต์ AI ที่ ‘แคบเกินไป’ ทำให้ Meta จะเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้

โดยคอนเทนต์ที่เป็นภาพ เสียง และวิดีโอทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือ AI จะต้องมีป้ายเตือนกำกับไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเองโดยสมัครใจของผู้โพสต์ หรือเมื่อเครื่องมือ AI ของ Meta เองสามารถตรวจจับได้ว่า คอนเทนต์นั้นๆ ถูกสร้างขึ้นโดย AI อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ข้อมูลรายละเอียดว่าจะมีการตรวจจับด้วยระบบไหน

ก่อนหน้านี้ นโยบายเกี่ยวกับคอนเทนต์ AI ของ Meta มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือ ห้ามลงโพสต์วิดีโอที่ปรากฏภาพเคลื่อนไหวของบุคคลที่พูดอะไรออกมาโดยที่เขาหรือเธอไม่ได้พูดจริงๆ แต่เป็นการสร้างขึ้นของ AI (Deepfake) นั่นทำให้นโยบายนี้ไม่ครอบคลุมมากพอไปถึงคอนเทนต์สร้างโดย AI อื่นๆ ที่กำลังท่วมท้นอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตขณะนี้

“ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีการพัฒนาเครื่องมือ AI ที่สร้างคอนเทนต์รูปภาพหรือเสียงได้เสมือนจริงมากขึ้น และเทคโนโลยีพวกนี้ก็กำลังพัฒนายิ่งขึ้น” Meta ระบุในบล็อกโพสต์แถลงเกี่ยวกับนโยบายนี้ “ตามที่ Oversight Board แจ้งมา การติดป้ายเตือนว่าเป็นคอนเทนต์ที่ AI สร้างขึ้นนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านโยบายห้ามโพสต์วิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลหนึ่งกำลังพูดหรือทำอะไรที่เขาหรือเธอไม่ได้ทำจริง”

Meta ย้ำว่าสำหรับคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI แต่สื่อสารสิ่งที่ผิดกฎร้ายแรงของแพลตฟอร์ม เช่น การรังแก ชักนำการเลือกตั้ง การคุกคามทางเพศ เหล่านี้จะถูกแบนออกจากระบบตามปกติแม้จะเป็นภาพหรือเสียงที่ทำขึ้นจาก AI ก็ตาม

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Meta หากสามารถทำได้จริงน่าจะช่วยให้ชุมชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียใช้วิจารณญาณได้ดีขึ้นมาก Positioning พบว่าโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบันมีภาพที่ผลิตจากเครื่องมือ AI จำนวนมากที่เหมือนจริงอย่างมาก และถูกผู้โพสต์พิมพ์ข้อความประกอบเพื่อชี้นำว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ข่าวปลอม (Fake News) ความเข้าใจที่ผิดในสังคม หรือการหลอกลวงต่อไปในอนาคตได้

Source

]]>
1469438
เอไอก็เอาไม่อยู่! ‘Meta’ รับ ยังดีไม่พอจัดการ ‘มิจฉาชีพ’ วอนผู้ใช้ช่วย ‘รีพอร์ต’ บัญชีสแกมอีกแรง https://positioningmag.com/1449412 Thu, 26 Oct 2023 11:51:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449412 หลังจากคนไทยคุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ต การช้อปออนไลน์ก็กลายเป็นอีกสิ่งที่ทำติดอันดับโลก รวมถึงการใช้ QR Payment ไทยถือเป็น Top5 ของโลกเลยทีเดียว และเมื่อคนไทยคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีก็คือ มิจฉาชีพ

อาชญากรรมออนไลน์ไทยเฉลี่ย 2.5 แสนคดี/ปี

พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ที่เปิดให้มีการแจ้งอาชญากรรมทางออนไลน์พบว่า มีการแจ้งรวมกว่า 3 แสนคดี หรือเฉลี่ยกว่า 700 คดี/วัน

รูปแบบอาชญากรรมออนไลน์ สามารถแยกได้เป็น 14 ประเภท แต่ที่มีจำนวนเยอะสุดอันดับ 1 คือ การซื้อขายออนไลน์ เช่น ได้ของไม่ตรงปก คิดเป็น 40% หรือกว่า 130,000 คดี ตามด้วย

  • หลอกทำภารกิจหรือเล่นเกม
  • หลอกทำงานออนไลน์
  • แก๊งคอลเซ็นเตอร์
  • หลอกลงทุน

“ในแต่ละปีความเสียหายจากมิจฉาชีพในไทยมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งมิจฉาชีพก็เอาเงินไปลงทุนเทคโนโลยี และคนเพิ่มเติม ทำให้เครือข่ายมีความซับซ้อนและกระจายในหลายประเทศ ทำให้จับได้ยากขึ้น มีกลโกงรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น โอกาสหลงเชื่อก็เยอะขึ้น” พ.ต.อ.เจษฎา กล่าว

พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จากกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

98% ของบัญชีสแกมที่เจอถูกปิดโดยเอไอ

เฮเซเลีย มาร์กาเรต้า ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า การป้องกันไม่ให้โฆษณาบนแพลตฟอร์มถูกใช้งานเพื่อการหลอกลวงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแพลตฟอร์มก็ได้ กำหนดมาตรฐานการโฆษณาที่ได้รับอนุญาต และหากตรวจจับโฆษณาที่ละเมิดมาตรฐานการโฆษณา แพลตฟอร์มก็จะดำเนินการ ไม่อนุมัติ โฆษณาดังกล่าวในทันที

โดย Meta ได้ใช้ เอไอ เพื่อตรวจสอบเนื้อหาและบัญชีที่ละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์ม โดยไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 Meta ได้เดินหน้าลบบัญชีปลอมออกกว่า 676 ล้านบัญชีทั่วโลก โดย 98.8% ถูกตรวจพบและลบออกไปโดยเอไอก่อนที่จะมีการรายงานจากผู้ใช้

นอกจากนี้ Meta ก็มี คน ที่คอยตรวจสอบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน อย่างไรก็ตาม ทาง Meta ไม่ได้เปิดเผยว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลส่วนนี้มากน้อยเพียงใด

เฮเซเลีย มาร์กาเรต้า ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะด้านนโยบายเศรษฐกิจจาก Meta ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ซ้ายของภาพ) อิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta (ขวาของภาพ)

ยอมรับว่ายังมีช่องโหว่เพราะมิจฉาชีพเก่งขึ้น

เฮเซเลีย ยอมรับว่า แม้บัญชีหรือโพสต์สแกมจะถูกเอไอสกัดกั้นนับล้านบัญชีแต่ก็ยังมีบางส่วนที่หลุดรอดมาได้ ซึ่งแพลตฟอร์มไม่ได้พอใจ และจะพยายามหาทางสกัดกั้นเพิ่มเติม รวมถึงอยากขอให้ ผู้ใช้งานช่วยกันรีพอร์ตบัญชีสแกม ซึ่งเพียงแค่คนเดียวรีพอร์ตทาง Meta ก็เทคแอคชั่นทันที แต่ไม่สามารถระบุระยะเวลาในการดำเนินการได้ เพราะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบเบื้องต้นจะใช้เอไอ และมีมนุษย์คอยตรวจสอบอีกครั้ง

“เราพยายามเต็มที่ และต้องพยายามเพิ่ม ระบบก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป และต้องยอมรับว่ามิจฉาชีพพยายามหาช่องโหว่เพื่อให้หลุดรอดการตรวจสอบ เช่น ใช้สัญลักษณ์แปลก ๆ แทนพยัญชนะ ซึ่งเราก็พยายามสอนเอไอให้ฉลาดขึ้นเพื่อตรวจจับให้ได้ และใช้มนุษย์คอยตรวจซ้ำ”

ปัจจุบัน Meta มีผู้ใช้งานกว่า 3.88 พันล้านคน/เดือน มีมากกว่า 10 ล้านธุรกิจทั่วโลกใช้โฆษณาบน Meta และมากกว่า 200 ล้านธุรกิจ ใช้เทคโนโลยีของ Meta ในการทำธุรกิจ

พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อสกัดกั้น

อิง ศิริกุลบดี ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำ Facebook ประเทศไทยจาก Meta กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Meta ได้ร่วมทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระทรวงดีอีเอส สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเมื่อทางหน่วยงานแจ้งข้อมูลเข้ามาก็พร้อมดำเนินการปิดกั้น

นอกจากนี้ Meta ยังสร้างการตระหนักรู้และแคมเปญการให้ความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้เท่าทันกลลวงและรู้วิธีการรายงานเนื้อหาเข้ามาได้ อาทิ แคมเปญ #StayingSafeOnline ภายใต้โครงการ We Think Digital Thailand โครงการหลักในการเสริมทักษะดิจิทัลของ Meta โดยแคมเปญดังกล่าวได้เข้าถึงชาวไทยเป็นจำนวนกว่า 30 ล้านคนแล้วในปัจจุบัน ตั้งแต่มีการเปิดตัวในปี 2564

ปัจจุบัน ตำรวจไซเบอร์ได้เปิดสายด่วน 1441 เพื่อขอความช่วยเหลือหรือปรึกษาปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงแจ้งเบาะแสได้ทันที

]]>
1449412
งานเข้า ‘Meta’ หลังทนาย 42 คนยื่นฟ้องข้อหาออกแบบอัลกอริทึมที่ทำให้ “เยาวชนเสพติด” การใช้งาน https://positioningmag.com/1449277 Wed, 25 Oct 2023 11:37:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449277 แม้จะมีข้อมูลว่า Facebook อาจไม่ได้เป็นที่นิยมของ วัยรุ่น แต่ไม่ใช่กับ Instagram เพราะถือว่ายังคงเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของวัยรุ่น อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดนี้เองทำให้กลุ่มทนาย 42 คน ร่วมกันฟ้องร้อง Meta ว่าทำให้ วัยรุ่นเสพติดการใช้ Facebook และ IG

ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มของ Meta อยู่ที่ 3.88 พันล้านคน/เดือน หรือคิดเป็นประชากร ครึ่งโลก ที่ใช้งาน แน่นอนว่ากลุ่ม วัยรุ่น ก็ต้องรวมอยู่ในจำนวนดังกล่าวแน่นอน ส่งผลให้ กลุ่มทนายทั่วไป 42 คน ฟ้อง Meta โดยอ้างว่า ฟีเจอร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Facebook และ Instagram นั้น ดึงดูดและมุ่งเป้าไปที่เด็กและวัยรุ่น

ส่งผลให้ขณะนี้ Meta กำลังเผชิญกับการฟ้องร้องหลายคดีเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวในหลายเขต โดยอัยการสูงสุดจาก 33 รัฐ ได้ยื่นฟ้อง Meta ซึ่งคดีดังกล่าวถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐที่มีลำดับความสำคัญในการปกป้องเด็กและวัยรุ่นจากอันตรายทางออนไลน์

โดยกลุ่มทนายระบุว่า Meta ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ Facebook และ Instagram เพื่อให้วัยรุ่นใช้งานได้นานขึ้นและกลับมาซ้ำหลายครั้ง ผ่านการออกแบบอัลกอริทึม การแจ้งเตือนมากมาย ส่งผลให้เกิดการเลื่อนฟีดแพลตฟอร์มอย่างไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ กลุ่มทนายยังรวมฟีเจอร์ที่มองว่า ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของวัยรุ่นผ่านการเปรียบเทียบทางสังคมหรือส่งเสริมความผิดปกติของร่างกาย เช่น “การถูกใจ” ​​หรือฟิลเตอร์รูปภาพ

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มพันธมิตรอัยการสูงสุดของรัฐได้ร่วมมือกันเพื่อติดตาม Meta แต่ในปี 2020 มีรัฐจำนวน 48 รัฐได้ฟ้องร้องบริษัทในเรื่อง การต่อต้านการผูกขาด นอกจากนี้ รัฐบาลกลางยังกล่าวหาว่า Meta ละเมิดพระราชบัญญัติคุ้มครองความเป็นส่วนตัวออนไลน์ของเด็ก หรือ COPPA โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง โดยรัฐต่าง ๆ กำลังหาทางยุติสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นอันตรายของ Meta เช่นเดียวกับบทลงโทษและการชดใช้ค่าเสียหาย

“Meta ตระหนักดีถึงผลกระทบด้านลบที่การออกแบบอาจมีต่อผู้ใช้รุ่นเยาว์” ทนายความ กล่าว

ที่ผ่านมา เคยมีการรั่วไหลของเอกสารภายในของบริษัท ที่เปิดเผยการวิจัยภายในเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตนเกี่ยวกับ ผลกระทบของ Instagram ที่มีต่อวัยรุ่น โดยพบว่า “เด็กสาววัยรุ่น 32% รู้สึกแย่เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง โดย Instagram ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง” 

สื่อแฉ ‘Facebook’ ศึกษาผลด้านลบของ ‘Instagram’ ต่อวัยรุ่นกว่า 3 ปีแต่ไม่เปิดเผย

ทั้งนี้ จากการสำรวจของ Pew Research Center ระบุว่า วัยรุ่นจำนวนมากเลิกใช้งาน Facebook แต่ Instagram ยังคงได้รับความนิยมในสหรัฐฯ โดยวัยรุ่นที่ใช้ Instagram ในสหรัฐฯ มีประมาณ 22 ล้านคน/วัน

Source

]]>
1449277