ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังจะถอนหุ้น Luckin Coffee ออกจากตลาด ทั้งที่เพิ่งเปิด IPO ไปเมื่อปีก่อน เนื่องจาก Luckin Coffee ถูกตรวจพบว่ามีการปลอมแปลงข้อมูลทางการเงิน
โดยบริษัทได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากตลาดหุ้น NASDAQ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2020 ความว่า “เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีความประสงค์ที่จะถอนหุ้นของบริษัทออกจากตลาด”
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นเนื่องจากตลาดหุ้นกังวลว่าข้อมูลดังกล่าวจะเกิด “ผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ” หลังช่วงที่ผ่านมา บริษัท Luckin Coffee ถูกเปิดโปงการปลอมแปลงข้อมูลธุรกรรมทางการเงินจากพนักงานภายในของบริษัทเอง รวมกับความผิดพลาดในอดีตที่บริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลการดำเนินงานที่เพียงพอแก่สาธารณชน
ฟากบริษัท Luckin Coffee ยังคงต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นบริษัทมหาชนต่อไป โดยยื่นเรื่องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไปแล้ว และระหว่างนี้บริษัทจะยังคงสถานะอยู่ในตลาดหุ้น แต่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้มาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2020 ส่วนขั้นตอนการรับฟังคำอุทธรณ์ ปกติมักจะนัดไต่สวนภายใน 45 วันหลังยื่นเรื่อง
ราคาหุ้นของบริษัทร่วงหนัก 83% เหลือเพียง 4.39 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ในวันที่ 2 เมษายน 2020 หลังบริษัทประกาศปลด หลิว เจียน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ออกจากตำแหน่ง เซ่นข่าวการปลอมแปลงข้อมูลที่หลุดออกมา
ข้อมูลปลอมที่เกิดขึ้น มาจากการรายงานยอดขายเกินจริงไป 310 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4 ปี 2019 ซึ่งเป็นตัวเลขถึงครึ่งหนึ่งจากเป้าหมายยอดขาย 732 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่บริษัทประกาศเมื่อช่วงต้นปี 2019 โดยเริ่มมีข่าวหลุดออกมาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 บริษัทได้ปฏิเสธข่าวไปก่อน แต่เมื่อทำการตรวจสอบภายในบริษัทแล้วพบว่ามีการปลอมแปลงจริง นำมาสู่การปลดซีโอโอและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา
Luckin Coffee เป็นปรากฏการณ์สตาร์ทอัพที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะเพิ่งก่อตั้งในปี 2017 และเติบโตอย่างรวดเร็วขยายไปถึง 3,500 สาขาทั่วโลก (พร้อมมีข่าวว่าจะเข้ามาเปิดในประเทศไทยด้วย) ในที่สุดบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2019 ก่อนจะถูกตรวจพบกลโกงในเวลาไม่ถึงปี
Source: SCMP, Business Insider
]]>ตัดภาพไปช่วงธันวาคมปี 2019 หรือก่อนจะเกิดการระบาดของไวรัส COVID-19 Zoom มียอดการใช้งานเพียง 10 ล้านคนต่อวัน แต่ภายใน 3 เดือน ยอดการใช้งานก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 200 ล้านคนต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพราะการใช้งานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ทั้งมีข้อมูลรั่วของผู้ใช้ที่โผล่ในเว็บมืดกว่า 5 แสนราย หรือกรณีที่มีคนเข้ามาป่วนการสนทนา และมีการบังคับให้โทรออกโดยอัตโนมัติ และไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end จนทั้งไต้หวันและสิงคโปร์ต้องเบรกการประชุมผ่าน Zoom
จากวิกฤติดังกล่าวส่งผลให้ CEO ต้องออกมาขอโทษ ถึงข้อผิดพลาด และแม้จะมีการแก้ไขช่องโหว่งต่าง ๆ เเต่นั่นก็ส่งผลต่อหุ้นของบริษัทไปเรียบร้อย โดยจากมูลค่าสูงสุด 164.94 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 121.93 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา
1 เดือนผ่านไป เมื่อวันศุกร์ที่ 24 เมษายน หุ้นของ Zoom ได้เปิดตัวมาอย่างแข็งแกร่งในเช้าวันศุกร์ โดยบวก 3% เนื่องจาก Nasdaq ประกาศว่า Zoom กำลังจะเข้าร่วม Nasdaq 100 ในสัปดาห์หน้า และอีกสองวันหลังจากที่มีรายงานว่ามีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 50% เป็น 300 ล้านคนต่อวัน
แต่ยังไม่ทันได้ยิ้ม Facebook ก็ได้เปิดตัว Messenger Rooms ฟีเจอร์ใหม่ใน Messenger ที่ทำออกมาเเข่งกับแพลตฟอร์ม Video Conference ของหลาย ๆ เจ้า ก็ส่งผลให้หุ้นของ Zoom ปิดตัวลดลง 6% ที่ 158.80 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Facebook บวกเพิ่ม 2.7% ปิดที่ 190.07 ดอลลาร์สหรัฐ
โดยนักลงทุนมองว่าฟีเจอร์ใหม่ใน Messenger ใหม่ของ Facebook เป็นภัยคุกคามต่อ Zoom เนื่องจาก Facebook และ WhatsApp กำลังขยายการใช้งานของกลุ่มวิดีโอ อีกทั้ง Facebook ยังมีผู้ใช้งานมากกว่า 800 ล้านรายต่อวัน
“Facebook รู้ถึงความต้องการวิดีโอแบบเรียลไทม์ เพราะทั้ง WhatsApp และ Messenger มีกว่า 700 ล้านบัญชีที่ใช้ฟีเจอร์การโทรทุกวัน” บริษัท กล่าวในแถลงการณ์บล็อก
สำหรับ Messenger Rooms มีจุดเด่นที่สามารถรองรับการประชุมทางไกลออนไลน์ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 50 คน และผู้เข้าร่วมไม่จำเป็นต้องมีแอคเคาท์ Facebook ก็ได้ แม้ Messenger Rooms จะยังให้บริการในบางประเทศอยู่ แต่อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า Facebook เตรียมขยายบริการไปทั่วโลก
ที่มา smarteranalyst , CNBC
]]>