OKJ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Sep 2024 05:52:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดเส้นทาง 11 ปี ‘โอ้กะจู๋’ ขายผักจนได้ดี OR มาซื้อหุ้น พร้อมสยายปีกเข้าตลาดหลักทรัพย์ https://positioningmag.com/1491105 Fri, 20 Sep 2024 03:51:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491105 จากข้อมูลของ Databridge Market Research เผยว่า ตลาดอาหารสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 8.8 แสนล้านเหรียญฯ ในปี 2566 และมีการคาดการณ์ว่าจะโตเป็น 1.82 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2574

รวมถึง ข้อมูลจากงานวิจัยของ IMARC Group (2023) พบว่า แนวโน้มตลาดอาหารอนาคต หรืออาหารจากพืชทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโต 12.11% ในช่วงปี 2566-2571 ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์อาหารในปัจจุบัน ที่ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจและบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น 

และหากจะพูดถึงร้านอาหารสุขภาพในไทย ‘โอ้กะจู๋’ จากบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนนึกถึง เพราะด้วยชื่อแบรนด์ที่แปลก และมีสาขาเยอะ ทำให้หาทานได้ง่าย และเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างมาแรงแห่งยุคแบรนด์หนึ่งเลยทีเดียว

ที่มาที่ไปของโอ้กะจู๋ เริ่มต้นจาก “อู๋-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” กับ “โจ้-จิรายุทธ ภูวพูนพล” สองเพื่อนซี้ชาวเชียงใหม่ที่มีพื้นฐานครบครัวเป็นเกษตรกรและมีความสนใจในเรื่องการปลูกผักแบบผสมผสานเกษตรสมัยใหม่กับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิม จากการที่ได้ไปทัศนศึกษาที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรร่วมกัน  

กระทั่งเรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ความสนใจและความฝันยังไม่จางหาย ผนวกกับเจอปัญหาเวลาไปซื้อผักที่ตลาดแล้วอยากได้ผักปลอดสารพิษมาทำทานในครอบครัว ซึ่งในสมัยนั้นผู้ผลิตผักปลอดสารในเชียงใหม่นั้นมีน้อยมาก ทำให้ทั้งคู่จับมือมาธุรกิจฟาร์มผักออแกนิกส์กันในปี 2553 บนพื้นที่เพาะปลูกของครอบครัวที่มีขนาด 1 ไร่เศษ ก่อนขยับขยายนำผักที่มีเยอะจนกินจนแจกไม่หมดไปส่งขายในตลาด 

ขายผักจนได้ดี อัพสเกลเปิดร้านอาหาร

แม้รายได้จากการปลูกผักส่งขายจะไม่ได้แย่ แต่ก็ประสบปัญหาคนไม่ค่อยซื้อ เพราะผักที่นำไปขายนั้นมีเศษดินเศษหญ้าที่คนที่รับซื้อบอกว่าดูแลยาก ทำให้ทั้งคู่กลับมาคิดหาทางออก ก่อนที่ในปี 2556 ได้ตกลงปลงใจเปิดเป็นร้านเล็กๆ ขึ้นมาในอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ‘โอ้กะจู๋’ ที่ผวนคำมาจาก อู๋กับโจ้ ที่เป็นชื่อของทั้งคู่นั่นเอง แม้ชื่ออาจจะดูทะลึ่งตึงตัง แต่ก็ทำให้คนทั่วไปจดจำได้อย่างดี พร้อมกับจัดตั้งบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ขึ้น และก็ได้ “ต้อง-วรเดช สุชัยบุญศิริ” เข้ามาเป็นกำลังเสริมในการทำธุรกิจ 

ซึ่งผลตอบรับที่ได้จากการเปิดร้านนั้นดีมาก จนขยายสาขาเพิ่มเป็นสาขาที่ 2 ในตัวเมืองเชียงใหม่ ย่านนิ่มซิตี้เดลี่ ทำให้ได้รับความนิยมขึ้นไปอีก จนมีลูกค้าจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวกรุงเทพฯ มาใช้บริการบ่อย เกิดเป็นเสียงเรียกร้องให้ โอ้กะจู๋ มาตั้งรกรากเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ บ้าง ทำให้ในปี 2560 โอ้กะจู๋ สาขาสยามสแควร์วัน ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นสาขาที่ 3 นั่นเอง

และในปี 2561 – 2563 เวลาเพียง 3 ปี โอ้กะจู๋ มีสาขาเพิ่มรวมเป็น 13 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการเปิดร้านในรูปแบบ Delivery เป็นครั้งแรก เนื่องจากเป็นช่วงโควิด-19 ที่มีมาตรการไม่ให้ลูกค้านั่งทานอาหารในร้าน ทำให้โอ้กะจู๋สามารถผ่านวิกฤตในครั้งนั้นมาได้ด้วยดี

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ OR มาซื้อหุ้น

จนในปี 2564 ถือเป็นจุดเปลี่ยนและโอกาสครั้งใหญ่ของโอ้กะจู๋ เพราะ OR หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ได้เข้ามาลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นในโอ้กะจู๋กว่า 20% เพราะ OR เองก็ต้องการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจน้ำมัน ในการลงทุนกับธุรกิจค้าปลีก และไลฟ์สไตล์มากขึ้น 

การได้เข้าไปอยู่ในครอบครัว OR ก็ทำให้โอ้กะจู๋ได้ขยายกิจการเข้าไปเปิดร้านใน PTT Station และมีจำนวนสาขาทั้งหมด 16 สาขา ก่อนที่ในปี 2565 โอ้กะจู๋ได้ขยายธุรกิจโดยการพัฒนาสินค้าเพื่อนำเข้าไปจัดจำหน่ายใน Cafe Amazon อีก 7 สาขา รวมเป็น 23 สาขา 

และในปี 2566 ขยายร้านไปยังภาคตะวันออกในพัทยา ชลบุรี และระยอง ทำให้มีสาขาในประเทศรวมกันทั้งหมด 33 สาขา พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามจังหวัดและหัวเมืองที่สำคัญ ภายในปี 2567 และตั้งเป้าให้โอ้กะจู๋มีสาขาครบ 67 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2571 

และหากมาดูรายได้รวมและกำไรสุทธิของบริษัทคร่าวๆ 5 ปีย้อนหลัง โดย

  • ปี 2562 รายได้ 643,046,569 บาท มีกำไรสุทธิ 79,831,262 บาท
  • ปี 2563 รายได้ 836,802,908 บาท มีกำไรสุทธิ 33,088,223 บาท
  • ปี 2564 รายได้ 803,016,024 บาท มีกำไรสุทธิ -83,379,787 บาท
  • ปี 2565 รายได้ 1,214,905,550 บาท มีกำไรสุทธิ 38,317,764 บาท
  • ปี 2566 รายได้ 1,716,847,079 บาท มีกำไรสุทธิ 140,647,983 บาท

ปัจจุบันรายได้หลักมาจากธุรกิจร้านโอ้กะจู๋กว่า 98% โดยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งอยู่ที่ 450 บาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากฐานสมาชิกของร้านกว่า 25% จากปี 2566 ที่มีฐานสมาชิก 20% เฉลี่ยยอดใช้จ่ายต่อคนต่อปีอยู่ที่ 13,000 บาท 

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,110.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 778.0 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 102.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 73.9 ล้านบาท 

นอกจากนั้น โอ้กะจู๋ ยังมีการแตกแบรนด์ออกมาเพิ่มอีก 2 แบรนด์ในปีนี้ คือ Ohkajhu Wrap & Roll ธุรกิจอาหารพร้อมทาน (Grab&Go) ที่มีอยู่ด้วยกัน 1 สาขาถ้วน และ Oh! Juice ธุรกิจน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีถึง 6 สาขา เรียกได้ว่าบริษัทฯ มีอัตราการขยายตัวของธุรกิจค่อนข้างไว

ตลาดเชนร้านสลัดในไทยก็ร้อนระอุไม่แพ้ตลาดอื่นๆ เพราะด้วยเทรนด์ดูแลสุขภาพ คนไทยนิยมทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้แบรนด์สลัดเป็นที่นิยม โดยที่มีผู้เล่นใหญ่อีก 2 รายด้วยกัน อย่าง โจนส์สลัด (บริษัท โจนส์สลัด จำกัด) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ปัจจุบันมี 34 สาขา และมีการแตกแบรนด์เพิ่ม 2 แบรนด์คือ ผงสลัดชงดื่ม และ สมุนตุ๋น ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น ที่มีอยู่ด้วยกัน 1 สาขา และ สลัด แฟคตอรี่ (บริษัท กรีน ฟู้ด แฟคทอรี่ จำกัด) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ปัจจุบันมีสาขาอยู่ 38 สาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงมีการแตกไลน์แบรนด์ ชาดา เครื่องดื่มสมุนไพรจากใบเชียงดา มาเพิ่มเติม

สยายปีกเข้าตลาดฯ รองรับการเติบโต

จุดแข็งของโอ้กะจู๋ คือการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงการพัฒนาสูตรอาหาร และเครื่องดื่ม โดยร่วมกับฝ่ายการตลาดที่ศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และกระแสนิยมของผู้บริโภค ทำให้บริษัทฯ สามารถออกเมนูใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หลากหลาย และแตกต่างจากอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป และแม้จะส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม และยอดขายจากสาขาที่เปิดเพิ่มเติม 

แต่บริษัทฯ ก็ยังมีความต้องการในการขยายขีดจำกัดในการเติบโต ทำให้ล่าสุด ประกาศตัวว่ากำลังจะ IPO หรือพาบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เข้าตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นบริษัทมหาชน กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปที่ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) 24.13 เท่า

ซึ่งเมื่อพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น ก็ถือเป็นราคาที่เหมาะสมที่สะท้อนพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 23 – 25 กันยายน 2567 โดยคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนตุลาคมนี้ 

โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ขยายสาขา สร้างครัวกลางแห่งใหม่ เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดการเป็นพันธมิตรกับ OR ก็ได้ส่งบริษัทลูกอย่าง บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) มาทำสัญญาซื้อขายหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ 20% เอาไว้ และคาดว่า ผู้บริโภคอาจจะได้เห็นความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เหมาะสม และตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อวางจำหน่ายในร้าน Café Amazon ต่อไปในอนาคต

]]>
1491105