จุดกำเนิดของ อาลีบาบา และ JD.COM มาจากการระบาดของโรคซาส์ ที่ตอนนั้นมันบังคับให้ผู้บริโภคต้องปรับตัวสั่งออนไลน์ นั่นเป็นจุดพลิกผันของอีคอมเมิร์ซจีน และถ้าดูประเทศจีนเป็นตัวอย่าง เชื่อว่าไทยก็มีแนวโน้มสูงมาก ๆ เพราะว่าปัจจุบันอัตราการเข้าถึงของสมาร์ทโฟนของคนไทยเยอะมาก และด้วยสัดส่วนของการช้อปออนไลน์กับตลาดค้าปลีกไทยยังมีสัดส่วนแค่ 3% ดังนั้นโอกาสเติบโตยังมีอีกเยอะ ดังนั้น นี่เป็นการลดต้นทุนที่ดันให้ผู้บริโภคเข้ามาสู่ออนไลน์
“จังหวะนี้คนจำเป็นต้องอยู่บ้าน เพราะร้านค้าปิด เพราะงั้นตัวเลือกเดียวคือ ออนไลน์ ดังนั้น สถานการณ์ตอนนี้มันจะมาเร่งให้เกิด Disruption ไม่ใช่เทคโนโลยีอย่างที่คนคิด เพราะเทคโนโลยีมีนานแล้ว แต่เป็นพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนครั้งใหญ่เพราะโลก ดังนั้นสิ่งที่เกิดคือ คนที่ไม่เคยลองออนไลน์ก็ได้มาลอง”
ตัวเลขที่ไพรซ์ซ่าเก็บจากก่อนที่มีโควิด-19 (ธันวาคม-มกราคม) เทียบกับ มีนาคมที่วิด-19 ระบาดหนักพบว่า สินค้าอุปโภคบริโภค มีการเติบโต 119% รองลงมาที่ สินค้าเอนเตอร์เทนต์เมนต์ (ดูหนังฟังเพลง) ขณะที่สินค้าแฟชั่น ความงามไม่เติบโตอย่างที่เคย ดังนั้นไม่ใช่ออนไลน์ทุกส่วนที่เติบโต แต่ถ้าไม่มาออนไลน์ แปลว่าเป็น ‘ศูนย์’ อย่างตลาด 4 มุมเมืองก็หันมาขายออนไลน์ แม้รายได้อาจไม่เท่าตอนขายออฟไลน์ แต่จากนี้ไปเขาสามารถขายได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
“สถานการณ์ตอนนี้เป็นตัวเร่ง แต่การเติบโตนี้จะอยู่ยาวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ลูกค้าได้ ถ้าเซอร์วิสมันตอบโจทย์ ลูกค้าก็อยู่ แต่ถ้าไม่ เมื่อออฟไลน์กลับมาก็อาจจะกลับไปใช้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับออนไลน์เดลิเวอร์รี่ ดังนั้นขึ้นอยู่กับเราว่าจะทำให้เขาได้รับประสบการณ์ที่ดีไหม โดยคีย์เดียวที่ต้องมีคือ Trust หรือความไว้ใจ”
ทุกแพลตฟอร์มตอนนี้พร้อมใจให้ร้านค้าใหม่ ๆ ขึ้นมาขายออนไลน์ อย่าง NocNoc.com มีการลดคอมมิชชั่น และเปลี่ยนจากการเทรนด์ผู้ขายออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ หรือ ไพรซ์ซ่าก็มีการให้ความรู้ฟรีผ่านออนไลน์จากกูรูในวงการหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นทำออนไลน์, ความแตกต่างแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งร้านเองอาจจะต้องศึกษาและหยิบเครื่องมือสักอย่างขึ้นมาใช้
ปัจจุบัน คนลุกขึ้นมาขายของออนไลน์จำนวนมาก หรือร้านไหนที่ขายแต่ออฟไลน์มาตลอด อยากให้ใช้จังหวะนี้ลองทำออนไลน์ และไม่จำเป็นต้องขายของอย่างเดียว ใครที่มีความสามารถอื่น ๆ ก็อาจจะทำอะไรที่เหมาะกับความสามารถ อาทิ เขียนรีวิว, เขียนบทความ นี่เป็นแนวทางหนึ่งในการหารายได้ที่อยู่ที่บ้าน หรือง่ายที่สุดก็คือ ไลฟ์ขายของในแพลตฟอร์มต่าง ๆ
“แม้ไม่ง่ายแต่ทำได้ เราต้องทดลองและเรียนรู้ ตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสีย แค่มีมือถือก็เริ่มต้นได้แล้ว แค่ถ่ายรูป เขียนรายละเอียด และเอาขึ้นแพลตฟอร์มไหนก็ได้ ซึ่งต้นทุนของการลงไม่ได้สูงเลย และไม่ได้ยากอย่างที่คิด นี่เป็นโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพราะเรามีเวลามากว่าเดิม”
การขายสินค้าออนไลน์ก็เหมื
ขณะที่ เสน่ห์ของโซเชียลคอมเมิร์ซคือ คนต้องการซื้อของกับร้านค้าที่เคยคุยด้วย ดังนั้นอาจจะเริ่มจากแชร์ให้เพื่อน เพื่อเป็นฐานลูกค้ากลุ่มแรก โปรโมทให้ลูกค้าเก่ารู้ว่าร้านกลับมาเปิดในรูปแบบออนไลน์แล้ว อันนี้จะช่วยเยียวยา เมื่อผ่านวิกฤติเขาจะมีช่องทางเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจออนไลน์จะโตขึ้น แต่หากสถานการณ์ในระยะยาวยังเป็นแบบนี้ ผู้บริโภคก็จะไม่มีกำลังซื้อ วันหนึ่งก็ต้องมากระทบกับธุรกิจออนไลน์ เพราะไม่ว่าจะช่องทางไหนก็ไม่มีเงิน
#line #NocNoc #Priceza #E-Commerce #OnDemandDelivery #Derivery #Covid19 #online #offline #Positioningmag
]]>ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า ยอดขายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce) และบริการสั่งอาหารไปยังที่พัก (Food Delivery) ในช่วงระหว่างวันที่ 22 มี.ค. – 30 เม.ย. 2563 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติราว 8,000 ล้านบาท และในช่วงวันที่ 5 – 15 มี.ค. ETDA เผยถึงเหตุผลของการสั่งอาหารออนไลน์ เหตุผลแรกคือ ไม่อยากไปนั่งที่ร้านอาหาร ตามด้วยไม่อยากต่อคิว, มี promo code แจกในแอป, และสั่งอาหารออนไลน์เพราะหวั่น Covid-19 โดย 87.85% เป็นการสั่งทานที่บ้าน 46.11% ผู้สั่งทานที่ทำงาน
เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ที่ต่างกังวลเรื่องไวรัส พนักงานส่งของจึงเริ่มใช้วิธีดรอปสินค้าที่หน้าบ้านก่อนถึงเวลานัดจริง มากกว่าจะยื่นส่งสินค้ากันตามปกติ รวมถึงแบรนด์เดลิเวอรีก็ออกกฎต่าง ๆ เพื่อปกป้องความปลอดภัยต่อทั้งลูกค้าและพนักงาน ทั้งยืนห่างจากลูกค้า 2 เมตรในการรับส่งสินค้า และผลักดันการชำระเงินผ่านอีวอลเล็ต ทำให้มูลค่าการจัดส่งสินค้าแบบไม่สัมผัสกับลูกค้าปลายทางเติบโตขึ้นถึง 20%
สถานการณ์จะยิ่งผลักดันให้ผู้คนเข้าหาเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น เมื่อมี 5G ที่จะช่วยภาคการขนส่งและคมนาคมอัจฉริยะ ตั้งแต่การโอนถ่ายดาต้า สร้างการสื่อสารระหว่างคันรถ จนถึงเชื่อมต่อรถทุกคันเข้ากับผังเมืองดิจิทัล เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงข้อมูลการจราจรที่ถูกต้องแม่นยำบนรถยนต์ได้ ส่งผลให้การขนส่งสินค้าด้วยหุ่นยนต์ยิ่งมีโอกาสเติบโตหรือรถอัตโนมัติที่นำทางด้วยแผนที่ภายใต้ระบบอัลกอริทึมของ Location platform โดยคาดว่าจะทำรายได้ 4.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030
และด้วยระบบ Open Location Platform จะยิ่งตอบโจทย์ on-demand economy ที่แข่งขันกันที่ความเร็ว ความสะดวก และความถูกต้องของสินค้า เนื่องจากช่วยตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกโลเคชั่นต้นทางถึงปลายทาง และถูก localize ให้เข้ากับพื้นที่นั้น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีตรอก ซอก ซอย อย่าง Amazon ตั้งเป้าส่งสินค้าถึงปลายทางได้อย่างเรียบร้อยภายใน 30 นาที หรือ Walmart ที่เริ่มให้บริการ same-day delivery ขนส่งด่วนภายในวัน ซึ่งอีคอมเมิร์ซเจ้ายักษ์ในประเทศไทย Lazada หรือ Shopee ก็เริ่มขยายธุรกิจและบริการในลักษณะนี้เช่นกัน
Open Location Platform จะทำหน้าที่ส่งตำแหน่งอัจฉริยะให้แก่บริษัทผ่านแผนที่ดิจิทัลแบบเรียลไทม์ (Application Programming Interface – API) ขณะที่ชุดพัฒนาโมบายล์ซอฟต์แวร์ (Mobile software developments kits – mSDK) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถปักหมุดบริเวณที่ต้องการให้รถโดยสารเข้าไปรับระบบเอไอกับแมชชีนเลิร์นนิ่งที่ทำงานร่วมกันบนแผนที่จะช่วยจดจำเส้นทางใหม่และบันทึกเพิ่มในฐานข้อมูล นอกเหนือจากระบบติดตาม GPS แล้ว แพลตฟอร์มแผนที่ยังสามารถนำเสนอเส้นทางที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น ๆ แก่คนขับ
#Grab #Get #Foodpanda #Lineman #Fooddelivery #HereTechnologies #Covid19 #Positioningmag
]]>