One Stop Service – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 13 Feb 2023 14:49:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กางแผน ‘AIS Business’ 2023 กับการเป็นดิจิทัลพาร์ทเนอร์ ‘ตัวช่วย’ ให้องค์กร “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” https://positioningmag.com/1419053 Tue, 14 Feb 2023 10:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1419053

ในช่วง 3 ปีที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ทำให้หลายองค์กรเริ่มจะทำ ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น เพื่อสร้างการเติบโตและโอกาสทางการแข่งขันของธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่ AIS โดยกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรอย่าง AIS Business ได้พิสูจน์ตัวเอง จนได้รับการยอมรับเป็นอันดับ 1 ในการให้บริการด้าน IT Solution & System Integrator (SI) ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่าย

ทำให้ที่ผ่านมา AIS Business ได้เข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญให้หลายองค์กรในการวางระบบดิจิทัลเทคโนโลยี การทำทรานฟอร์มเมชันองค์กรต่างๆ จนกระทั่งหลายธุรกิจเริ่มเห็นภาพและเปิดใจที่จะนำความสามารถของดิจิทัลเทคโนโลยีเข้าไปช่วยยกระดับกระบวนการทำงาน

และในปีนี้ AIS Business ก็ได้ออกมาฉายเทรนด์ และแนวทางการทำงานซึ่งเป็น Post Covid ที่องค์กรต่างมองหาโอกาสในการกลับมาเติบโตอีกครั้ง


ความไว้ใจ คือสิ่งที่ลูกค้ามองหา

แม้การระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบันจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมาแล้ว แต่การทำงานที่ยืดหยุ่น สามารถทำงานที่ไหนก็ได้กลายเป็นเรื่องพื้นฐานของหลายองค์กร ดังนั้น สิ่งที่ เอไอเอส เห็นก็คือ องค์กรต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่มีความพร้อม เพราะองค์กรตระหนักถึง ความปลอดภัย มากขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงเรื่องข้อมูลรั่วไหลที่มีมากตามมา

ดังนั้น วิสัยทัศน์ของเอไอเอสยังไม่เปลี่ยนแปลงคือเป็น Most Trusted ให้กับลูกค้า และต้อง ไปด้วยกัน หรือเป็น Partnership เพื่อสร้างการเติบโตภายใต้แนวคิด “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” (Growth-Trust-Sustainability) ผ่าน 5 กลยุทธ์ ในการสร้าง Digital Business Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์แบบ ได้แก่

  • เชื่อมต่อ5G Ecosystem เพื่อการทำงานของภาคธุรกิจอย่างรอบด้าน
  • ยกระดับการทำงานของโครงข่ายด้วยIntelligent Network
  • มุ่งเสริมความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์ม
  • เสริมอาวุธด้านการตลาดและเพิ่มโอกาสการเติบโตData-driven Business
  • ส่งมอบบริการด้วยทีมงานมืออาชีพที่ไว้วางใจได้

หนึ่งในจุดแข็งของเอไอเอสที่ใช้สร้างความเชื่อใจ คือ บริการโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโครงข่าย Data Center, Intelligent Network, Cloud X Platforms, และ Cyber Security ที่สอดรับกับกฎระเบียบของการใช้งานและเป็นไปตามข้อกำหนดของแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงข้อบังคับของประเทศไทยด้วย

“Position เราคือพาร์ทเนอร์ช่วยเรื่องดิจิทัลทรานซ์ฟอร์มของลูกค้า ไม่ใช่ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ดังนั้น เราจะมีการคุยกับลูกค้าตั้งแต่ต้นว่าอยากได้อะไร แล้วเราจะไปทำการบ้านเพื่อสร้างโซลูชั่นมารองรับ แต่การจะเป็นพาร์ทเนอร์กับใคร ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ เรายังเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูล” นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS ย้ำ

 

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS


พร้อมเป็น One Stop Service ให้พาร์ทเนอร์

ปัจจุบัน องค์กรต้องการบริการแบบ One Stop Service ซึ่งสอดคล้องกับเอไอเอสที่เชื่อว่า ไม่มี One size fits all แต่ต้องพร้อมช่วยสร้างโซลูชันใหม่ ๆ เฉพาะอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น Smart Manufacturing, Smart Transportation & Logistics, Smart City & Building, และ Smart Retail ซึ่งเอไอเอสก็สามารถตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าด้วยการบริหารจัดการข้อมูลอัจฉริยะ Data Insight & Lifestyle as a Service ซึ่งเอไอเอสช่วยวางแผนตั้งแต่เริ่ม

นอกจากนี้ 5G ก็ถือเป็นอีกโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการแข่งขัน เพราะปัจจุบันเรื่อง Data, AI กลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ลูกค้าต้องการใช้งาน และโจทย์ของลูกค้ามีแต่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งที่สร้างความแตกต่างของเอไอเอสก็คือ 5G ที่ไม่ใช่เน็ตเวิร์กแต่เป็นแพลตฟอร์ม AIS 5G NEXTGen ที่เอไอเอสพัฒนาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งลูกค้าสามารถจะลงแอปพลิเคชั่นได้เลย

“เราไม่ได้เล่นในระดับแอปพลิเคชั่น แต่เล่นในระดับ Infrastructure ดังนั้น 5G ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้คุยกันเรื่องครอบคลุมไม่ครอบคลุมอีกต่อไป แต่วัดกันที่เรื่องคุณภาพ เนื่องจากองค์กรต้องการความเสถียร ความยืดหยุ่น และต้องเรียลไทม์ เพราะตอนนี้การแข่งขันเฉือนกันที่ข้อมูล”


Sustainability อีกเทรนด์ที่หลายองค์กรต้องการไป

เรื่อง ความยั่งยืน (Sustainability) กลายเป็นสิ่งที่เอนเตอร์ไพรซ์ให้ความสำคัญมากขึ้น ดังนั้น ส่วนนี้จะเป็นอีกสิ่งที่เอไอเอสจะให้ความสำคัญครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยสามารถพัฒนาโซลูชั่นตั้งแต่ระดับ เก็บข้อมูล, รีพอร์ต และบริหารจัดการพลังงาน

“ที่ผ่านมาเราเคยทำงานร่วมกับ SCG ในการนำ 5G มาใช้คุมรถอีวีในเหมืองโดยไม่ใช้คน ดังนั้น นี่ไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องความยั่งยืนแต่ช่วยเรื่องความปลอดภัย และยังเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างให้กับ SCG ในการดำเนินธุรกิจด้วย”


มั่นใจเติบโตกว่าตลาด พร้อมลงทุนต่อเนื่อง

ธนพงษ์ ย้ำว่า เอไอเอสต้องการเป็นผู้ให้บริการ Sustainable Digital Economy ของประเทศไทย ดังนั้น ในแต่ละปีเอไอเอสมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเฉลี่ยนไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท และสำหรับเป้าหมายปีนี้ เอไอเอส บิสซิเนสมั่นใจว่าจะเติบโตได้สูงกว่าตลาด และรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาด

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่เอไอเอสจะเน้นทำตลาดในปีนี้ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก (Retail), การผลิต (Manufacturing), โลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) และ Smart City แต่อีกอุตสาหกรรมที่เอไอเอสเห็นการเติบโตก็คือ การท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นอีกอุตสาหกรรมที่เอไอเอสจะให้ความสำคัญในปีนี้ นอกจากนี้ กลุ่ม SME ก็เป็นอีกกลุ่มที่เอไอเอสให้ความสนใจที่จะช่วยให้ฟื้นตัวจากผลกระทบในช่วงโควิด

“ที่ลูกค้าเลือกเราเพราะเขามั่นใจและคุยกับเราแล้วจบ นอกจากนี้ เรายังมีฐานลูกค้าคอนซูมเมอร์และพาร์ทเนอร์คอมเมอร์เชียลในมือ เราก็ช่วยจับคู่ให้เขาได้ ทำให้เกิดเป็นอีโคซิสเต็มส์ ดังนั้น เขาเลยรู้สึกว่าการทำงานกับเอไอเอสไม่ใช่การขายของแต่มันเติบโตไปด้วยกัน” ธนพงษ์ ทิ้งท้าย

]]>
1419053
กลยุทธ์ ‘Krungsri One Retail’ผนึกกำลังทั้งเครือเพื่อลูกค้ารายย่อย ผสานจุดแข็งทุกบริการทางการเงิน https://positioningmag.com/1408486 Wed, 23 Nov 2022 10:00:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408486

ความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจและวิถีชีวิตของลูกค้า ทำให้ “กรุงศรี” ต้องวางแผนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านกลยุทธ์  “Krungsri One Retail” ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือระหว่างบริษัทในกลุ่มธุรกิจเพื่อลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคลในเครือกรุงศรี ในทุกแง่มุม ตั้งแต่การเชื่อมโยง “ดาต้า” เข้าด้วยกัน จนถึงช่องทางการบริการลูกค้าที่จะมีการผสานช่องทางสาขา เพื่อให้บริการแบบ One-Stop Service และเชื่อมโยงแอปพลิเคชันซึ่งกันและกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายของกรุงศรีและบริษัทในเครือได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งหมดเพื่อให้บริการ “ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล” ได้อย่างตรงใจลูกค้ายิ่งขึ้น และสร้างความแข็งแกร่งให้ ‘กรุงศรี’ มุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อยเป็น 15 ล้านราย ภายในปี 2567

ยุคนี้ความแข็งแกร่งในตลาด มาจากการผนึกกำลังกันหลายฝ่าย ทำให้ ‘กรุงศรี’ วางกลยุทธ์ใหม่เรียกว่า “Krungsri One Retail” ซึ่งมุ่งผสานจุดแข็งของทุกหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “ลูกค้ารายย่อย” ในเครือกรุงศรี เข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าได้อย่างหลากหลาย รอบด้าน และตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการในทุกช่วงชีวิตของลูกค้ายิ่งขึ้น

“พงษ์อนันต์ ธณัติไตร” ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เล่าถึงที่มาของการวางกลยุทธ์ใหม่ ที่สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ในโลกธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิด “ดิจิทัล ดิสรัปชัน (Digital Disruption)” ลูกค้าหันมาติดต่อสื่อสารมากขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ ชอบช้อปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้น ต้องการบริการที่ตอบโจทย์ รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น ดังนั้น กลยุทธ์เพื่อลูกค้ารายย่อยจึงถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนเช่นกัน

“พงษ์อนันต์ ธณัติไตร” ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

ในเครือกรุงศรีมีผลิตภัณฑ์หลากหลายเพื่อลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล ทั้งที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของธนาคารและภายใต้บริษัทในเครือ เช่น กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ซึ่งดูแลลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล, กรุงศรี ออโต้ ดูแลลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำ และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ดูแลด้านการลงทุน เป็นต้น

แต่ละบริษัทนั้นมีกลยุทธ์สำหรับธุรกิจของตนเอง และสามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี โดยนับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนั้น ๆ แต่การมีกลยุทธ์ “Krungsri One Retail” นั้นจะเป็นการผสานจุดแข็งในการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ารายย่อย เป็นการผนึกกำลังกันภายในเครือเพื่อส่งมอบบริการที่เหนือกว่าเดิมให้กับลูกค้าได้อย่างหลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้าอย่างรอบด้านยิ่งขึ้น โดยเน้นให้ความสำคัญกับ 4 แนวทางหลัก ได้แก่

1.Data Analytics – วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกแบบ 360 องศา

สร้างแพลตฟอร์มรวมฐานข้อมูลลูกค้ารายย่อยที่ปัจจุบันกรุงศรีมีลูกค้าในความดูแลกว่า 12 ล้านราย ที่เป็นผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย  อาทิ บัญชีออมทรัพย์ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ผลิตภัณฑ์ประกันภัย ผลิตภัณฑ์การลงทุน เป็นต้น

เมื่อมีดาต้าเบสที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกันทั้งเครือ ภายใต้ความยินยอมให้เข้าถึงข้อมูลจากลูกค้าเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริการ จึงทำให้กรุงศรีสามารถวิเคราะห์โปรไฟล์ของลูกค้าได้รอบด้าน จนสามารถใช้เทคโนโลยี AI เพื่อจัดการ Customize/Personalize ผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นรายบุคคล

ตัวอย่างกรณีการนำไปใช้งานจริง เช่น เมื่อมีการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายบัตรของลูกค้าบัตรเครดิตและพบว่าลูกค้าซื้อสินค้าประเภทของตกแต่งบ้าน ทำให้กรุงศรีสามารถเลือกเสนอสินเชื่อ Home for Cash ที่น่าจะตรงกับความต้องการของลูกค้าได้

2.Financial Advisory – การให้ความรู้และคำแนะนำทางการเงิน

พงษ์อนันต์ กล่าวว่า มุมมองของกรุงศรีเล็งเห็นถึงความผันผวนทางเศรษฐกิจตั้งแต่เกิดโรคระบาด ทำให้ผู้บริโภคอยู่ภายใต้ความกดดันทางการเงิน และต้องการ “ที่ปรึกษาทางการเงินที่ไว้ใจได้”

ดังนั้น กรุงศรีจึงได้ผลิตคอนเทนต์เพื่อ “ให้ความรู้ด้านการเงิน” (Financial Literacy) หลายรายการ แยกตามกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจต่างกัน เช่น Krungsri The COACH รายการตอบโจทย์การดูแลสุขภาพการเงินสำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป, Double Espresso ตอบโจทย์นักลงทุนหุ้น อัปเดตสถานการณ์หุ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ, Krungsri Exclusive ร่วมกับ Blackrock จัดรายการให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจและการลงทุน เน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้ากลุ่มที่มีสินทรัพย์สูง (High Net Worth) ที่มีความมั่งคั่งสูง

สำหรับรายการ Krungsri The COACH นับว่าประสบความสำเร็จสูง เพราะการกำหนดประเด็นมาจากประสบการณ์จริงที่กรุงศรีพบ ทำให้ทราบ ‘Pain Point’ ด้านการเงินของลูกค้า เช่น วิธีการยื่นกู้สินเชื่อให้ได้รับอนุมัติ, การแก้หนี้, เทคนิคลงทุนให้ได้กำไร เป็นต้น ปัจจุบันรายการนี้เผยแพร่ไปแล้วกว่า 50 ตอน ยอดเข้าชมเฉลี่ย 84,000 ครั้งต่อ 1 คลิป มี Engagement เติบโตสูงถึง 43 เท่า ภายในเวลาเพียง 8 เดือน

“การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ไว้ใจได้ในวันนี้ จะสร้างความผูกพันให้ลูกค้าเลือกเราในอนาคตเมื่อลูกค้ามีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินพงษ์อนันต์กล่าว

3.Innovative Financial Solution – สร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น

อีกหนึ่งเป้าหมายร่วมกันของ Krungsri One Retail คือการสร้างนวัตกรรมการเงินของผลิตภัณฑ์/บริการต่าง ๆ ในเครือที่ได้เปิดตัวและมีการใช้งานแล้ว เช่น KSS iGlobal ให้ลูกค้ารายย่อยลงทุนโดยตรงในหุ้นตลาดต่างประเทศได้ เฟสแรกเปิดแล้ว 5 ประเทศ และเฟสสองในเดือนพฤศจิกายน 2565 จะเพิ่มเป็น 28 ประเทศ ซึ่งจะทำให้ครอบคลุมครบทุกตลาดหลักทั่วโลก หรืออย่างนวัตกรรม Krungsri Private Equity Fund ก็ช่วยให้ลูกค้าสามารถลงทุนกับบริษัทนอกตลาดหุ้นได้ เป็นนวัตกรรมบริการลูกค้าหาน่านน้ำใหม่เพื่อลดความผันผวนในการลงทุน

ขณะเดียวกัน กรุงศรียังให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมด้านไอทีที่จะช่วยสร้างความสะดวกหรือนำเสนอบริการรูปแบบใหม่ให้ลูกค้ากรุงศรีเพิ่มมากขึ้น เช่น Kept Together ฟังก์ชันใหม่ในการออมเงินร่วมกัน, บัตรเครดิต Krungsri Now และ XU บัตรเครดิตดิจิทัลที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้ามิลเลนเนียล, First Choice SnapCash สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เจาะลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มอาชีพอิสระซึ่งต้องการเข้าถึงสินเชื่อ เป็นต้น

4.Channel – พัฒนาช่องทางแบบไร้รอยต่อ เพื่อประสบการณ์ลูกค้าที่ดี

กลยุทธ์นี้จะมีการผสานช่องทางเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้แบบไร้รอยต่อ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายของกรุงศรีได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การให้บริการผ่านช่องทาง “สาขา” กรุงศรีได้ริเริ่มโครงการนำร่อง พัฒนาสาขารูปแบบที่เรียกว่า ‘One Retail Branch’ ที่เป็นช่องทางบริการสำหรับลูกค้ารายย่อยแบบ One-Stop Service ในจุดเดียว จากเดิมสาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา, กรุงศรี คอนซูมเมอร์ และกรุงศรี ออโต้ จะแยกสาขาจากกัน แต่สาขารูปแบบใหม่นี้จะให้บริการรวมกันในแห่งเดียว เพื่อให้ลูกค้าสะดวกในการมาติดต่อทำธุรกรรม สามารถติดต่อขอใช้บริการต่าง ๆ ได้ครบในจุดเดียว ปัจจุบัน กรุงศรีได้เปิดตัวสาขาในรูปแบบ One Retail Branch ไปแล้ว โดยมีเป้าหมายในปีนี้ 22 สาขา และในปี 2566 จะเพิ่มอีก 15 สาขา

สาขา One Retail Branch

ขณะที่ช่องทางการบริการผ่าน “แอปพลิเคชัน” ก็เป็นช่องทางที่กรุงศรีให้ความสำคัญเช่นกัน โดยขณะนี้กรุงศรีมีแอปพลิเคชันให้บริการธุรกรรมออนไลน์ที่หลากหลาย เช่น Krungsri Mobile Application (KMA) ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา, UCHOOSE ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์, GO ของกรุงศรี ออโต้ เป็นต้น

ในอนาคตกรุงศรีจะพัฒนาการเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชันและระบบงานด้านต่าง ๆ ผ่านเทคโนโลยี Open API เพื่อเสริมฟังก์ชั่นการใช้งานของแอปฯ เช่น การเปิดบัญชีเงินฝากดิจิทัล จะสามารถทำผ่าน UCHOOSE และ GO ได้โดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด KMA เพิ่ม หรือการชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน QR Code โดยเลือกตัดบัญชีเงินฝากหรือบัตรเครดิตของกรุงศรี ก็สามารถทำได้ในทุกแอปฯ เป็นต้น

เป้าหมายเพิ่มฐานลูกค้า 15 ล้านราย

พงษ์อนันต์กล่าวสรุปถึงกลยุทธ์ ‘Krungsri One Retail’ ว่าเป็นการทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งสำคัญ เมื่อทุกหน่วยงานในกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคลในเครือกรุงศรี ผนึกกำลังกันจะทำให้การดูแลลูกค้าทำได้ดีขึ้นอย่างมาก โอกาสที่ลูกค้าจะเกิดการใช้บริการต่อเนื่องก็มากขึ้นตามไปด้วย โดยที่การปรับตัวภายในองค์กรเองไม่ได้ยุ่งยากมาก เพราะมีวัฒนธรรมองค์กรที่ใกล้เคียงกันในทุกส่วนเป็นทุนเดิม โดยทุกหน่วยธุรกิจต่างก็ให้ความสำคัญกับความต้องการและประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ทำให้มองเป้าหมายเดียวกันซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในการเดินตามแผนกลยุทธ์นี้

“เมื่อเรารวมกัน เราจะมีโอกาสมากในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้าได้อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้ายิ่งขึ้นได้ในอนาคต” พงษ์อนันต์กล่าว “เรามั่นใจกับ ‘กลยุทธ์ Krungsri One Retail’ มาก เพราะที่ผ่านมาหลังเริ่มทำงานมาแล้วประมาณ 1 ปี ลูกค้ามีความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการให้บริการรูปแบบนี้ของเรา เพราะช่วยให้เรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นจริง ๆ ”

เป้าหมายของกรุงศรีจากกลยุทธ์นี้ที่วางเป้าการเติบโตไว้ภายในปี 2567

1.ขยายฐานลูกค้ากรุงศรี – จากปัจจุบันมีฐานลูกค้า 12 ล้านราย เพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านราย

2.จำนวน Mobile Users เติบโต – จากปัจจุบันมีผู้ใช้ 9 ล้านราย เพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านราย

3.เติบโตและขยายธุรกิจกรุงศรีในต่างประเทศ – กรุงศรีจะรุกต่างประเทศด้วยธุรกิจลูกค้ารายย่อยซึ่งบริษัทมีความชำนาญ โดยปัจจุบันมีหลายประเทศที่น่าสนใจ เช่น สปป.ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เป็นต้น

“กรุงศรียังมุ่งจะพัฒนาธุรกิจการเงินเพื่อรายย่อยในทุกมิติและเชื่อมโยงสู่อาเซียน เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กรุงศรีก้าวสู่ ‘เป็นสถาบันการเงินหลักที่ลูกค้าใช้บริการสำหรับลูกค้ารายย่อย’ ได้ในไม่ช้านี้” พงษ์อนันต์ กล่าวทิ้งท้าย

เชื่อแน่ว่าด้วยการผสานความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญของทุกหน่วยธุรกิจที่ดูแลลูกค้ารายย่อยในเครือกรุงศรีเข้าด้วยกัน ด้วยเป้าหมายหนึ่งเดียว เพื่อพัฒนาบริการทางการเงินให้ตอบโจทย์ ตรงใจลูกค้ายิ่งขึ้น จะทำให้กรุงศรีมีโอกาสสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายย่อยผ่านกลยุทธ์ใหม่ ‘Krungsri One Retail’ มุ่งเพื่อส่งมอบบริการลูกค้าได้อย่างเหนือชั้นยิ่งขึ้น!

]]>
1408486
7 สุดยอดบริการของ Flash Express ในรอบปี 2563 https://positioningmag.com/1312281 Tue, 29 Dec 2020 03:00:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312281

บริการขนส่งพัสดุกลายเป็นธุรกิจที่มาแรงและน่าจับตามองสำหรับปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะซบเซาด้วยพิษโควิด-19 แต่ธุรกิจขนส่งกลับเป็นช่วงขาขึ้นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค

โดยช่วงที่ผ่านมามีการช่วงชิงตลาดกันอย่างดุเดือด แต่ Flash Express (แฟลช เอ็กซ์เพรส) บริษัทที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจรสัญชาติไทย ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ยืนหนึ่งและยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในห้วงเวลานี้ ด้วยรูปแบบการบริการจัดส่งพัสดุที่หลากหลาย และคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก จึงทำให้มีตัวเลขเติบโตกว่า 400 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2562  โดยในปีนี้  Flash Express การันตีความเป็นสุดยอดผู้ให้บริการด้วยการส่งพัสดุถึงมือลูกค้ามากกว่า 300 ล้านชิ้นทั่วไทย

และนี่คือ 7 สุดยอดบริการที่โดดเด่นจนทำให้ Flash Express เป็นบริการขนส่งพัสดุที่โดนใจผู้บริโภคในปี 2563

  1. เข้ารับพัสดุฟรีถึงบ้าน

1 ใน 7 สุดยอดบริการของแฟลชที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือบริการเข้ารับพัสดุฟรีถึงบ้านโดยไม่มีขั้นต่ำ ส่งเพียงชิ้นเดียวก็ให้บริการ และยังสามารถระบุจุดรับที่ต้องการให้พนักงานเข้ารับพัสดุได้ทุกที่ทั่วไทย จึงไม่ต้องเสียเวลาออกไปส่งพัสดุเองข้างนอก

  1. ค่าส่งสุดคุ้มเริ่มต้นเพียง 18 บาท

นอกจากบริการเข้าไปรับพัสดุฟรีถึงบ้าน แฟลชยังจัดราคาค่าส่งสุดพิเศษเพื่อเอาใจผู้บริโภค ในราคาเริ่มต้นเพียง 18 บาท เมื่อส่งพัสดุในจังหวัดเดียวกันทั่วไทย ยกเว้นแค่จังหวัดกรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี

  1. มีแอปพลิเคชันที่บริการครบครัน

แอปพลิเคชัน Flash Express ทำให้การรับส่งพัสดุของผู้บริโภคสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น เพราะมีบริการครบครัน สามารถเรียกพนักงานเข้ารับพัสดุถึงบ้าน และยังสามารถจัดการพัสดุต่าง ๆ ได้แบบ One Stop Service ซึ่งตอบโจทย์คนที่ขายของออนไลน์อย่างยิ่ง โดยสามารถโหลดแอปฯ ฟรีทุกระบบปฏิบัติการ  Android : https://bit.ly/2BIu9Ar  /  iOS : https://apple.co/388OLy8 และ Huawei : https://bit.ly/2NApSBQ


  1. ส่งของ 365 วันไม่มีวันหยุด

การบริการของแฟลชทำให้การรับส่งพัสดุเป็นเรื่องง่าย และไร้ขีดจำกัด เพราะเปิดให้บริการตลอด 365 วัน ไม่มีวันหยุด จึงสามารถส่งของได้ทุกวัน และรับของได้ทุกวัน ไม่ต้องกังวลว่าจะล่าช้าเพราะติดวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์แต่อย่างใด

  1. บริการเก็บเงินปลายทาง (COD)

อีกหนึ่งบริการที่เหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ คือการบริการส่งพัสดุแบบเก็บเงินปลายทาง (COD) ที่มีค่าธรรมเนียมถูกที่สุดเพียง 2.5% จึงช่วยประหยัดค่าส่งให้กับคนขายของออนไลน์ ยิ่งส่งบ่อย ส่งมาก ก็ยิ่งประหยัดได้มาก

นอกจากนี้ยังสามารถสแกน QR Code เพื่อจ่ายเงินให้กับพนักงานส่งพัสดุได้ด้วย ทำให้ไม่ต้องสัมผัสเงินโดยตรง และไม่ต้องกังวลว่าจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคใด ๆ ในช่วงสถานการณ์ของโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ด้วย

  1. ส่งพัสดุน้ำหนักสูงสุด 50 กก.

การส่งพัสดุชิ้นใหญ่ในราคาเบา ๆ เป็นอีกหนึ่งบริการที่แฟลชจัดให้ลูกค้าในปีนี้ โดยสามารถส่งพัสดุได้ขนาดใหญ่มากขึ้นสูงสุดรวมกัน (กว้าง+ยาว+สูง) ได้ถึง 280 ซม. ขนาดสูงสุดด้านละ 150 ซม. และส่งน้ำหนักได้มากที่สุดถึง 50 กก. โดยสามารถเรียกพนักงานเข้ามารับที่บ้านได้เช่นเดียวกัน

  1. การันตีความเร็วในการส่งได้

บริการ Speed Service ของแฟลช เป็นบริการเสริมที่ช่วยการันตีความเร็วในการจัดส่งให้กับลูกค้า หากใช้บริการดังกล่าวแล้วพัสดุถึงปลายทางเกินกว่าเวลามาตฐานที่กำหนดไว้ ทางแฟลชยินดีดีคืนเงินค่าจัดส่งให้ทันที ซึ่งสามารถใช้บริการนี้ได้บนพื้นที่รับพัสดุทั่วประเทศไทย

ทั้งหมดนี้คือ 7 สุดยอดบริการในปี 2563 ของ Flash Express ที่โดดเด่นจนเป็นที่จับตามองสำหรับบริการขนส่งพัสดุสัญชาติไทยที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง

]]>
1312281
“ธนาคารกรุงเทพ” แต่งตั้ง “เทสโก้ โลตัส” เป็น Banking Agent ฝาก/ถอนได้กว่า 1,800 แห่งทั่วประเทศ https://positioningmag.com/1307322 Wed, 25 Nov 2020 04:00:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307322

ต้องบอกว่ายุคนี้เป็นยุคแห่งการผนึกกำลังเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาวงการธนาคาร และค้าปลีกต่างถูก Disrupt ด้วยเทคโนโลยี และดิจิทัล จึงเกิดเป็นเทรนด์ธนาคารที่อยู่นอกธนาคาร หรือค้าปลีกเองก็ต้องการบริการที่เป็น One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคมากขึ้น

จึงได้เห็นกลยุทธ์ Banking Agent เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เป็นการจับมือกันของธนาคาร และค้าปลีก ในการเป็นตัวแทนของธนาคารในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มจุดให้บริการ และมีเวลาการเปิดให้บริการที่นานกว่าด้วย

ล่าสุด “ธนาคารกรุงเทพ” ได้ประกาศแต่งตั้ง “เทสโก้ โลตัส” เป็น Banking Agent เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญที่ให้บริการธุรกรรมทางการเงิน การร่วมมือกันในครั้งนี้ จะทำให้ลูกค้าของธนาคารกรุงเทพกว่า 17 ล้านบัญชี สามารถฝาก/ถอนเงินสด ผ่านเคาน์เตอร์ชำระเงินของเทสโก้ โลตัส ทั้งสาขาขนาดใหญ่ที่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต และขนาดเล็กที่เป็นโมเดลเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส  เพิ่มเติมจากการทำธุรกรรมที่สาขาและเครื่องฝาก/ถอนเงินสดอัตโนมัติ

โดยปัจจุบันสามารถใช้บริการฝาก/ถอนเงินสดในเทสโก้ โลตัสได้แล้วกว่า 90% หรือมากกว่า  1,800 สาขา และภายในสิ้นปีนี้จะขยายบริการให้ครบทั้งกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ

ความสำคัญของความร่วมมือนี้ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้ามากขึ้น ลดข้อจำกัดในการทำธุรกรรมที่สาขา ไม่จำเป็นต้องเดินหาตู้ ATM สามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินได้ตลอดเวลาที่ต้องการผ่านทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ ด้วยจำนวนสาขาของเทสโก้ โลตัสที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค ที่สำคัญมีระยะเวลาในการทำธุรกรรมได้ยาวนานขึ้น ตามเวลาการเปิดให้บริการที่ยาวนานกว่าการให้บริการของสาขาธนาคารตามปกติ

ปรัศนี อุยยามะพันธ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“ปัจจุบันพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้ามีความหลากหลายมาก และไม่ได้จำกัดอยู่บนเพียงแพลตฟอร์มเดียว บางคนมีเงินสดอยู่ในมือ แต่ต้องการทำธุรกรรมออนไลน์ หรือบางคนมีแอปพลิเคชันแต่จำเป็นต้องใช้เงินสดในเวลานั้นแต่ไม่มีตู้เอทีเอ็ม ดังนั้น การมีพันธมิตรอย่างเทสโก้ โลตัส ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกชั้นนำระดับประเทศ เข้ามาช่วยให้บริการ Banking Agent จะช่วยยกระดับศักยภาพการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น สามารถเชื่อมต่อกันไปมาระหว่างการทำธุรกรรมทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ได้ตลอดเวลา”

ทางด้าน วิณัฏฐา นิภาวงษ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจบริการ เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า

“หนึ่งในจุดมุ่งหมายของเทสโก้ โลตัส คือการเป็น one stop destination ที่ลูกค้าสามารถมาจับจ่ายสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง และยังสามารถประกอบกิจกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างสะดวกสบายภายในจุดเดียว

การร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพในการเป็น Banking Agent ช่วยเติมเต็มบริการที่เทสโก้ โลตัส ส่งมอบให้กับลูกค้าที่เข้ามาช้อปปิ้งในทุกสาขา โดยลูกค้าที่มีบัญชีธนาคารกรุงเทพ จะสามารถทำธุรกรรมฝากและถอนเงินสดได้ผ่านจุดบริการลูกค้าและทุกแคชเชียร์ในเทสโก้ โลตัส สาขาใหญ่ และแคชเชียร์เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรสทั่วประเทศ”

นอกจากนั้น ลูกค้ายังสามารถถอนเงินสดได้จากบัตรเดบิตบีเฟิสต์ สมาร์ท ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งช่วยยกระดับความสะดวกยิ่งขึ้นไปอีก ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการใช้บริการ

และเพื่อเพิ่มความคุ้มค่าให้กับลูกค้า สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการฝาก/ถอนเงินสดผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพพร้อมคลับการ์ด ที่เทสโก้ โลตัส สาขาที่ร่วมรายการ ระหว่าง 1 พ.ย.2563 – 31 ธ.ค. 2563  รับฟรีคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จมูลค่า 15 บาท สำหรับซื้อสินค้าในครั้งต่อไป

]]>
1307322