ไม่มีบริษัทสื่อใดจับจุดสำคัญในการสตรีมมิ่งได้ดีไปกว่า ดิสนีย์ (Disney) โดยในช่วงเวลาไม่ถึง 1 ปี Disney + มีผู้ใช้บริการมากกว่า 60 ล้านคน ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ตัวเลขดังกล่าวเป็นเป้าหมายที่ดิสนีย์วางไว้ 4 ปีด้วยซ้ำ หรือก็คือสร้างการเติบโตให้ได้ 60 ถึง 90 ล้านคนภายในปี 2567 และอย่าลืมว่าบริการดังกล่าวยังไม่เปิดให้บริการทั่วโลก ดังนั้น การเติบโตดังกล่าวจึงน่าประหลาดใจมาก โดยปัจจุบันการสมัครรับข้อมูลสตรีมมิ่งของ Disney+ รวมถึง Hulu และการเติบโตของ ESPN + รวมกว่า 100 ล้านคน
“แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากการระบาดของโรคเราก็สามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่รอบคอบและสร้างสรรค์ในการดำเนินธุรกิจของเรา ในขณะเดียวกัน เราให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาและขยายธุรกิจโดยตรงสู่ผู้บริโภคซึ่งเราเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดและเป็นกุญแจสำคัญในอนาคตของบริษัท” Bob Chapek CEO กล่าว
ทั้งนี้ Chapek แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจโดยตรงสู่ผู้บริโภคมีความสำคัญต่ออนาคตของดิสนีย์เพียงใด หลังจากที่บริษัทเตรียมสร้างบริการสตรีมมิ่งใหม่ภายใต้ชื่อ ‘Star’ ที่จะเปิดตัวในระดับสากลในปีหน้า โดยเชื่อมโยงกับแบรนด์ Star India ที่ Disney ได้มาหลังจากที่เข้าซื้อกิจการของ ‘Fox’ นอกจากนี้ ยังดึง ‘มู่หลาน’ ลงฉายใน Disney + พร้อมกับการฉายในโรงภาพยนตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการใช้งาน Disney + และทดสอบความต้องการในการซื้อแพ็กเกจแบบพรีเมียมสำหรับเนื้อหาระดับพรีเมียมอีกด้วย
ผู้นำด้านพื้นที่สื่อสตรีมมิ่งแบบสมัครสมาชิก (Subscription) ที่ยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไตรมาส 2 ด้วยจำนวน 10 ล้านราย ขณะที่จำนวนสมาชิกในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 15.7 ล้านราย รวมสมาชิกในปัจจุบันกว่า 193 ล้านราย โดยการเติบโตดังกล่าวมีปัจจัยหนุนมาจากมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่าง ๆ เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
แม้ว่า Netflix จะเติบโตขึ้นอย่างมากก็จริง แต่หุ้นกลับตกลงเนื่องจาก Reed Hastings ซีอีโอร่วม ออกมาระบุว่า การเติบดังกล่าวอาจจะไม่ใช่การเติบโตอย่างยั่งยืนหากหมดช่วงล็อกดาวน์ พร้อมคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 จะมีสมาชิกเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านราย โดยนักวิเคราะห์ระบุว่านี่เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในตอนระบาดหนักเมื่อครึ่งปีแรก
“เราต้องการมีคอนเทนต์ฮิตที่มากที่สุด จนเมื่อคุณมาที่ Netflix คุณก็สามารถดูคอนเทนต์ที่ฮิตได้โดยไม่ต้องคิดถึงบริการอื่น ๆ เหล่านั้น”
เมื่อ 2 ปีก่อนบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ‘AT&T’ ประกาศควบรวมกิจการกับ Time Warner และได้เปลี่ยนชื่อเป็น Warner Media ซึ่งเป็นเจ้าของคอนเทนต์ดัง ๆ อย่าง ช่องหนัง HBO ช่องข่าวอันดับ 1 CNN หรือแม้แต่ช่องการ์ตูน Cartoon Network หรือ Boomerang จากนั้น AT&T ก็เดินหน้าลุยตลาดสตรีมมิ่ง โดยเปิดตัวสตรีมมิ่ง ‘HBO’ ตามด้วย ‘HBO Max’ โดย AT&T อธิบายว่าการเปิดตัว HBO Max เป็นความสำเร็จ โดยช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าโดยรวมของ HBO และ HBO Max ได้ 4 ล้านรายในครึ่งปีแรก โดยมีผู้ใช้บริการรวมทั้งหมด 36.3 ล้านราย
อย่างไรก็ตาม ด้วยความซับซ้อนของการให้บริการของ HBO และ HBO Max ส่งผลให้ HBO สูญเสียสมาชิกไปกว่า 2 ล้านคนในไตรมาสแรก แต่ปัจจุบันก็มีสมาชิกใหม่เพิ่มเกือบ 3 ล้านราย
หลังจากเปิดตัวครั้งแรกให้กับสมาชิก Comcast ในช่วงกลางเดือนเมษายนก่อนที่จะเปิดตัวทั่วประเทศในวันที่ 15 กรกฎาคม ‘Peacock’ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งจากค่าย ‘NBCUniversal’ ที่ให้ดูฟรีแต่มีโฆษณา ก็สามารถสร้างผู้ใช้ได้ถึง 10 ล้านรายภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากเปิดตัว Jeff Shell ซีอีโอของ NBCUniversal กล่าวว่า แนวโน้มต่าง ๆ นั้นดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม ยังเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แม้บริการจะเติบโต แต่ทุกคนก็จับตาดูอยู่ว่าหากมาตรการล็อกดาวน์หมดไป จำนวนผู้บริโภคจะไปในทิศทางใดจาก
]]>แพลตฟอร์มยอดฮิตของไทยและของผู้ใช้ทั่วโลก ที่เริ่มต้นมาจากธุรกิจให้เช่า DVD ผ่านทางเว็บไซต์ และแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวด้วยระบบ Movie Recommendation ช่วยแนะนำภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า และพัฒนามาเป็น Online Streaming ในปี 2007 และต่อยอดจนมี Original Content ของตัวเองและเติบโตจนให้บริการกว่า 190 ประเทศ มีผู้ใช้กว่า 160 ล้านราย และคาดว่าปีนี้อาจทะลุ 190 ล้านราย
หนึ่งในบริการดูหนังและซีรีส์ที่เติบโตเร็วสุดของเอเชีย ที่เริ่มให้บริการเมื่อปี 2017 โดยกลุ่มบริษัท PCCW Media (พีซีซีดับเบิลยู มีเดีย) พร้อมได้พันธมิตรเป็น 3 ช่องทีวีจากเกาหลี ได้แก่ SBS, KBS และ MBC ทำให้มีจุดเด่นด้านคอนเทนต์เกาหลีและเอเชีย ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์และรายการวาไรตี้ แถมมาพร้อมกับโมเดล ‘ฟรีเมียม’ ให้ ดูฟรี ไม่เสียเงิน แต่มีโฆษณาและได้แค่ความคมชัดภาพแบบ SD แต่ถ้าอยากดูแบบ Full HD ไม่มีโฆษณา สามารถสมาชิกได้ในราคา 119 บาท/เดือน โดยปีที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการกว่า 41.4 ล้านคน มียอดเข้าชมกว่า 5.7 พันล้านครั้ง จากการให้บริการใน 6 ประเทศ
หลังจากที่ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘เทนเซ็นต์’ ได้ให้บริการแพลตฟอร์ม Tencent Video ในประเทศจีน จนปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 200 ล้านคน/วัน มีออริจินอลคอนเทนต์กว่า 80 เรื่อง ก็มาถึงช่วงขยายการเติบโต โดยเปิดตัว แพลตฟอร์ม ‘WeTV’ ในไทยประเทศแรกต่อจากจีน โดย WeTV มีจุดเด่นด้านซีรีส์จากจีนและเอเชีย ที่น่าจะถูกใจคอภาพยนตร์กำลังภายใน และสาว (วาย) อย่าง ‘ปรมาจารย์ลัทธิมาร’ ซึ่งรูปแบบการใช้บริการมีทั้งดูฟรีและพรีเมียม ถ้าอยากดูชัด ดูเร็ว และไม่มีโฆษณาคั่นก็จัดเลย เดือนละ 59 บาท
ไอฟลิกซ์เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2014 โดยเน้นเจาะตลาดเกิดใหม่เป็นหลักหรือประเทศที่กำลังพัฒนา โดยปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 28 ประเทศ นอกจากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วยังมี ประเทศอื่น ๆ อาทิ เนปาล, บังกลาเทศ, ซิมบับเว, แทนซาเนีย โมร็อกโก และยูกันดา มีสมาชิกรวมกว่า 15 ล้านคน ในส่วนของคอนเทนต์จะเน้นความหลากหลายทั้งฝรั่ง จีน เกาหลี การ์ตูน มีหมด แถมบางคอนเทนต์ยังอัพเดตเร็วมาก ฉายจาก US ไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็มีซับไทยแล้ว ขณะที่รูปแบบการให้บริการก็มีทั้งฟรี iflixFREE และรูปแบบบริการแบบจ่ายค่าบริการสมาชิก ดูได้ไม่อั้นบน iflixVIP ในราคา 100 บาท/เดือน
แอปซีรีส์, ละครย้อนหลังและรายการวาไรตี้ยอดฮิตของคนไทย แถมมีออริจินอลซีรีส์ของตัวเองด้วย และที่ดีงามที่สุดคือ ดูฟรี แต่มีโฆษณานะ
แพลตฟอร์มคอนเทนต์จากโอเปอเรเตอร์ของไทยที่ให้ดูฟรีไม่จำกัดค่าย โดย AIS มี Netflix และ Viu เป็นพันธมิตร และมีคอนเทนต์ครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทีวีสด ภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูน คอนเสิร์ต รวมถึงออริจินอลซีรีส์ ‘คลับสะพานฟาย’ ที่พึ่งเปิดตัวปีนี้ แต่สำหรับใครที่อยากจะดู 10 ช่องพรีเมียม มีค่าบริการที่ 119 บาท/เดือน
เป็นแพลตฟอร์มจากโอเปอเรเตอร์และสามารถดูได้ไม่จำกัดค่ายเช่นกัน แต่ True ID จะมีจุดเด่นที่แตกต่างจาก AIS Play ตรงที่ มีกีฬา ‘พรีเมียร์ลีก’ ให้ชม แน่นอนว่าดูฟรีเฉพาะบางคู่ และสามารถเช่าหนังพรีเมียมได้ในราคา 149 บาท โดยหนังใหม่ใน True ID นั้นมาเร็วมาก แต่หนังฟรีก็มี รวมถึงออริจินอลคอนเทนต์ด้วย เช่น ‘Voice สัมผัสเสียงมรณะ’
แพลตฟอร์มสัญชาติไทยที่ให้ดูฟรี 30 วันเมื่อสมัคร แถมราคาเเพ็กเกจก็หลากหลาย ทั้งรายวัน 9 บาท รายเดือน 150 บาท และรายปี 1,500 บาท โดยคอนเทนต์ที่โดดเด่นจะเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ Hollywood โดยเฉพาะพวกซีรีส์สืบสวนสอบสวน และรายการดัง ๆ จากฝั่งอเมริกา อย่าง hell kitchen, Master Chef และด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มคนไทย แน่นอนว่าคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะพากย์ไทยด้วย
คงไม่ต้องบอกสรรพคุณ ใครที่เป็นแฟนหนังและซีรีส์ในช่อง Mono29 ก็ตามไปดูต่อกันผ่านแพลตฟอร์มได้ ล่าสุดเตรียมเอาซีรีส์ “WESTWORLD Season 3” (เวสต์เวิลด์ ซีซั่น 3) มาลงด้วย แฟน ๆ ก็ตามรอได้เลย ใครสนใจก็สมัครดูได้ ให้ดูฟรี 30 วันเช่นกัน ใครติดใจก็สมัครต่อได้ในแพ็กเกจ 250 บาท/เดือน และ 2,500 บาท/ปี
แพลตฟอร์มที่มีจุดยืนชัดเจน ว่ารวบรวมคอนเทนต์จากญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ‘การ์ตูน’ ไม่ว่าจะเป็นฮีโร่ มาส์กไรเดอร์ ขบวนการเซ็นไท อุลตร้าแมน กันดั้ม อีกทั้งยังมีรายการแนวพาเที่ยว พาชิม บันเทิงวาไรตี้สนุก ๆ มากมาย โดยบริษัท ฟลิกเซอร์ จำกัด ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มมีพาร์ตเนอร์รายใหญ่เป็น บริษัทดรีม เอกซ์เพรส หรือ DEX ที่เป็นผู้นำด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากญี่ปุ่นในไทยมานานกว่า 18 ปี โดย Flixer สามารถดูฟรีและแบบพรีเมียมในราคา 89 บาท
แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งจาก POPS Worldwide (ประเทศไทย) ที่เปิดตัวในเวียดนามปีที่ผ่านมา และเตรียมขยายให้ครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย POPS จะคล้าย ๆ Flixer ที่เน้นคอนเทนต์การ์ตูน แต่เป็นฝั่งซูเปอร์ฮีโร่อเมริกัน อาทิ ไอรอนแมน (Ironman) วูล์ฟเวอรีน (Wolverine) เอ็กซ์เมน (X-MEN) เบลด (BLADE) และออริจินัลคอนเทนต์ที่มีพันธมิตรเป็นเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ อย่าง บี้-เดอะสกา, ต่อ-ตอปิโด หรือทีมอีสปอร์ตระดับท็อปของไทยอย่าง เบคอน ไทม์ โดยสามารถดูฟรี
จากลิสต์รายชื่อ ดูเหมือนจะมีแค่ ‘Netflix’ รายเดียวที่เป็นรายใหญ่ระดับโลก ที่เหลือเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาคและผู้ให้บริการในไทย ขณะเดียวกัน ผู้เล่นรายใหญ่ที่ยังไม่มาไทยก็กำลังเดินหน้าทำตลาดอื่น ๆ ในโลก อาทิ Disney + ของ Disney เจ้าของแฟรนไชส์พันล้านอย่าง Marvel และ Star wars, Amazon Prime Video โดย Amazon, Apple TV+ จาก Apple, HBO Max เจ้าของซีรีส์สุดฮิตอย่าง Game of throne และ Hulu นอกจากนี้ยังมีรายที่ยังไม่เปิดตัวอย่าง Peacock โดย NBCUniversal และไม่ใช่แค่ฝั่งยุโรป แต่เอเชียก็ยังมีผู้เล่นรายใหญ่ ๆ อีกนอกจาก ‘เทนเซ็นต์’ ที่เปิดตัว WeTV ในไทย อาทิ iQiyi (อ้ายฉีอี้) ฉายา Netflix ของจีน โดยมีเจ้าของคือ Baidu และ YouKu โดย Alibaba
ขนาดยังมาไม่ครบ ก็ทำเอาผู้เล่นระดับภูมิภาคไปแล้ว ถ้าวันที่ผู้เล่นเหล่านี้ทำตลาดครบทุกประเทศ ผู้เล่นที่เล็กกว่าจะใช้แผนไหนเพื่อสร้างรายได้ให้อยู่รอด คงต้องรอดูกันยาว ๆ
#Netflix #Viu #HOOQ #WETV #LINETV #iFlix #Doonee #MONOMAX #Flixer #Pops #TrueID #AISPlay #Disney+ #AmazonPrimeVideo #AppleTV+ #HBOMax #Hulu #Peacock #iQiyi #YouKu #Positioningmag
]]>