Pizza – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 08 Jul 2024 03:33:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 7-Eleven ในญี่ปุ่นเตรียมเปิดบริการให้ลูกค้าสั่งพิซซ่าจากร้านได้ในบางพื้นที่ แถมมีแผนขยายไปยังทั่วประเทศ https://positioningmag.com/1481696 Sun, 07 Jul 2024 10:10:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481696 7-Eleven ในประเทศญี่ปุ่น ได้เปิดบริการให้ลูกค้าสามารถที่จะสั่งพิซซ่าอบร้อนจากร้านสะดวกซื้อได้ ซึ่งลูกค้าจะเริ่มต้นสามารถใช้บริการดังกล่าวได้ในช่วงเดือนสิงหาคม และจะมีการขยายสาขาเพิ่มเติมหลังจากนี้

7-Eleven ในประเทศญี่ปุ่น เตรียมหารายได้จากธุรกิจใหม่ๆ ล่าสุดบริษัทเตรียมนำสาขามากถึง 12,000 สาขาใน 3 เขตใหญ่ของประเทศให้บริการในการส่งพิซซ่าอบร้อน ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งผ่านแอปพลิเคชัน 7 Now และตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมหลังจากนี้

ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ 7-Eleven ในประเทศญี่ปุ่นในสาขาในเขต Hokkaido เขต Kyushu รวมถึงเขต Kanto มากถึง 12,000 สาขาจะพร้อมให้บริการพิซซ่าอบร้อนส่งถึงบ้านของลูกค้า โดยค่าส่งพิซซ่าจะอยู่ในช่วง 110 เยน จนถึง 550 เยน

โดยระยะเวลาในการจัดส่งพิซซ่าของทางบริษัทนั้นจะอยู่ในช่วง 30 นาที แต่ทางบริษัทได้กล่าวว่าจะพยายามส่งพิซซ่าให้ได้ไวที่สุดภายใน 20 นาที

ผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่นสามารถเริ่มสั่งพิซซ่าอบร้อนจากร้านสะดวกซื้อรายดังกล่าวในช่วงเริ่มต้นจะมีพิซซ่า 2 หน้าให้เลือกคือหน้าไก่เทอริยากิในราคา 880 เยน กับ หน้ามาร์การิต้าในราคา 780 เยน ซึ่งผู้บริหารของบริษัทในประเทศญี่ปุ่นกล่าวว่าหน้าพิซซ่าทั้ง 2 เป็นหน้าที่คนญี่ปุ่นต้องการรับประทานมากที่สุด

ในช่วงที่ผ่านมา 7-Eleven ในญี่ปุ่นได้ปรับตัวในด้านธุรกิจ และมีบริการใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการ Delivery หรือแม้แต่การวางจำหน่ายสินค้าประเภทใหม่ๆ เพื่อที่จะเจาะกลุ่มลูกค้า หรือแม้แต่ขยายรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น

แผนของ 7-Eleven ในประเทศญี่ปุ่นยังเตรียมที่จะขยายบริการดังกล่าวไปยังส่วนที่เหลือภายในประเทศในภายหลัง ซึ่งขึ้นกับการขยายบริการในส่วนของแอปฯ 7 Now ของบริษัทด้วย

ที่มา – Yahoo News Japan, Asahi Shimbun, SoraNews24

]]>
1481696
ถึงเวลา ‘The Pizza Company’ ดึง ‘แป้งบางนุ่ม’ ใช้ถาวร หวังเป็นทางเลือก ‘ตรงกลาง’ ให้ลูกค้า https://positioningmag.com/1410353 Tue, 29 Nov 2022 09:47:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410353 ถ้าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ ‘The Pizza Company’ แล้วก็น่าจะรู้ว่าปกติแป้งพิซซ่าของทางร้านจะมี หนานุ่ม กับ บางกรอบ ให้เลือก หากไม่นับขอบต่าง ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะทานแป้งหนานุ่ม เพราะแม้จะอิ่มแต่ก็แอบรู้สึกผิดนิด ๆ ที่ทานแป้งเยอะเกินไป แต่ถ้าจะสั่งแป้งบางกรอบก็ไม่อิ่ม ด้วยอินไซต์ของลูกค้าตรงนี้ ก็ถึงเวลาของ แป้งบางนุ่ม ที่จะกลายมาเป็นแป้งใหม่ของทางร้านเป็นตรงกลางให้ลูกค้าได้เลือก

จากขายเฉพาะช่วงสู่แป้งถาวร

ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เล่าว่า หนึ่งในจุดที่ทำให้ The Pizza Company ครองตำแหน่งผู้นำในตลาดพิซซ่าประเทศไทยได้ยาวนานถึง 21 ปีก็คือ แป้งหนานุ่ม บางกรอบ และ ขอบชีส ที่เป็นสูตรสำเร็จโดยสัดส่วนการบริโภคในปัจจุบัน แป้งหนานุ่มอยู่ที่ 50% ตามด้วยบางกรอบ 30% และขอบชีส 20% อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะชอบแป้งทั้ง 3 ชนิดนี้ แต่ต้องการแป้งที่อยู่ ตรงกลาง ระหว่างหนานุ่มและบางกรอบ

“ปกติวัยรุ่น ต้องการความอิ่มท้องจะเลือกแป้งหนานุ่ม คนที่มีอายุหน่อยเริ่มดูแลสุขภาพก็จะเลือกบางกรอบ แต่เราพบอินไซต์ของลูกค้าบางคนว่า อยากกินแป้งหนานุ่มนะ แต่แป้งเยอะไป ส่วนบางกรอบมันก็กินไม่อิ่ม ดังนั้น เรายังอยากเป็นผู้นำตลาด เราต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้ เลยทำให้เกิดแป้งบางนุ่มออกมา”

ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี

ย้อนไปช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2563 ช่วงที่ COVID-19 กำลังระบาดใหม่ ๆ ทาง The Pizza Company ก็ได้ออกเมนูใหม่ นิวยอร์ก พิซซ่า ที่มีขนาดใหญ่ 18 นิ้ว พร้อมกับแป้งโฮมเมดแบบสูตรใหม่ที่เรียกว่า นิวยอร์กบางนุ่ม แม้เมนูดังกล่าวจะได้รับผลตอบรับที่ดีมาก โดยแค่เพียงแค่ 14 วันที่เปิดตัวก็สามารถทำยอดขายได้เกือบ 100 ล้านบาท หรือมียอดจำหน่าย 200,000 ถาด

ด้วยความสำเร็จดังกล่าว ประกอบกับความต้องการของลูกค้า ทำให้ The Pizza Company เลือกจะนำแป้งบางนุ่ม มาใช้เป็น แป้งถาวร ไม่ได้มีขายเฉพาะแคมเปญอีกต่อไป และตัวแป้งใหม่นี้จะไม่ได้เหมือนแป้งนิวยอร์กบางนุ่ม แต่มีการปรับสูตรใหม่ให้ดีกว่าเดิม

โดยพิซซ่าแป้งนิวยอร์กบางนุ่มจะมีจำหน่าย 2 ขนาด ได้แก่ 12 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดใหม่ของพิซซ่าแป้งนิวยอร์ก สามารถ สั่งกลับบ้านได้ และขนาด 18 นิ้ว สำหรับทานที่ร้านเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมี 3 หน้าใหม่ ได้แก่ พิซซ่าหน้ากริลล์ฮาวายเอี้ยน พิซซ่าหน้าไส้กรอกและชีส และพิซซ่าหน้าซีฟู้ดซาวครีม โดยจะเป็นการนำหน้ายอดนิยมมาปรับใหม่ให้พรีเมียมมากขึ้น ราคาเริ่มต้น 499 บาท

Pizza = Sharing Moment

หนึ่งในสาเหตุที่มาเปิดตัวเมนูใหม่ในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ ขายดีที่สุด รองจากช่วงที่มีแคมเปญ 1 แถม 1 เพราะเป็นไฮซีซั่นที่มีการเฉลิมฉลองไม่ว่าจะเป็น คริสต์มาส, วันพ่อ, วันปีใหม่ ซึ่งพิซซ่าเป็นหนึ่งในเมนูที่ลูกค้ามักเลือกหากต้องการเฉลิมฉลอง การจัดปาร์ตี้ในช่วงเวลานั้น ๆ

โดย ปัทม์ มองว่า การทานพิซซ่าเป็นเหมือนตัวแทนของ Sharing Moment ทำให้ในช่วงทุกวันที่ 1 และ 16 ซึ่งเป็นช่วงประกาศผลสลากกินแบ่งรัฐบาลจะมียอดคำสั่งซื้อมากเป็นพิเศษ หรืออย่างในช่วงที่มี ฟุตบอลโลก ทาง The Pizza Company ได้ขยายช่วงเวลาบริการจากเที่ยงคืนเป็นตี 2 ซึ่งก็เห็นยอดคำสั่งซื้อในช่วงเวลาดึก ๆ เพิ่มขึ้นพอสมควร

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วกว่าที่เคย

ปัทม์ ยอมรับว่า ตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก ตอนนี้คนชินกับการใช้เดลิเวอรี่หรือสั่งกลับบ้าน ส่วนการทานในร้านก็เริ่มกลับมาขึ้น ทำให้ The Pizza Company ต้องทำการรีเสิร์ชอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ และลงรายละเอียดมากขึ้นในทุกช่องทาง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการจัดโปรโมชัน

โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา The Pizza Company จะเน้นการจัด โปรโมชันที่แตกต่างกันในแต่ละช่องทาง โดยจะนำเสนอในด้านของ ความคุ้มค่า และ customer journey เช่น 1 แถม 1 ยังทำต่อเนื่องในช่วงกลางปี หรือ การจัดเซต สำหรับทานหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้าสามารถควบคุมวงเงินที่จะจ่ายแต่ละมื้อ ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคทานที่ร้าน

นอกจากนี้ การเพิ่ม เมนูใหม่ ก็ช่วยได้ เพราะ The Pizza Company จะมีกลุ่มลูกค้า 25% ที่จะกลับมาสั่งสินค้าเมื่อมีใหม่ ๆ ไปทดลองเสมอ ดังนั้น ในแต่ละปีจะมีเมนูใหม่ 7-10 เมนู เพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มนี้

Call Center ยังมีคนใช้

สำหรับช่องทาง Call Center 1112 ที่ The Pizza Company ถือเป็นรายแรกที่ให้บริการ ซึ่งปัจจุบันก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยส่วนใหญ่จะเป็นการ สั่งออเดอร์จำนวนมาก หรือ ลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัด ที่ต้องการคำแนะนำ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็จะเน้นสั่งผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เพราะเขามองว่าการคุยกับพนักงานใช้เวลานานมากกว่า และการสั่งผ่านเว็บหรือแอปสามารถเห็นรายละเอียดการสั่งได้ครบถ้วนกว่า โดยปัจจุบันการสั่งผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันมีสัดส่วนประมาณ 50%

สำหรับบริการเดลิเวอรี่ปัจจุบันให้บริการครอบคลุม 75 จังหวัดในไทยแล้ว ยกเว้นแม่ฮ่องสอนที่ยังไม่มีสาขา และปัตตานี โดยทาง The Pizza Company ต้องการจะเน้นให้ช่องทางเดลิเวอรี่ของบริษัทเป็นทางเลือกหลัก โดยการันตีคุณภาพด้วยกระเป๋าอุ่นร้อน จัดส่งภายใน 30 นาที และราคาว่าดีที่สุด

“ตอนนี้ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เรามั่นใจว่าครอบคลุม 100% แล้ว ดังนั้น ปีหน้าเราจะขยายในเมืองรองและชุมชนต่าง ๆ และจะเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เพื่อตอบบโจทย์การซื้อกลับบ้านมาก และสามารถเข้ามาทานที่ร้านได้บ่อยยิ่งขึ้น”

Photo : Shutterstock

มั่นใจเติบโตอย่างน้อย 30%

สำหรับภาพรวม 2022 นี้เมื่อเทียบกับปี 2019 ก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 ช่องทาง เดลิเวอรี่เติบโต 30% ส่วน ทานที่ร้านเติบโต 50% ปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ย 500-600 ล้านบาทต่อเดือน ลูกค้าใช้จ่ายเฉลี่ย 500-550 บาทต่อบิล โดยคาดว่าปีนี้ The Pizza Company จะสามารถเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% และในช่วงเดือนธันวาคมคาดว่าจะเติบโตได้ 15-20% จากเมนูพิซซ่านิวยอร์ก แป้งบางนุ่ม หรือมีรายได้ประมาณ 580-620 ล้านบาท

“ปีนี้ไม่มีปัจจัยลบอะไร แถมนักท่องเที่ยวยังกลับมาประมาณ 80% ดังนั้น เรามั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามเป้า ส่วนตลาดพิซซ่าในปัจจุบันคาดว่ามีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาทและยังเติบโต เนื่องจากมีผู้เล่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะพิซซ่าสไตล์โฮมเมด ส่วน The Pizza Company ยังเป็นเบอร์ 1 ครองส่วนแบ่งตลาด 70-75%”

ปีหน้าขยายเพิ่ม 50 สาขาและดูเด็กลงจนรู้สึกได้

สำหรับการขยายสาขาในปีหน้า The Pizza Company มีแผนจะขยายเพิ่มอีก 30-50 สาขา โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ และเมืองรองในต่างจังหวัดเท่า ๆ กัน โดยทำเลที่เลือกนั้นจะเน้นแหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน เป็นหลัก และจะ ใช้พื้นที่เล็กลง รวมถึงจะมีการปรับหน้าร้านให้ดู เด็กลง จนรู้สึกได้

“ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้ขยายหน้าร้านเลย จากนี้เราเลยมีแผนจะขยาย 30-50 สาขา/ปี แต่จะใช้พื้นที่เล็กลง และปรับลุคให้เด็กขึ้น แต่ตอนนี้เรายังไม่อยากให้รายละเอียด ต้องรอความชัดเจนก่อน”

จากนี้คงต้องรอดูว่า เมนูใหม่ที่กระตุ้นให้ซื้อได้บ่อยขึ้น จะเป็นอย่างไร และลุคที่ เด็กลง จะเด็กลงแค่ไหน ปีหน้าได้เห็นแน่นอน!

]]>
1410353
ชำแหละกลยุทธ์ ‘ชิค-อะ-บูม’ จากเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ลั่นกลองรบด้วย ‘ไก่ชิ้นใหญ่’ ท้าชน ‘KFC’ https://positioningmag.com/1383453 Fri, 29 Apr 2022 09:45:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383453 ย้อนไปช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา The Pizza Company ก็ได้แตกแบรนด์ไก่ทอด ‘ชิค-อะ-บูม’ (Chick-A-Boom) จากปกติที่ร้านได้มีขายเมนู ปีกไก่บาร์บีคิว ซึ่งถือว่าเป็นเมนูที่หลายคนสั่งคู่กับพิซซ่าจนครองสัดส่วนยอดขายถึง 10% แต่จากการที่ทดลองขายได้ประมาณ 1 ไตรมาส ก็ถึงเวลาที่จะรุกตลาดไก่ทอดอย่างจริงจัง โดยไม่ได้ขายแค่ไก่ชิ้นเล็ก แต่มาขายไก่ใหญ่เต็มตัว

ก้าวสู่สงครามไก่ทอดเต็มตัว

ในตอนแรกที่ The Pizza Company เปิดตัว ไก่ทอด ชิค-อะ-บูม หลายคนอาจจะมองว่าเป็นแค่กิมมิกทางการตลาด มาเพื่อสร้างสีสัน เพราะก่อนนี้เมนูไก่ก็มีแค่ ปีกไก่บาร์บีคิว, ปีกไก่ทอดสไตล์เกาหลี แถมไก่ทอดชิค-อะ-บูม ยังทำแค่ ปีกไก่ชิ้นเล็ก แต่พอชิค-อะ-บูม หันมาจับตลาดไก่ชิ้นใหญ่ด้วย Chick-A-Boom Big Chick (ชิค-อะ-บูม บิ๊กชิค) แปลว่าแบรนด์กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดไก่ทอด (QSR) เต็มตัว

สาเหตุที่ชิค-อะ-บูมเริ่มมาทำไก่ใหญ่ ภานุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป็นเพราะฟีดแบ็กจากลูกค้า ที่บ่นว่า “ทำไมไม่ทำไก่ทอดชิ้นใหญ่ รู้ไหมว่าเขาต้องเสียเวลาสั่งไก่ทอดอีกรอบ” ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกที่เปิดตัวไก่ทอดชิค-อะ-บูมไป ก็ได้ผลตอบรับที่ดี มีอัตราการเติบโตถึง 70% จนทำให้ยอดขายปีกไก่บาร์บีคิวลดลงไปถึง 10%

“เราแตกเป็นชื่อแบรนด์ชิค-อะ-บูม เพราะต้องการให้คนแยกระหว่างเรากับพิซซ่า เพราะ The Pizza มาทำไก่ ความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวจริงมันก็ยังอยู่ เราเลยต้องแตกแบรนด์ที่สื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไก่ออกมาจริง ๆ แต่เราก็มีศักดาที่ออกมาจากแบรนด์ใหญ่”

ภานุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด จำกัด (มหาชน)

ขายความพรีเมียม เน้นสร้างแบรนด์

ปัจจุบัน ตลาดไก่ทอด QSR มีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แบรนด์เบอร์ 1 มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 65% อย่างไรก็ตาม ในตลาดไก่ทอดมีความน่าเบื่อ มีรสชาติเดิม ๆ แถมตลาดยังเน้นที่โวลุ่มมากกว่าคุณภาพ ดังนั้น จะเห็นว่าแต่ละแบรนด์อัดโปรกันอย่างหนักเพื่อช่วงชิงตลาด จนปัจจุบันราคาเฉลี่ยเหลือแค่ชิ้นละไม่ถึง 30 บาท ดังนั้น ชิค-อะ-บูมจะเน้นไปจับตลาดพรีเมียมมากกว่าจะไปเล่นเรื่องราคา โดยจะโฟกัสลูกค้า The Pizza เป็นหลักก่อน

“เราก็พยายามทำราคาให้ดีเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาลอง โดย Chick-A-Boom Big Chick เริ่มต้นที่ชิ้นละ 45 บาท, 2 ชิ้น ราคา 89 บาท, 5 ชิ้น ราคา 219 บาท และ 10 ชิ้น ราคา 419 บาท จะเห็นว่าราคาสูงกว่าคู่แข่งเกือบเท่าตัว แต่เราจะไม่ลดราคาเพื่อเน้นทราฟฟิก หรือให้ความสำคัญกับการขายมากกว่าสร้างแบรนด์”

ที่ผ่านมา ยอดใช้จ่ายของลูกค้า The Pizza ในร้านเฉลี่ยอยู่ที่ 600 บาท/บิล หรือ 200 บาท/คน ส่วนใหญ่มา 3-4 คน ส่วนช่องทางเดลิเวอรี่จะมียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 500 บาท/บิล ส่วนแบรนด์เบอร์ 1 ในตลาดไก่ทอดมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 150 บาท จะเห็นว่ากลุ่มลูกค้าของ The Pizza มีกำลังซื้อมากกว่า

“เราเล่นตลาดเดียวกับเขาไม่ได้ เพราะต้นทุนเราแพงกว่า เหมือนกับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีแบรนด์พรีเมียมออกมา ก็สร้างความปั่นป่วนให้ตลาด เราเลยเชื่อว่าเอาโปรดักส์ที่ใช่ไปในกลุ่มที่ใช่จะสามารถสร้างความต่างได้ ซึ่งถ้าของดีจริงลูกค้าพร้อมจะจ่าย เพราะเขามองหาความอร่อย”

ขอเวลา 3 ปีพิสูจน์ตัวเอง

ที่ผ่านมา The Pizza ได้เปิดขายไก่ทอดชิค-อะ-บูม ในสาขาของ The Pizza Company ที่เป็นรูปแบบ Restaurant กว่า 220 สาขา (จากสาขา The Pizza Company ทั้งหมด 416 สาขา) โดยให้บริการในรูปแบบ Dine-in และ Take Away รวมทั้งมี ‘Chick-A-Boom Pop-up Store’ (ชิค-อะ-บูม ป็อปอัพ สโตร์) โดยออกแบบเป็น Shop in Shop จำนวน 15 สาขาภายในร้าน The Pizza Company ที่เป็นรูปแบบ Full Service Restaurant ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

อย่างไรก็ตาม The Pizza มองว่าถ้า 3 ปีจากนี้แบรนด์ชิค-อะ-บูม ได้รับการตอบรับที่ดี สามารถรักษาการเติบโตของตัวเองได้ก็ มีโอกาสที่จะแตกแบรนด์ออกมา ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากสินค้ากลุ่มไก่ที่มีประมาณ 9 SKU ที่ 1,500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาทำรายได้ 800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้งบการตลาดประมาณ 50 ล้านบาท

“ในตลาด Food ตอนนี้ถ้าภายใน 3 ปีอยู่ไม่ได้ก็ไปต่อไม่ได้ ถ้าเราสามารถสร้างการเติบโตของตัวเองได้ สร้างกำไรได้เราก็มีโอกาสแตกแบรนด์ออกมา ซึ่งเรามั่นใจว่าสินค้าเราดี เราอาจไม่ได้ทำไก่มาเป็นร้อยปี แต่เรามั่นใจเรื่องแป้ง เพราะเราทำพิซซ่า เราอยู่กับแป้งมาเป็นร้อยชนิด และเรารู้ว่าลูกค้าเราต้องการอะไร”

เลิกหวังลูกค้ากลับร้าน

แม้ว่าปีที่ผ่านมา The Pizza Company จะมีการเปิดโมเดลใหม่ The Pizza Company Signature เรียกว่าเป็นการปรับโฉมทั้งตัวร้าน และเมนู เพื่อกระตุ้นยอดขายการมาทานที่ร้านโดยเฉพาะ ซึ่งเมนูของที่นี่จะไม่มีบริการเดลิเวอรี่ แต่ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายโดยรวมของ The Pizza Company มาจากช่องทาง Delivery ถึง 50% Take Away 30% ส่วน Dine-in 20% จากก่อนที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ทั้ง 3 ส่วนเท่า ๆ กันหมด

ทำให้ The Pizza Company เริ่มมองว่าควร ไปตามน้ำ มากกว่า เพราะมองว่าตอนนี้คงไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว อย่างก่อนหน้านี้เมนูไก่ชิค-อะ-บูมจากเดิมที่ขายเฉพาะ Dine-in ปัจจุบันก็ให้บริการผ่าน Delivery แล้ว

“ตอนนี้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปแล้ว เราจะไปเปลี่ยนกลับคงไม่ถูก ดังนั้นลูกค้าชอบแบบไหนเราควรไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า เราเลยไปเน้นในส่วนที่มันเติบโตดีกว่า โดยจะเน้นที่ชาแนลของเป็นหลัก เพราะเราควบคุมคุณภาพและเวลาได้ จากนี้จะมีแคมเปญใหญ่ด้านเดลิเวอรี่ออกมา”

Photo : Shutterstock

ความท้าทายใหญ่พิซซ่าไม่ใช่ตัวเลือกแรก

สำหรับตลาดพิซซ่าในไทยนีลเซ่นระบุว่ามีมูลค่าราว 15,000 ล้านบาทเติบโต 3% ส่วน The Pizza Company ครองส่วนแบ่งการตลาด 75% โดยในปีที่ผ่านมาเติบโตประมาณ 6% สำหรับในปี 2022 แม้ไตรมาสแรกจะสามารถเติบโตได้ 7% แต่เพราะมีแคมเปญ ซื้อ 1 แถม 1 ช่วยกระตุ้น ดังนั้น ในช่วงไตรมาส 2-3 คงจะไม่ได้เติบโตเท่ากับไตรมาสแรก และอาจจะเริ่มกลับมาช่วงไตรมาส 4 หากมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น ดังนั้น ตั้งเป้าว่าภาพรวมทั้งปีจะทรงตัวที่ 7,000 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา

แม้ The Pizza จะยังเติบโตได้แต่ความท้าทายคือ ตลาดอาหารเริ่มเปิด พิซซ่าไม่ใช่ตัวเลือกแรกอีกต่อไป ดังนั้น แบรนด์เองก็ต้องพยายามหาเมนูใหม่ ๆ แคมเปญใหม่ ๆ มาเพื่อกระตุ้นตลาด ส่วนอีกความท้าทายของการตลาดไก่ทอดคือ การแข่งขันกับเบอร์ 1 ที่งบในการทำตลาดเยอะกว่า แต่เชื่อว่าด้วยกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนจะสร้างโอกาสให้กับแบรนด์

]]>
1383453
กินจน ‘เบื่อ’ ตั้งแต่ล็อกดาวน์ โจทย์ใหญ่ ‘The Pizza Company’ ต้องใช้มากกว่า 1 แถม 1 แก้เกม https://positioningmag.com/1300636 Thu, 08 Oct 2020 12:01:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1300636 ในช่วงล็อกดาวน์ ตัวเลือกแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่จะสั่งอาหารมาทานที่บ้านคงหนีไม่พ้น ‘พิซซ่า’ เพราะง่ายและคุ้ม ยิ่งมีโปร ‘1 แถม 1’ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่นั่นก็ถือเป็นปัญหาของ ‘The Pizza Company’ ที่จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคหันมาทานพิซซ่าอีกครั้งแม้จะกินไปเยอะในช่วงล็อกดาวน์ และไม่ปันใจไปกิน ‘ชาบู’ หรือ ‘หมูกระทะ’ แทน

อัดแคมเปญเดือนเว้นเดือน

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด ยอมรับว่าหลัง COVID-19 มาตลาดค่อนข้างเงียบ อีกทั้งการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ พิซซ่าแบรนด์อื่น แต่เป็นร้านชาบู, หมูกระทะ ฯลฯ เนื่องจากคน ‘เบื่อ’ ที่จะกินพิซซ่า แต่โหยหาอาหารที่ไม่มีบริการเดลิเวอรี่ในช่วงล็อกดาวน์ ส่งผลให้บริษัทต้องเปิดตัวสิน้คาใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ‘พิซซ่า พัฟ’ หรือล่าสุดที่ได้รับการตอบรับดีมากคือ พิซซ่าสไตล์นิวยอร์กขนาดยักษ์ 18 นิ้ว ที่ช่วยดึงลูกค้าเข้าร้านได้ถึง 80% จากเดิมที่มีเพียง 30% หลังคลายล็อกดาวน์ ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้เเคมเปญประสบความสำเร็จก็คือ การได้ ‘อัพรูป’ ลงโซเชียลฯ และความ ‘คุ้ม’

อย่างไรก็ตาม ความท้าทาย คือ เมนูใหม่ที่ออกมีอายุสั้นลงเรื่อย ๆ จากเดิมที่กระตุ้นยอดขายได้ราว 6 เดือน ตอนนี้ก็เหลือ 2-3 เดือนเท่านั้น เนื่องจากผู้บริโภคชอบอะไรที่คุ้นเคย ไม่ชอบลองอะไรใหม่ ๆ อย่างอดีตที่เคยมี 30 เมนู แต่ปัจจุบันมี 13 เมนู นอกจากนี้อาจเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่ ๆ การตกแต่งร้านใหม่ และหาอะไรที่เป็นเซอร์วิสที่ลูกค้าชอบ

ในปีหน้าเราต้องคิดมากขึ้น เพราะตอนนี้โปร 1 แถม 1 เยอะมาก ขณะที่เปิดมาเขาเบื่อ เพราะล็อกดาวน์สั่งแต่พิซซ่า มาร์เก็ตติ้งต้องทำงานหนักมากขึ้น กลยุทธ์ตอนนี้ต้องมีเดือนเว้นเดือนเพื่อกระตุ้นตลาด”

ภาณุศักดิ์ ซื่อสัตย์บุญ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด

‘สีสัน’ ต้องมี แต่ความ ‘คุ้ม’ ก็ขาดไม่ได้

ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวแคมเปญ พิซซ่าซึ้ง ๆ มาให้เธอ ผ่านกิมมิกพิเศษที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกข้อความเพื่อบอกแทนความในใจ ไม่ว่าจะทานที่ร้าน แวะซื้อกลับบ้าน รวมถึงบริการจัดส่งถึงบ้าน ทั้งนี้ ข้อความต่าง ๆ มีทั้งหมด 21 ข้อความ 7 หมวดหมู่ อาทิ การให้กำลังใจกัน บอกรัก ขอบคุณ หรือแม้แต่แอบรัก ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นได้จากการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า นอกจากนี้ยังร่วมมือกับวง Tilly Birds มาขับร้องซิงเกิลรีเมค ‘ให้เธอ’ เพลงดังของ โต๊ะ วสันต์ โชติกุล พร้อมกับมิวสิกวิดีโอตัวใหม่

“ที่เราทำแคมเปญนี้ก็เพื่อสร้างสีสันเพราะเรามองว่าคนเครียด อีกอย่างแคมเปญนี้ก็จะช่วยให้เราได้อินไซต์ผู้บริโภคที่ลึกมากขึ้น”

นอกจากแคมเปญที่เล่นกับ Emotional แล้ว ยังมีการจัดโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่แค่แปลกใหม่ และรสชาติที่อร่อย แต่ความคุ้มค่าก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะพิซซ่าราคาอยู่ที่ 300-500 บาท ซึ่งถูกมองว่าเป็นอาหารที่ราคาค่อนข้างแพง ทั้งนี้ แคมเปญดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ 8 ตุลาคม ถึง 22 พฤศจิกายน โดยบริษัทตั้งเป้าสร้างการเติบโต 20%

“ทุกครั้งที่จัดแคมเปญ 1 แถม 1 สามารถสร้างการเติบโตได้เท่าตัว แต่ตั้งแต่มี COVID-19 ส่งผลให้หลายแบรนด์มีโปรโมชัน 1 แถม 1 ออกมามากมาย แต่บางรายไม่ประสบความสำเร็จเพราะจัดมากเกินไป ทำให้ลูกค้าจะไม่รอ ซึ่งจากที่จะได้ กลับกลายเป็นทำร้ายแบรนด์ แต่สาเหตุที่เราจัดแคมเปญ 1 แถม 1 อีกครั้ง ก็เพราะว่าต้องการกระตุ้นผู้บริโภค เพราะตอนนี้คำสั่งซื้อเราเฉลี่ยที่ 500 บาทต่อบิล จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 700-800 บาท แน่นอนว่ากำไรอาจจะลดลงแต่ก็ต้องทำ”

COVID-19 กระทบแต่ตลาดยังโต

ตลาดพิซซ่าตอนนี้มีมูลค่าราว 13,000-15,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้ยังเติบโตไม่มากนัก ราว 7-8% ขณะที่ The Pizza Company ปีนี้ก็ยังสามารถเติบโตได้ประมาณ 5-6% ในช่วงที่ผ่านมา เพราะแม้ว่าในช่วงล็อกดาวน์ยอดหน้าร้านจะเป็นศูนย์ แต่ส่วนของเดลิเวอรี่สามารถเติบโตได้กว่าเท่าตัวจึงไม่กระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม ลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัดส่วนประมาณ 15% ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์ ขณะที่สาขาในแหล่งท่องเที่ยวตอนนี้ก็ต้องปิดไปก่อน ทั้งถาวรและปิดชั่วคราวซึ่งรวม ๆ แล้วมีประมาณ 7 สาขา จากทั้งหมด 426 สาขา

“ปกติไตรมาส 4 จะเป็นไฮซีซัน แต่ปีนี้ไม่รู้จะไฮแค่ไหน เพราะท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น ซึ่งสิ่งที่เรากังวลมากที่สุดคือ ตลาดเงียบ คนเซฟเงิน เราก็พยายามกระตุ้นตลาดแม้ต้องใช้เงินเยอะและกระทบกำไร แต่เพราะตอนนี้เราคาดการณ์อะไรไม่ได้เลย เราก็ได้แต่หวังว่าท่องเที่ยวจะกลับมาภายในตุลาคมปีหน้า แต่เชื่อว่าคงไม่ 100%”

]]>
1300636