RS Group – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 May 2023 08:26:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ลมเปลี่ยนทิศ! เมื่อ RS คัมแบ็กธุรกิจ “เพลง” และ “สัตว์เลี้ยง” กำลังเป็นดาวรุ่งตัวต่อไป https://positioningmag.com/1432485 Tue, 30 May 2023 07:05:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432485 RS มองแลนด์สเคปธุรกิจเพลงที่เปลี่ยนไป กลับมาบุกตลาดมากขึ้น ปิดดีลพาร์ตเนอร์ต่างประเทศต่อยอดธุรกิจ เตรียมสปินออฟดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ปีหน้า บุกตลาดสัตว์เลี้ยงปั้นให้ครบอีโคซิสเท็ม ขึ้นแท่นดาวรุ่งตัวต่อไป

ทรานส์ฟอร์มไม่หยุดนิ่ง

RS หรือ “อาร์เอส กรุ๊ป” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้เห็นการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อรับกับเทรนด์ กับกระแสที่เปลี่ยนของผู้บริโภค รวมไปถึงกระแสของโลกธุรกิจ เชื่อว่าหลายคนเติบโตมากับอาร์เอส เติบโตมากับบทเพลง ศิลปินที่มอบความบันเทิงให้แก่พวกเรา แต่อดีตธุรกิจเพลงมีรายได้หลักจากการขายเทป ซีดี การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลจึงทำให้ธุรกิจเพลงซบเซาลงไปบ้าง

ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นอาร์เอสเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ธุรกิจอื่นๆ อย่างรวดเร็ว จากธุรกิจเพลงสู่ธุรกิจ “ทีวีดิจิทัล” ในนามช่อง 8 และธุรกิจสุขภาพความงาม ในธุรกิจไลฟ์สตาร์ ตั้งแต่ปี 2557 เพราะมูลค่าตลาด และโอกาสในการเติบโตสูงมากขึ้นทุกปี ประกอบกับเทรนด์ของคนไทยที่ใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว

หลังจากที่ทรานส์ฟอร์มมาเรื่อยๆ อาร์เอสก็ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในปี 2562 อย่างเต็มตัว เปลี่ยนหมวดหมู่ของธุรกิจจากธุรกิจสื่อ เป็นธุรกิจคอมเมิร์ซ หรือเรียกเต็มๆ ว่า Multi-Platform Commerce หรือ MPC เพราะในจังหวะนั้น รายได้จากการขายสินค้าแซงหน้าธุรกิจสื่อไปแล้ว

อาร์เอสใช้โมเดลขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อในเครือ ทั้งทีวีดิจิทัล ช่อง 8 ทีวีดาวเทียม ช่อง 2, ช่องสบายดีทีวี, ช่องเพลินทีวี, วิทยุคูลฟาเรนไฮต์, สื่อออนไลน์ www.shop1781.com, LINE@shop1781, LINE@COOLanything รวมทั้งตัวแทนขายตรง LifestarBIZ โมเดิร์นเทรด และร้านค้าปลีกทั่วประเทศ

อีกหนึ่งการทรานส์ฟอร์มล่าสุดที่น่าสนใจไม่น้อย เมื่ออาร์เอสกลับมาบุกธุรกิจ “เพลง” อีกครั้ง หลังจากเงียบหายไป 15 ปี โดยที่ “เฮียฮ้อ” ได้ประกาศแผนตั้งแต่ปี 2563 ในปีนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนยิ่งขึ้น ควงคู่มากับธุรกิจ “สัตว์เลี้ยง” วางแผนทำเป็น Petconomy หรือครอบคลุมอีโคซิสเท็มทั้งหมด เนื่องจากเป็นธุรกิจขาขึ้น และเฮียฮ้อเองก็เป็นทาสหมาด้วยเช่นกัน

เมื่อธุรกิจเพลง “ไม่เหมือนเดิม”

ย้อนกลับไปในอดีต ธุรกิจเพลงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่โดนดิสรัปต์มาตลอด ตั้งแต่ยุคเทปผีซีดีเถื่อน ทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียรายได้ให้กับแผ่นเถื่อน และเมื่อยุคดิจิทัลเข้ามามีบทบาท คนก็ฟังผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น บททาทของเทอ หรือซีดี หรือที่เราเรียกกันว่า Physical ก็เริ่มลดลง

ซึ่งในอดีตตัวสินค้า Physical ทั้งเทป และซีดี เป็นรายได้หลักของผู้ประกอบการ และศิลปิน เพราะในยุคก่อนๆ ไม่คอ่ยมีงานอีเวนต์ หรือคอนเสิร์ตมากนัก รวมไปถึง Music Marketing ด้วย เมื่อรายได้การเทป ซีดีลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ จึงทำให้เฮียฮ้อตัดสินใจให้น้ำหนักกับธุรกิจเพลงน้อยลง แต่ไม่ถึงกับยุบธุรกิจไป เพราะยังมีรายได้ในส่วนของลิขสิทธิ์ต่างๆ อยู่บ้าง

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ต้องยอมรับว่าธุรกิจเพลงในตอนนี้มีหลากหลาย Business Model และมีช่องทางการหารายได้ที่หลากหลายขึ้นกว่าในอดีตมาก ในช่วงกลางปี 2563 อาร์เอสจึงตัดสินใจคัมแบ็กธุรกิจอีกครั้งในรอบ 15 ปี ภายใต้ยูนิต RS Music ปัดฝุ่นค่ายเพลง และแตกเป็น 3 ค่ายหลักๆ ได้แก่ 1. RSIAM 2. Kamikaze และ 3. RoseSound

ในปีนี้แผนธุรกิจเพลงมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เฮียฮ้อถึงกับเอ่ยปากว่า เตรียมสปินออฟบริษัทเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์สำหรับระดมทุน และหารายได้ให้มากขึ้น โดยจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ของปี

สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“แต่ก่อนที่เลิกทำธุรกิจเพลง เพราะว่ารายได้มาจากแค่แผ่นซีดีอย่างเดียว แต่ตอนนี้เห็นเทรนด์จากออนไลน์ สตรีมมิ่ง กิจกรรมต่างๆ คอนเทนต์ไปได้ไกลกว่านั้น เป็น Music Marketing รายได้มาจากทุกมิติ ขายโฆษณา แอดออนไลน์ สตรีมมิ่ง คอนเสิร์ต ละในมุมลูกค้าที่ซื้อสื่อ ซื้อกิจกรรมคอนเสิร์ต ก็สามารถเก็บเม็ดเงินโฆษณาได้ด้วย แผนตอนนี้จะมีการสปินออฟบริษัททำให้ธุรกิจมีมูลค่าเพิ่ม เพื่อได้ระดมทุนทำธุรกิจเพลง และจะมีพาร์ตเนอร์ต่างประเทศที่จะมาพร้อมเงินทุน ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจนี้ 700 ล้านบาท”

เฮียฮ้อยังเสริมอีกว่า เพลงจะกลับมาเป็นธุรกิจหลักที่ให้ความสนใจ จริงๆ ธุรกิจเพลงยุคใหม่อาจจะไม่มากมายนัก แต่มีมาร์จิ้นดีมาก อีกทั้งธุรกิจเพลงยังน่าสนใจ เป็นคลื่นลูกใหม่ เป็น Soft Power ได้ด้วย

RS Music ยังมีแผนปิดดีลกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นดีลขนาดใหญ่ที่จะสร้างมูลค่าให้ทั้งกลุ่ม และเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการผลักดัน RS Music ให้มีศักยภาพ ขยายธุรกิจให้เติบโตได้ทั้งในประเทศ และระดับโลก และมีการปรับโครงสร้างธุรกิจเพลงใหม่ โดยรวมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเสียงเพลงทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน ได้แก่ 3 ค่ายเพลงหลัก, สถานีเพลง COOLFahrenheit, โชว์บิส, การทำการตลาดออนไลน์และ ออนกราวนด์ รวมถึง Artist Management

“สัตว์เลี้ยง” ขึ้นแท่นดาวรุ่ง

อีกหนึ่งธุรกิจที่อาร์เอสได้เริ่มบุกตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 นั่นก็คือ ธุรกิจ “สัตว์เลี้ยง” เปิดตัวแบรนด์ Lifemate เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เริ่มจากการทำอาหารเม็ดก่อน และแตกไลน์เป็นกลุ่มอาหารเปียก อาหารเสริม และของใช้ต่างๆ แต่เดิมรายได้ของ Lifemate จะอยู่รวมกับธุรกิจคอมเมิร์ซ แต่อาร์เอสได้ปรับโครงสร้าง แตกเป็นยูนิต Pet All สร้างอาณาจักรสัตว์เลี้ยงครบวงจร ตั้งเป้าสปินออฟเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีก 3 ปีข้างหน้าให้ได้

เฮียฮ้อบอกว่า “ตลาดสัตว์เลี้ยงน่าสนใจมาก ส่วนตัวเป็นทาสหมาอยู่แล้วด้วย และได้ติดตามอุตสาหกรรมนี้มานาน อยู่ในเทรนด์เติบโตทุกปี ล้อกับพฤติกรรมคนไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัย หรือครอบครัวเล็กลง คนเมืองมีลูกน้อยลง หลายคนเอาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อน เลี้ยงสัตว์แทนการมีลูก รักสัตว์เหมือนลูก ในแผนปีนี้มีทั้งการเติบโตด้วยตัวเอง และ M&A จะทำอาณาจักรให้มีทั้งช็อป และศูนย์ Wellness สำหรับสัตว์เลี้ยง”

เมื่อไม่นานมานี้ได้จัดตั้ง บริษัท อาร์เอส เพ็ท ออล จำกัด (RS pet all) เพื่อลงทุนในธุรกิจสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร (Petconomy) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยล่าสุดได้เข้าทุ่มงบลงทุน 100 ล้านบาท เข้าลงทุนใน บริษัท ฮาโตะ เพ็ท เวลเนส เซ็นเตอร์ จำกัด (Hato Pet Wellness Center) ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตสัตว์เลี้ยงครบวงจร และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน “Preventive Program” โปรแกรมการป้องกันดูแลและส่งเสริมให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพแข็งแรง โดยมีสัดส่วนการลงทุน 51%

ในปี 2565 ฮาโตะ มีรายได้รวม 60 ล้านบาท หลังจากที่อาร์เอสเข้าลงทุนคาดว่าน่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นเป็น 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ โดยจะโฟกัสที่ 2 โมเดลธุรกิจด้วยกัน ได้แก่ การเปิด HATO Animal Hospital จำนวน 2 แห่งใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสัตว์ระดับ 5 ดาว ที่ครบและครอบคลุมการรักษาทุกด้าน รวมถึงการพัฒนาสินค้าในกลุ่ม HATO Vet Select ภายใต้แบรนด์ HATO ซึ่งจะมีมากกว่า 10 SKUs ทั้งผลิตภัณฑ์กรูมมิ่ง แอนด์ สปา รวมถึง wellness treats ที่เป็นขนมเพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยจะออกวางจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ และเพ็ทช็อปทั่วประเทศ

ปัจจุบันแบ่งธุรกิจออกเป็น เซอร์วิส และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ทั้งนำเข้าและผลิตในไทย โดย เซอร์วิส มีทั้งหมด 5 สาขา แบ่งเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ 1. Hato Pet Wellness Center ให้บริการคลินิก และบริการอาบน้ำ, สปา 2. Hato Cat Wellness Center คลินิกยกระดับคุณภาพชีวิตแมวครบวงจร และ 3. HATO Home ที่มีโมเดลแบบ Private Pet Community ซึ่งประกอบด้วย คลินิก โรงแรม Pet Shop รวมถึงส่วนพักผ่อนหรือสถานที่ทำกิจกรรม อาทิ สนามหญ้าหรือสระว่ายน้ำสำหรับสัตว์เลี้ยงที่รวมการดูแลสัตว์เลี้ยงไว้ในที่เดียวแบบครบวงจร  นอกจากนี้ยังรุกเข้าสู่ธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งขณะนี้ เปิดบริการแล้ว 1 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ-ชัยพฤกษ์

นอกจากที่ร่วมทุนกับ Hato แล้ว อาร์เอสเตรียมเป็น Pet Shop เป็นของตัวเอง ที่รวบรวมสินค้า และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงเดือนกรกฎาคม และขยายเพิ่มเติมอีก 6-7 สาขา

การที่อาร์เอสหันมาบุกธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจคอมเมิร์ซได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ทำให้ต้องกระจายความเสี่ยงไปธุรกิจอื่นมากขึ้น

ทั้งนี้อาร์เอส กรุ๊ป ผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ทำกำไรที่ 92 ล้านบาท จากรายได้รวม 813 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อ และรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่สูงขึ้น รวมไปถึงการรับรู้กำไรพิเศษจากการขายหุ้น CHASE บางส่วน

ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 5,000-5,500 ล้านบาท มีกำไร 10-12% แบ่งสัดส่วนเป็นธุรกิจคอมเมิร์ซ 55% และธุรกิจมีเดีย และบันเทิง 45%

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1432485
เจาะ 4 กลยุทธ์ ‘เฮียฮ้อ’ พา RS Group ขึ้นแท่น Game changer ใช้ Entertainmerce ก้าวสู่เส้นทางหมื่นล้านใน 2 ปี https://positioningmag.com/1328779 Thu, 22 Apr 2021 07:16:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328779 โลกปัจจุบัน ไม่มีสูตรสำเร็จในการทำธุรกิจอีกต่อไป เพราะการแข่งขันที่สูง บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง กลับกลายเป็นว่าธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วและกล้าเผชิญความเปลี่ยนแปลงภายใต้วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของผู้นำองค์กรและมีทีมงานที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดในสมรภูมินี้ได้ เช่นเดียวกับ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป ที่ผ่านการดิสรัปชั่นมาครั้งแล้วครั้งเล่า จากธุรกิจเพลงสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซในวันนี้ เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า อาร์เอส กรุ๊ป ได้กลายเป็น Game Changer ให้กับวงการสื่อและบันเทิง ด้วยการนำโมเดลธุรกิจ Entertainmerce มาเป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจ สามารถทำให้บริษัทฯ ก้าวเข้าสู่ธุรกิจคอมเมิร์ซและธุรกิจอื่นๆ ส่งผลให้กระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น รวมทั้งมีรายได้และการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์

นอกจากการเป็น Game Changer และได้รับการยอมรับในฐานะบริษัทฯ ที่ทรานส์ฟอร์มองค์กรได้สำเร็จแล้ว หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือ ‘เฮียฮ้อ’ แม่ทัพใหญ่ของ อาร์เอส กรุ๊ป คือ การสร้างรายได้หมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 2 ปีนับจากนี้ โดย อาร์เอส กรุ๊ป ได้ใช้กลยุทธ์ 4 ข้อหลัก ซึ่งอยู่ภายใต้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce คือ เน้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และระบบดิจิทัลต่างๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพของทุกธุรกิจ และการข้ามไปสู่ธุรกิจใหม่ที่ยังมี ecosystem ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อสนับสนุนกันให้เกิดความแข่งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

กลยุทธ์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจสื่อและบันเทิงซึ่งเป็นธุรกิจหลักแต่เดิมด้วยการสร้างรายได้จากหลายช่องทาง

เพื่อนำจุดเด่นและความเชี่ยวชาญของกลุ่มธุรกิจสื่อและบันเทิงในเครืออาร์เอส กรุ๊ป มาสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจคอมเมิร์ซและธุรกิจอื่นๆ โดยเน้นให้เกิดการ Synergy กันอย่างกลมกลืน ทรงพลัง และยั่งยืน

  • ธุรกิจมีเดีย (สถานีโทรทัศน์ช่อง8 และ COOLISM)

เน้นใช้กลยุทธ์กระจายช่องทางหารายได้ เพื่อสร้างรายได้แบบค้ำยันซึ่งกันและกัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากปีก่อนถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 โดยรายได้มาจากการขายมีเดียและสปอนเซอร์ทั้งจากช่อง 8 และ COOLFahrenheit  รายได้จากขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากละครและซีรีย์ รายได้จากรายการขายสินค้าของ RS Mall ผ่านรายการต่างๆ ของช่อง 8 รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและกิจกรรมอีเวนท์ของ ช่อง 8 และ COOLive รวมถึงการพัฒนา COOLanything แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ เพื่อให้ผู้ฟังเพลงจาก COOLfahrenheit สามารถช้อปปิ้งบนแอปพลิเคชันและบนเว็บไซต์ได้ในเวลาเดียวกัน

  • ธุรกิจเพลง(RS Music)

ยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารลิขสิทธิ์คลังเพลง และการสร้างคอนเทนต์ให้แก่เพลงในยุค ’90s จนเกิดกระแส “โตมากับอาร์เอส” นอกจากนี้ RS Music ยังเน้นการเพิ่มมูลค่าจากโซเชียลมีเดียของแต่ละศิลปินในสังกัด ทั้งศิลปินเดิมที่มีฐานผู้ฟังเหนียวแน่น และศิลปินใหม่ 9 คนจาก 3 ค่ายเพลง รวมถึงสร้างศิลปินให้เป็น influencer จากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง และต่อยอดสู่การเป็น Business partner ตามโมเดล Music Star Commerce รวมไปถึงการจัดคอนเสิร์ตและอีเว้นท์ต่างๆ ด้วย

กลยุทธ์ที่ 2: การสร้างการเติบโตของ RS Mall ให้เป็น Wellbeing Partner ในใจคนไทย

ปัจจุบัน RS Mall มีฐานลูกค้ามากกว่า 1.6 ล้านราย และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็น Wellbeing Partner ของลูกค้า ด้วยปัจจัยสำคัญ คือ

  • การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพในทุกมิติ ล่าสุดในงานRS GROUP Open Day 2021 มีการเปิดตัวไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากกัญชง-กัญชา กว่า 8 SKU ทั้งในส่วนของอาหารเสริมและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์O.M., well u และ CAMU C ซึ่งจะวางจำหน่ายทั้งใน RS Mall และช่องทางอื่นๆ
  • การสร้างและพัฒนาระบบCRM ที่แข็งแรง จึงทำให้เกิดการซื้อสินค้าซ้ำกว่า 2.4 ครั้งต่อปี โดยเกิดจากคุณภาพของสินค้า และปริมาณของสินค้าที่หลากหลายในการตอบโจทย์ความต้องการทางด้านสุขภาพ รวมถึงการอบรมเจ้าหน้าที่เทเลเซลล์ให้มีความรู้ด้าน Wellbeing ที่ครบถ้วน เพื่อตอบทุกคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น
  • การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อทำให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ อาร์เอส กรุ๊ป ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของการสร้างCustomer Data Platform การใช้ Data analytics รวมทั้งระบบ Voice analytics ที่นำข้อมูลในหลากหลายมิติและเสียงการสนทนาของลูกค้ามาประมวลผลให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจ และตรงจังหวะความต้องการการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้ามากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการขยายระบบ Predictive dialing system (PDS) สู่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทำให้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

กลยุทธ์ที่ 3: การพัฒนาผลิตภัณท์ของ Lifestar เพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่

ไลฟ์สตาร์ เป็นบริษัทในเครือของ อาร์เอส ที่ผลิตสินค้านวัตกรรมสุขภาพและความงาม โดยในปีนี้ จะมีการผลิตสินค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพและเทรนด์การใช้ชีวิตแบบใหม่ และเข้าสู่ Mass Market อย่างเต็มตัว โดยล่าสุดเปิดตัว

  • ผลิตภัณฑ์‘well u คอลลาเจน’ คอลลาเจนระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพและนวัตกรรมที่เหนือกว่าด้วยส่วนประกอบที่สำคัญถึง 6 ชนิด วางจำหน่าย ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ Exclusive Distribution Network (EDN) หรือตัวแทนจำหน่าย, Exclusive Modern Trade ที่ร้าน Watsons และออนไลน์ ภายใต้คอนเซปต์ “คอลลาเจน 1 เดียวที่เราเลือก เพื่อยู…ในทุกวัน” โดยใช้พรีเซนเตอร์ชื่อดังถึง 3 คน ได้แก่ เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร, แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ และ แพท-ณปภา ตันตระกูล
  • ผลิตภัณฑ์Functional Drink ภายใต้แบรนด์ “CAMU C” เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมคามู คามู วิตามินซีสูง 200% และวิตามินบี 12 สูง จำหน่ายทั่วประเทศ ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ ร้านสะดวกซื้อ, โมเดิร์นเทรด และร้านค้าปลีก ภายใต้คอนเซปต์ “คุณใส่ใจตัวเองหรือยัง?” โดยมีพรีเซนเตอร์เป็น คิมซูฮยอน ซูเปอร์สตาร์ของเกาหลีที่มีค่าตัวสูงที่สุดในเวลานี้
  • ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์มีมูลค่าตลาดที่สูงถึงกว่า 4 หมื่นล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องทุกปี ปีละ 10% ไลฟ์สตาร์จึงพร้อมเปิดตัวและวางจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงในช่วงกลางปีนี้ โดยจะจัดจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์ของ RS Mall และพันธมิตร

นอกจากนี้ ไลฟ์สตาร์ ยังเตรียมทยอยออกสินค้าใหม่ๆ สู่ตลาดแมส ภายใต้แบรนด์ well u และ CAMU C เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพตลอดทั้งปี

กลยุทธ์ที่ 4: การทำ Mergers and Acquisitions (M&A) และ Joint Venture (JV)

การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องมีพาร์ทเนอร์ที่ดี เพื่อนำทรัพยากร ความชำนาญ และเงินทุนที่มี สร้างการเติบโตร่วมกัน โดย คุณสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคยกล่าวไว้ว่า “โลกธุรกิจในยุคนี้ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคู่แข่งเราจะมาจากไหน ทุกบริษัทสามารถข้ามมาทำธุรกิจอะไรก็ได้ ที่ตัวเองมองเห็นโอกาส เพียงแต่เรื่องนี้มันจะไม่น่ากลัวอะไรเลย หากตัวเราเองก็พร้อมที่จะข้ามไปแข่งขันกับคนอื่นๆ” ดังนั้น ในปีนี้ อาร์เอส กรุ๊ป คาดการณ์ว่าจะมีการขยายธุรกิจอย่างน้อย 2-3 ดีล เพื่อต่อยอดและขยาย Ecosystem ของ อาร์เอส กรุ๊ป โดยตั้งงบไว้ที่ประมาณ 300-600 ล้านบาทต่อดีล และเป็นไปได้ทั้งการขยายธุรกิจในแนวตั้งและแนวราบ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา อาร์เอส ได้มีการเข้าซื้อหุ้น บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด จำนวน 35% มูลค่า 920 ล้านบาท เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจ “บริหารสินทรัพย์-สินเชื่อรายย่อย” และสร้างการเติบโตในแนวราบ การทำ M&A และ JV ของ อาร์เอส กรุ๊ป นอกจากเป็นการต่อยอดจากโมเดลธุรกิจ Entertainmerce และทำให้ Ecosystem ของอาร์เอส กรุ๊ป ขยายตัวอย่างไม่สิ้นสุดแล้ว ยังเป็นหนึ่งในนโยบายบริหารจัดการความเสี่ยงที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

การทำธุรกิจกับโอกาส ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ยืดหยุ่น สนุก ท้าทาย และพร้อมที่จะเติมเต็มชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คน ของ อาร์เอส กรุ๊ป ในวันนี้ จึงทำให้บริษัทฯ กลายเป็น Game Changer ที่สามารถทรานส์ฟอร์มตัวเองได้ประสบความสำเร็จจนได้รับการยอมรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ร่วมกับ 4 กลยุทธ์หลักที่ อาร์เอส กรุ๊ป นำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ จะเป็นสปริงบอร์ดส่งให้องค์กรเติบโตและก้าวไปสู่เป้าหมายรายได้หมื่นล้านบาทได้ในไม่ช้า

ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ทาง www.rs.co.th

]]>
1328779
คุยกับ “เฮียฮ้อ” ทรานส์ฟอร์ม RS ยุคใหม่ : ทาสหมาตัวยง ลุยขายอาหารสัตว์ ปัดฝุ่นเพลง https://positioningmag.com/1293489 Thu, 20 Aug 2020 10:28:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293489 RS เข้าสู่ยุคที่ 4 ของการดำเนินธุรกิจ ได้เปิดสำนักงานใหม่ย้ายจากลาดพร้าวสู่ย่านถนนประเสริฐมนูกิจ หรือเกษตร-นวมินทร์ ยุคที่ 4 นี้มีการปรับโมเดลใหม่หลายๆ อย่าง เตรียมลุยตลาดอาหารสัตว์เต็มตัว แถมยังเตีรยมปัดฝุ่นธุรกิจเพลงที่ห่างหายไปนานด้วย

RS สู่ยุคที่ 4

ถ้าฝั่งแกรมมี่มี “อากู๋” ฝั่ง RS ที่เป็นเหมือนคู่ปรับทางดนตรีมาตลอดก็ต้องมี “เฮียฮ้อ”

RS เป็นหนึ่งในตำนานเพลงยุค 90 ที่หลายๆ คนเติบโตมาพร้อมกับเพลง และศิลปินของ RS ถึงแม้ว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป โมเดลธุรกิจต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรับกับความต้องการของตลาด แต่ชื่อของ RS ก็ยังคงอยู่

RS ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2519 โดย “สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” หรือเฮียฮ้อ และพี่ชาย “เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์”  เริ่มก่อตั้ง RS และ Rose Sound จากธุรกิจตู้เพลง และค่ายเพลง ด้วยเงินลงทุน 50,000 บาท โดยมีสำนักงานแห่งแรกเป็นตึกแถวจำนวน 2 คูหา บนถนนอุรุพงษ์ ตอนนั้นเฮียฮ้อมีอายุ 19 ปี

อาร์เอส กรุ๊ป

จากนั้นในปี 2525 ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพลงวัยรุ่น ภายใต้บริษัท อาร์.เอส.ซาวด์ จำกัด โดยมีศิลปินวงแรกในสังกัดคือ วงอินทนิล ตามด้วย คีรีบูน, ฟรุตตี้, ซิกเซนต์, บรั่นดี, และ เรนโบว์ เป็นต้น

ในปี 2535 ย้ายสำนักงานจากตึกแถว 2 คูหา ถนนอุรุพงษ์ มายังอาคารเชษฐโชติศักดิ์ ซอยลาดพร้าว 15 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท อาร์.เอส. โปรโมชั่น 1992 จำกัด”

ถ้านับถึงตอนนี้ RS มีอายุ 39 ปีแล้ว ย่างเข้าปีที่ 40 ผ่านการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิทัลเต็มตัวในปี 2557 ใช้ช่อง 8 เป็นหัวหอกหลัก ในปี 2559 เปิดบริษัท “ไลฟ์สตาร์ (LifeStar)” เข้าสู่ธุรกิจสุขภาพ และความงาม

จนถึงในปี 2562 มีการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญที่ RS ได้ขอปรับย้ายหมวดธุรกิจ จากหมวดธุรกิจ “สื่อและสิ่งพิมพ์” มาเป็นหมวด “ธุรกิจพาณิชย์” หรือ MPC (Multi-platform Commerce) โดยกลุ่มนี้สร้างรายได้ได้ในสัดส่วนถึง 65% ของรายได้รวมของ RS และในปีเดียวกันนั้น “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ก็ได้เข้าถือหุ้น RS จำนวน 68 ล้านหุ้น (หรือประมาณ 7%) เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้า

เฮียฮ้อเริ่มเล่าว่า 39 ปีของ RS ที่ผ่านมา ได้แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ จนในปีนี้ถึงยุคที่ 4 เป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมกับย้ายสำนักงานใหญ่ด้วย

“ที่ผ่านมาแบ่ง RS เป็น 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกเป็นช่วงของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ช่วงนั้นเราเป็นปลาเล็ก ช่วงวัยรุ่น คิดแค่ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรไม่ถูกกินก่อนที่จะโต พอเข้าสู่ช่วงที่ 2 คือช่วงปี 2535 เริ่มย้ายมาที่ลาดพร้าว ธุรกิจเริ่มใหญ่ขึ้น เป็นปลาใหญ่แล้ว ช่วงนี้จะเป็นปลาใหญ่กินปลาช้า แต่ในช่วงที่ 3 คือช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคปลาฉลามที่กินทุกปลา ปลาใหญ่ หรือปลาเล็กไม่สำคัญ” 

โลโก้ใหม่สุดมินิมอล พร้อมสำนักงานใหม่

ในปีนี้มีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เฮียฮ้อบอกว่าไม่ใช่แค่เปลี่ยนโลโก้ใหม่ แต่ยังมีการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ ใช้ระบบ Agile ที่เน้นความรวดเร็ว คล่องตัว กำหนดวัฒนธรรมองค์กรใหม่ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนด้วยคอนแทนต์ และสินค้านั่นเอง

โดยที่โลโก้ใหม่ที่ให้ภาพลักษณ์เรียบง่าย มินิมอล และแฝงไปด้วยความร่วมสมัยเป็นสากล ได้ทำงานร่วมกับ มารีน่า วิลเลอร์ กราฟฟิกดีไซเนอร์ผู้ออกแบบโลโก้ให้แก่ เทต โมเดิร์น พิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อดังในอังกฤษ โลโก้ใหม่ยังสื่อถึงความเป็นเป็นองค์กรที่ไร้ขีดจำกัด ไม่มีสี ไม่มีกรอบ เป็นตัวอักษรขาวหรือดำก็ได้

ส่วนสำนักงานใหญ่ที่ย้านมาอยู่ที่ย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ มีพื้นที่รวมถึง 16 ไร่ เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเฮียฮ้อ และให้ RS เป็นผู้เช่า ซึ่งบ้านของเฮียฮ้อก็อยู่ในระแวกเดียวกันด้วย

ย้ำจุดยืน Entertainmerce

RS ได้เข้าสู่วงการขายของได้ราว 4 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจไลฟ์สตาร์ เฮียฮ้อเริ่มมองเห็นแล้วว่าธุรกิจสื่อเริ่มอยู่ในช่วงขาลง ยิ่งมีทีวีดิจิทัล ยิ่งแบ่งเค้กกันมากขึ้น ในขณะที่จำนวนคนดูเท่าเดิม จึงเริ่มเปลี่ยนวิธีจากให้เอยนซี่เป็นลูกค้าซื้อสปอตโฆษณา เป็นให้คนดูเป็นผู้ซื้อแทน ใช้สื่อในเครือทั้งหมดเป็นช่องทางการขาย

RS ได้ Disrupt ตัวเองด้วยการใช้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce หรือ Entertainment + Commerce ธุรกิจมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดขอย้ายจากหมวดธุรกิจ Entertainment มาอยู่หมวด Commerce ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์

การทำ Entertainmerce ของ RS ก็คือ การใช้ศักยภาพ ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน ดารา นักแสดง คอนเทนต์ สื่อ ทีวี และวิทยุในมือทั้งหมด มาต่อยอดผสมผสานกับธุรกิจคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างธุรกิจให้แข็งแรง

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ เล่าว่า

“ในปี 2557 เป็นปีที่อุตสาหกรรมสื่อเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากทีวี 4 ช่อง เป็น 24 ช่อง แต่สายตาคนดูเท่าเดิม RS เลยใช้วิธีแตกต่าง เอาเวลาครึ่งนึงของโฆษณามาทำธุรกิจใหม่ จนวันนี้ 5 ปีผ่านไป RS Mall เป็นการผสมช้อปปิ้งเข้ากับความบันเทิง เล่าถึงแนวทางการแก้ปัญหา เสนอข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้” 

แม้ในแต่ละสื่อทุกช่องทางของ RS จะมีการขายของเก่งอย่างไร แต่โมเดล Entertainmerce ก็พิสูจน์ได้ว่ามันเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ และสามารถทำให้บริษัทอยู่รอดได้ และ RS ยังโตสวนกระแสวงการทีวีดิจิทัลที่มีการขาดทุนกันอย่างนัก ร่วมกับวิกฤต COVID-19 โดยที่ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ สามารถสร้างรายได้ 586.2 ล้านบาท สร้างสถิติ New High สูงที่สุด และมียอดขายจากช่องทางออนไลน์โต 80%

ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.4 ล้านราย แบ่งสัดส่วนเป็นคนกทม. 65% และคนต่างจังหวัด 35% ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี ขึ้นไป มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000 บาท

ทาสหมาตัวยง เตรียมขายอาหารสัตว์

ภายใต้ RS Mall ที่เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าของ RS มีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งสินค้าแบรนด์ของ RS เอง และแบรนด์ที่รับมาขาย โดยสัดส่วนรายได้ 60% เป็นสินค้าในเครือ และอีก 40% เป็นสินค้าข้างนอก

ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์ บอกว่า ในปีนี้จะบุกโมเดล Star Commerce Modelนำศิลปินดารามาร่วมคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มแฟนคลับ เริ่มต้นที่ใบเตย อาร์สยาม กับแบรนด์ BT Cosmetics Color Collection มีสินค้าแป้ง Color Palette และ Lipstick

ดร.ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์

อีกหนึ่งไฮไลท์ของไลฟ์สตาร์ คือ การบุกตลาด “อาหารสัตว์” นอกจากตัวเลขมูลค่าตลาดอันมหาศาลถึง 40,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% โดยตลอด ที่สำคัญคือ เฮียฮ้อเป็น “ทาสหมา” ตัวยง จึงรู้ว่าตลาดนี้มีโอกาสมากมายขนาดไหน

เฮียฮ้อเล่าว่า “เฮียเลี้ยงหมา 2 ตัว เริ่มจากตัวเองนี่แหละถึงรู้ว่าตลาดใหญ่มาก เอาจากอินไซต์ของตัวเองเลย ซื้อยาสระผมให้ตัวเองอย่างมากราคา 200 บาท แต่ซื้อให้หมา 700 บาท พวกทาสเนี่ยจ่ายให้หมาแมวเหมือนลูก บางอย่างซื้อดีกว่าลูกด้วยซ้ำ”

เฮียฮ้อเสริมอีกว่า เชื่อว่าอาหารสัตว์จะทำให้เรามีแต้มต่อได้ เพราะเป็นเรื่องของ Emotional ใช้ Storytelling ให้เหมาะสม ยิ่งตอนนี้เป็นเทรนด์ของสังคมอีกด้วย ซึ่งอาหารสัตว์ในตลาดมีหลายกลุ่ม แต่ของไลฟ์สตาร์จะอยู่ในกลุ่มไฮเอนด์ มีทีมคิดสูตรเป็นของตัวเอง คาดว่าจะวางจำหน่ายช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

เบื้องหลังการปลุกชีพธุรกิจ “เพลง”

อีกหนึ่งไฮไลท์ของแผนธุรกิจในปีนี้ของ RS ก็คือ การที่กลับมาปัดฝุ่น “ธุรกิจเพลง” อีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนาน เพราะ RS โฟกัสกับธุรกิจสื่อ และคอมเมิร์ซ

RS Music ในปีนี้จะกลับมาเต็มรูปแบบด้วย 3 ค่ายเพลง RSIAM, Kamikaze และ RoseSound ทั้งหมดเป็นค่ายดั้งเดิมที่เคยมี แต่ศิลปินใหม่ทั้งหมด แต่มาพร้อมกับโมเดลธุรกิจใหม่ ไม่ใช่แค่งานเพลงอย่างเดียว ศิลปินจะต้องขายของได้ด้วย! จะเริ่มเปิดตัวในเดือนตุลาคม

สุกฤช สุขสกุลวัฒน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจเพลง บอกว่า

“ความท้าทายครั้งสำคัญของธุรกิจเพลง คือ การปรับตัวเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่แตกต่าง เพลงเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง แต่สิ่งที่จะสร้างและต่อยอดธุรกิจได้คือ สตาร์ ที่มีตัวตน มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน และมีฐานแฟนคลับ ซึ่งทั้งหมดจะถูกเชื่อมโยงกับโมเดลธุรกิจใหม่ Music Star Commerce จากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ศิลปิน และสอดคล้องกับธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ป”

ถ้าถามว่าทำไมในปีนี้ถึงเป็นจังหวะที่ RS จะกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เฮียฮ้อบอกแค่ว่า วันนี้มี Business Model รองรับนั่นเอง

“หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ RS รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำ ควรหยุด ควรช้า ควรเร็ว จังหวะในการทำธุรกิจคือสิ่งสำคัญ โตได้โต โตไม่ได้อย่าฝืน มาทำช่วงที่กลับมาได้  เราปรับตัวในธุรกิจเพลงตลอด สร้างโมเดลใหม่ๆ ทำให้ยังมีรายได้ ตอนนี้ทรานฟอร์มจนคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจใหญ่ การกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เอาค่าย RoseSound ค่ายเพลงแรกในชีวิตกลับมา เพราะวันที่มี Business Model พร้อมรองรับ ต้องต่อยอดกับโมเดลคอมเมิร์ซได้ เรามีต้นน้ำถึงปลายน้ำพร้อม”

เฮียฮ้อบอกว่าแต่เดิมโมเดลธุรกิจเพลงของ RS จะเป็นการวางตัวเป็นมาร์เก็ตติ้ง นั่นคือให้ศิลปินออกเงินเอง แต่ทางค่ายเป็นคนทำการตลาดให้ หรือมีหน้าที่ซัพพอร์ต แต่ตอนนี้มีธุรกิจคอมเมิร์ซ ไม่เลือกแค่ร้องดีมีคุณภาพ แต่ต้องต่อยอดคอมเมิร์ซได้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของศิลปิน เป็นพาร์ทเนอร์ เจ้าของแบรนด์ได้

ในปี 2562 RS มีรายได้รวม 3,200 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 4,200 ล้านบาท มีการปรับลดแผนจากเดิมที่วางไว้ที่ 5,000 ล้านบาทเพราะวิกฤต COVID-19

แบ่งสัดส่วนรายได้ธุรกิจคอมเมิร์ซ 65% ทีวี 20% วิทยุ 10 และเพลง 5%

เฮียฮ้อตั้งเป้ารายได้ไปถึง 10,000 ล้านบาท แต่ยังไม่บอกว่าภายในกี่ปี แต่ที่แน่ๆ คอมเมิร์ซยังเป็นธุรกิจใหญ่ที่จะยังคงมีสัดส่วนถึง 80%

]]>
1293489
RS โตสวน COVID-19 ไตรมาส 1/63 กำไรโต 184% สร้างนิวไฮสูงสุดเป็นประวัติการณ์! https://positioningmag.com/1277766 Mon, 11 May 2020 04:58:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277766 อาร์เอส กรุ๊ป เปิดผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2563 ทำกำไรนิวไฮ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ต่อเนื่องมาจนถึงวิกฤต COVID-19 ด้วยผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 186 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 184% จากไตรมาสสุดท้ายของปี 2562

สินค้าสุขภาพดันการเติบโต

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ RS เติบโต มาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สินค้าสุขภาพ หลังจากที่ผู้บริโภคกังวลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกทั้งมาตรการ Work from Home ยังช่วยดันโฮมช้อปปิ้ง และธุรกิจสื่อช่อง 8 ด้วย

วิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“จากการปรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่งผลให้กำไรในไตรมาสแรกของปี 2563 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้รวม 985 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 184% เทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 จากความสำเร็จในการมุ่งเน้นอัตราการทำกำไร และการสร้างรายได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในการใช้ชีวิต และหันมาใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ ธุรกิจ Commerce เติบโตขึ้นตามไปด้วย”

โดยมี RS Mall แพลตฟอร์มที่จำหน่ายสินค้าทั้งออนแอร์และออนไลน์ และบริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ทำรายได้รวม 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 โดยเป็นผลมาจากการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางออนแอร์เพิ่มขึ้น ผ่านช่องผู้นำทีวีดิจิทัล ร่วมกับการทำโปรโมชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า

มีรายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่เติบโตสูงขึ้น 30% โดยปัจจุบัน RS Mall มีฐานข้อมูลลูกค้า1.35 ล้านราย

สื่อยังโตอยู่

ธุรกิจสื่อมีรายได้รวม 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2562 โดยเรตติ้งของช่อง 8 ปรับตัวดีขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในกลุ่มผู้ชมอายุ 15+ ซึ่งรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดได้แก่ รายการข่าว ละคร ซีรีส์ และรายการมวย

“COOLfahrenheit” ภายใต้การดำเนินงานของ COOLISM ทุบทุกสถิติการฟังเพลงออนไลน์สูงสุดในรอบ 12 เดือน ด้วยการเข้าฟังมากสูงสุดกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อชั่วโมง ในช่วงเวลาทำงาน Work from Home ตั้งแต่ 8.00-18.00 น. ปัจจุบัน ธุรกิจของ COOLISM เติบโตจากการขายสื่อโฆษณาบนคลื่นวิทยุและออนไลน์ และการจัดกิจกรรมร่วมกับผู้ฟังรายการ

ขณะที่ มาตรการ Work from Home ที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจเพลง ในเครืออาร์เอส กรุ๊ป จากการฟังและดาวน์โหลดผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น และจากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานแบบ Music Marketing ทำให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่ศิลปินสามารถวางแผนการสร้างผลงานได้ด้วยตนเอง รวมถึงการบริหารลิขสิทธิ์เพลงเพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ

ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีการจัดคอนเสิร์ต “D2B Infinity Fun2020” เข้ามาสนับสนุนจึงทำให้รายได้จากธุรกิจเพลงเพิ่มขึ้นด้วย

ด้าน นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“ในไตรมาสแรกของปี 2563 นับเป็นการเริ่มต้นปีที่แข็งแกร่ง ด้วยผลการดำเนินงานที่เกินคาดหมาย จากการที่เรามองโอกาสและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จึงทำให้ธุรกิจของเราเติบโตมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบ เรามีธุรกิจที่หลากหลาย และปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วให้เข้ากับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบ New Normal โดยหลังจากนี้ โอกาสเติบโตทางธุรกิจของ อาร์เอส กรุ๊ป จะเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Entertainmerce เข้าไปในทุกธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ

1) RS Mall จัดแคมเปญใหญ่ต่อเนื่อง เพื่อลดราคาสินค้า ช่วยเหลือผู้บริโภคที่เดือดร้อนในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา

2) ไลฟ์สตาร์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ ที่เน้นเสริมภูมิคุ้มกัน และร่วมมือกับพันธมิตรจากต่างประเทศ เพื่อนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาจำหน่ายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ของ RS Mall

3) ช่อง 8 เปิดตัวรายการใหม่ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Entertainmerce สร้างคอนเทนต์ตรงกลุ่มเป้าหมาย ผนวกกับสินค้าและบริการในราคาที่คุ้มค่ากว่า และสร้างรายได้เพิ่มจากการขายคอนเทนต์ละครไปในประเทศต่างๆ และบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ

4) COOLISM เปิดตัวแอปพลิเคชัน COOLanything เพื่อเปลี่ยนผู้ฟังกว่า 2 ล้านรายต่อเดือน เป็นผู้ซื้อ สามารถฟังเพลงพร้อมเลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษได้ในเวลาเดียวกัน สำหรับธุรกิจเพลง ขายลิขสิทธิ์เพลง สร้างรายได้เพิ่มจากช่องทางออนไลน์ (OTT media service)

]]>
1277766