SC ส่ง SCX ลุยโรงแรม-โรงงานแวร์เฮ้าส์ เป้า 3 ปี ดันรายได้ 25% ของพอร์ตฯ

รชฎ นันทขว้าง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน จำกัด (SCX) ในเครือ SC เปิดเผยว่า เป้าหมายภายในระยะ 3 ปีข้างหน้าของกลุ่ม SC คือ การปรับพอร์ตฯ รายได้ประจำมาเป็นสัดส่วน 25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 17% 

ผ่านการมุ่งเน้นธุรกิจโรงแรมและแวร์เฮ้าส์ ภายใต้การบริหารของ SCX ซึ่งเตรียมรุกขยายโรงแรมเพิ่มอีก 2 แห่ง งบลงทุน 3,500 ล้านบาท ได้แก่

1.โรงแรมเดอะสแตนดาร์ด พัทยา จำนวน 161 ห้อง มูลค่า 1,200 ล้านบาท เปิดให้บริการเดือน ต.ค. 68 โดยร่วมทุน (JV) กับ บมจ. ซินเท็ค ในสัดส่วน 55% : 45% (SCX ถือน้อยกว่า)

2.โรงแรมโวโค ในตัวเมืองพัทยา เป็นเชนโรงแรมจาก IHG จำนวน 350 ห้อง งบลงทุน 2,300 ล้านบาท มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2572 – 2573

“ปัจจุบันอัตราการเข้าพักของโรงแรมค่อนข้างดี โรงแรมเดอะสแตนดาร์ด พัทยา ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มียอดบุ๊กกิ้งสูงถึง 95% แบ่งเป็นลูกค้ากลุ่ม FIT 70% และกลุ่ทคอร์ปอเรต อาทิ งานสัมมนา ประชุม ไมซ์ ประมาณ 30% ส่วนโรงแรมอื่น ๆ อาทิ โครโม เพิ่งเปิดให้บริการมี OCC Rate อยู่ที่ราว 60%”

ทั้งนี้ ในอนาคต SCX ตั้งเป้าขยายโรงแรมให้ครบ 2,000 ห้อง จากปัจจุบันมีอยู่ 1,200 ห้อง โดยคาดว่าอาจต้องขยายเพิ่มอีก 2-3 แห่งจึงครบตามแผนที่วางไว้

เจรจา M&A โรงแรมราว 5 ดีล มุ่งปั้นแบรนด์ ‘YANH-KROMO’ ตามรอย เซนเตอร์ พอยต์

ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจา M&A บวกลบประมาณ 5 ดีล โดยยังคงมุ่งเน้นเมืองท่องเที่ยวศักยภาพสูง เช่น กทม. พัทยา และภูเก็ต เป็นหลัก

โดยการลงทุนจะเน้นรูปแบบ Brownfield ในโรงแรมบางทำเลที่เจ้าของเดิมไม่อยากทำต่อ บริษัทฯ จะเข้าไปซื้อต่อและนำมารีโนเวตใหม่ เน้นโรงแรมขนาด 200 ห้องขึ้นไป

“จุดคุ้มทุน Brownfield เร็วกว่า ใช้เวลารีโนเวต 1 ปี พร้อมเปิดบริการทำรายได้ทันที แตกต่างจากการลงทุน Greenfield ที่ซื้อที่ดินเปล่ามาสร้างเองใหม่หมด ต้องใช้เวลาพัฒนาที่ดินไม่ต่ำกว่า 3 ปี จึงทำรายได้”

อย่างไรก็ตาม การขยายโรงแรมแห่งต่อไป SCX มองเรื่องการสร้างแบรนด์ของตนเอง ดังนี้

• แบรนด์ YANH (ย่าน) จับกลุ่มลูกค้า Midscale รูมเรตอยู่ประมาณ 2,000 กว่าบาท/คืน
• แบรนด์ KROMO (โครโม่) จับกลุ่ม Upper Midscale เป็นโรงแรมระดับ 4-5 ดาวขึ้นไป รูมเรตราว 7,000 – 9,000 บาท/คืน

“เป้าหมายใหญ่ของเรา คือ อยากปั้นแบรนด์โรงแรมของตนเอง เน้นแนวไลฟ์สไตล์ ขยายไปหลาย ๆ ที่ให้ได้แบบโรงแรมเซนเตอร์ พอยต์ (Centre Point) ส่วนโลเคชั่นไหนจะไปด้วยแบรนด์ใด ต้องดูความเหมาะสมอีกที รวมถึงยังมองการขยายด้วยการ JV เป็นหลักอีกด้วย”

“บรรยากาศโดยรวม หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและการขึ้นภาษีทางการค้าของทรัมป์ ไม่เอื้ออำนวยการซื้อที่อยู่อาศัย โดยยอดผู้เข้าชมโครงการบ้านจัดสรรลดลงราว ๆ 10%“

ทว่าในวิกฤตก็ยังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นสูง ส่งผลให้ช่วงสัปดาห์แรกของไตรมาส 2 (เดือน พ.ค. 68) บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 600 ล้านบาท โดยกว่า 400 ล้านบาท มาจากการปิดดีลขายบ้านหรู (ประมาณราคา 20 ล้านบาท/ยูนิต)

กำลังซื้อมาจากกลุ่มผู้ซื้อคนไทย ที่เป็นเจ้าของห้องเพนต์เฮ้าส์ในคอนโดมิเนียม ต้องการซื้อบ้านหรูเพิ่ม จากความกังวลแผ่นดินไหว

ด้านคอนโดยังมีกำลังซื้อจากชาวต่างชาติ อาทิ ไต้หวัน เมียนมา ส่วนใหญ่ซื้อในพื้นที่เอกมัยและพระรามเก้า เนื่องจาก กลุ่มคนต่างชาติมีความเคยชินกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว จึงไม่กระทบความเชื่อมั่น

สำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,260 ล้านบาท แบ่งเป็น

• แนวราบ 5 โครงการ มูลค่า 7,460 ล้านบาท
• คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 1,800 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญ “SC DAYs โปรแรง แซงแดด” ระหว่าง 16-21 พ.ค. 68 ที่สยามพารากอน เพื่อปลุกยอดขายอสังหาช่วงไตรมาส 2

โดยตั้งเป้ายอดขายจากแคมเปญนี้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท พร้อมกับคงเป้ารายได้ปี 2568 อยู่ที่ 25,000 ล้านบาท และยอดขาย 26,000 ล้านบาท

จากการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการผ่อนคลาย LTV ซื้อบ้านหลังที่สองเป็นต้นไปกู้ได้เต็มวงเงิน 100% และการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% แม้ภาพรวมตลาดอสังหายังคงชะลอตัวก็ตาม

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายจากภูเขาอุปสรรค 3 ด้าน คือ

• หนี้ครัวเรือนสูง แตะระดับ 85-90% ทำให้กำลังซื้อคนน้อยลง
• ซัพพลายล้น โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยว ที่อาจต้องใช้เวลาระบายสินค้านาน 5 ปี (ปกติใช้เวลา 2 ปี) และคาดว่าอีก 3 ปีถึงกลับสู่สภาวะปกติ ตอนนี้กลุ่มที่ค่อนข้างเฮลท์ตี้ คือ บ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป
• ความเชื่อมั่นต่ำ คนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายมากนัก

ซ้ำร้ายปีนี้ยังต้องจับตาความผันผวนเศรษฐกิจโลก จากการเข้ามารับตำแหน่งของทรัมป์ รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย

ดั้งนั้น บริษัทฯ จึงต้องปรับพอร์ตฯ ธุรกิจ เพื่อกระจายความเสี่ยง ใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

• Engine 1 ธุรกิจที่อยู่อาศัย ปัจจุบันมีจำนวน 96 โครงการ มูลค่า 94,500 ล้านบาท

ในจำนวนนี้จะเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 15 โครงการ มูลค่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 12 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้านบาท และคอนโด 3 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท

ไฮไลต์ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านหรู SONLE จำนวน 5 ยูนิต ราคาเริ่มต้นหลังละ 200 ล้านบาทเป็นครั้งแรก ขนาดใหญ่ราวครึ่งไร่ พื้นที่ใช้สอย 1,300 – 1,500 ตร.ม. จากเดิมเคยเปิดตัวราคาหลัก 100 ล้านบาท ในโครงการ 95E1 และ คอนนาเซอร์ 

เนื่องจากมีดีมานด์จากกลุ่มเศรษฐีที่อยากมีบ้านขนาดใหญ่ ในโซนกลางเมือง จึงเกิดเป็นโปรเจกต์นี้ขึ้น ประกอบกับแนวราบกลุ่มอื่น ๆ ยังเผชิญปัญหาซัพพลายล้น

”ปีนี้วางเป้ายอดขาย (พรีเซล) 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% (YoY) ประมาณ 23,000 ล้านบาท (สัดส่วน 92% จากพอร์ตฯ รายได้รวม) ปัจจุบันมีแบ็กล็อกในมือราว ๆ 17,000 ล้านบาท“

• Engine 2 ธุรกิจรายได้ประจำ ปัจจุบันมี 19 โครงการ ครอบคลุมโรงแรม ออฟฟิศ คลังสินค้า และอพาร์ตเมนต์ในอเมริกา

สำหรับ ธุรกิจโรงแรมมีแผนขยายให้ครบ 1,000 ห้อง ภายใน 3 ปี รองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยว เช่น KROMO บริหารกลุ่ม Hilton และ The Standard Pattaya ที่ SC ร่วมทุน (JV) กับ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวกลางปี 2568 นี้

ส่วน ธุรกิจแวร์เฮ้าส์ เตรียมขยายพื้นที่เพิ่มเติม ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ บางนา กม.20 จำนวน 78,000 ตร.ม., แหลมฉบัง 46,000 ตร.ม. และอมตะ ชลบุรี 37,000 ตร.ม. จากปัจจุบันมีพื้นที่แวร์เฮ้าส์ประมาณ 200,000 ตร.ม.

• Engine 3 ธุรกิจใหม่ เกี่ยวกับการเซอร์วิส นอกกลุ่มอสังหาฯ (แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดที่แน่ชัด) เตรียมเปิดตัวปี 2569 เป็นต้นไป

“บริษัทฯ ตั้งเป้าให้กลุ่มธุรกิจ Engine 2-3 มี EBIDA สูง 25% จากตอนนี้อยู่ที่ 20% รวมถึงตั้งเป้าปี 2568 มีรายได้ 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% (YoY) แบ่งเป็นรายได้จากแนวราบ 70% คอนโดมิเนียม 22% และ ธุรกิจ Engine 2-3 ประมาณ 8% ส่วนภายใน 3 ปี ตั้งเป้ารายได้แตะ 30,000 ล้านบาท ขณะที่วางงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท“