บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ นับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่เอาตัวรอดและเติบโตได้ท่ามกลางโรคระบาด โดยเมื่อปี 2565 บริษัทปิดยอดขายที่กว่า 41,000 ล้านบาท และมียอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 18,500 ล้านบาท พร้อมขยายตัวต่อในปี 2566 ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่ช่วงหลังโควิด-19
“ธีมปีนี้คือเที่ยวทั่วไทยไปกับออริจิ้น คือเราจะขยายออกไปต่างจังหวัดมากกว่าที่เคย และเราจะเน้นการจ้างงานในท้องถิ่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นำรายได้เข้าพื้นที่” พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของออริจิ้น กล่าวถึงภาพใหญ่ของแผนในปีนี้
การขยายไปต่างจังหวัดของบริษัทจะเน้นการไปพัฒนาแบบมิกซ์ยูส มีหลายรูปแบบธุรกิจอยู่ร่วมกันในพื้นที่ หรือถ้าเป็นจังหวัดขนาดใหญ่ก็จะพัฒนาแบบครบวงจรแบบ “Smart City”
ที่ผ่านมา Smart City แบบออริจิ้นมีการพัฒนาแล้วทั้งในกรุงเทพฯ ที่รามอินทรา มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ปัจจุบันส่วนที่พักอาศัยมียอดขายแล้ว 90% ขณะที่ต่างจังหวัดมีใน จ.ระยอง มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ที่พักอาศัยขายแล้ว 70% อีกแห่งหนึ่งคือที่แหลมฉบัง-ศรีราชา มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท โครงการนี้ที่พักอาศัยขายหมด sold out เรียบร้อยแล้ว
โครงการรูปแบบนี้เป็นการจัดแบ่งที่ดินให้เป็นเมืองในตัวเอง ด้านหน้าอาจจะมีทั้งโรงแรม รีเทล คอนโดมิเนียม และถ้าเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ด้านหลังอาจจะพัฒนาที่พักอาศัยแนวราบเพิ่มได้ด้วย ยิ่งในปีนี้ออริจิ้นมี บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาเสริมทัพด้านธุรกิจสุขภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ในโครงการเหล่านี้ก็จะมีองค์ประกอบด้านธุรกิจสุขภาพผนวกเข้าไปในจุดที่เหมาะสม
อย่างที่เห็นว่าที่ผ่านมาออริจิ้นบุกไปในจังหวัดอีอีซีเป็นหลัก แต่หลังจากนี้บริษัทจะเริ่มพัฒนา Smart City ในเมืองท่องเที่ยวและเมืองที่มีจุดเด่นด้านเศรษฐกิจในแง่อื่นเพิ่มเติม โดยมีแผนดังนี้
“การพัฒนาเหล่านี้เป็นเหมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ และต่อไปเราจะขยายไปเมืองรอบข้างได้โดยอาจจะทำในไซส์เล็กลงมาให้เหมาะกับพื้นที่นั้นๆ เช่น เมื่อมีอยุธยาก็ขยายไปนครสวรรค์หรือสระบุรี มีภูเก็ตก็ขยายเข้าพังงาหรือกระบี่ มีระยองแล้วก็ขยายเข้าไปในจันทบุรี เป็นต้น” พีระพงศ์กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในระยะยาว
สรุปตัวเลขสำคัญของปี 2566 ในแผนออริจิ้น ได้แก่
“อภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด รับไม้ต่อถึงการเจาะลึกโครงการแนวสูงที่จะเปิดตัวปี 2566 จะมีทั้งหมด 22 โครงการ มูลค่ารวม 27,500 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการในกรุงเทพฯ และโครงการต่างจังหวัด บางส่วนเป็นการประเดิมเปิด Smart City
ไฮไลต์ปีนี้อยู่ที่การกลับมาอีกครั้งของแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” แบรนด์ระดับราคา 50,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ที่จับต้องได้ง่าย ในแผนปีนี้จะเปิด 7 ทำเล แบ่งเป็นทำเลกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คือ บางแค บางพลี และทำเลต่างจังหวัด คือ บางปะกง ขอนแก่น ภูเก็ต พัทยา และบางแสน
ส่วนโครงการอื่นๆ ที่ไปบุกต่างจังหวัด จะมีในระดับราคาที่สูงขึ้น เช่น ไนท์บริดจ์ สเปซ ระยอง, โซ ออริจิ้น เขาใหญ่, โซ ออริจิ้น ภูเก็ต 2, ออริจิ้น เพลซ เชียงใหม่ และออริจิ้น เพลซ หัวหิน
“ปิติ จารุกำจร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เปิดแผนของฝั่งที่จะเป็น Recurring Income ปีนี้จะมีการเปิดเพิ่มอีก 7 โครงการที่จะทำให้บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสะสม 20,000 ล้านบาท
ไฮไลต์ของปีนี้เป็นการเปิด โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลพร้อมพงษ์) มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท, โรงแรมอินเตอร์คอนทิเนนทัล แบงค็อก สุขุมวิท (ทำเลซอยสุขุมวิท 59) มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท และโครงการมิกซ์ยูส วัน พญาไท มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังต่อยอดแบรนด์รีเทล Portobello จากศรีราชา ปีนี้จะเปิดอีก 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ และ ระยอง
วัน ออริจิ้น ยังมีแผนงานในไปป์ไลน์ที่กำลังก่อสร้างหรือออกแบบอีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 25,500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะได้เห็นการไปเติมเต็ม Smart City ในทำเลใหม่ต่างๆ เช่น โรงแรมในหัวหิน 258 ห้อง, โรงแรมในเขาใหญ่ 140 ห้อง หรือโรงแรมรูปแบบเวลเนสในภูเก็ต 578 ห้อง เป็นต้น
ด้านธุรกิจสุขภาพ “ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด อธิบายว่า โมเดลธุรกิจจะเข้าไปเป็นเหมือน ‘ซอฟต์แวร์’ ที่เข้าไปเชื่อมกับฮาร์ดแวร์ทั้งเครือออริจิ้น หลักๆ ได้เริ่มงานกับธุรกิจโรงแรมก่อน และปีนี้จะเริ่มเห็นการจับมือไปกับบ้านบริทาเนียและคอนโดฯ
แผนงานปีนี้ของธุรกิจสุขภาพ จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.Health Club – เข้าไปเป็นเฮลธ์แคร์ เซอร์วิสให้กับโครงการ เน้นเวชศาสตร์เชิงป้องกัน เช่น ดูแลด้านโภชนาการอาหาร เป้าหมายเปิด 2 โครงการ
2.Mediplex – เป็นสหคลินิกที่เข้าไปอยู่ในชุมชนเพื่อรองรับความต้องการด้านต่างๆ เช่น บิวตี้ เวลเนส เส้นผม ทันตแพทย์ จิตแพทย์ ร้านขายยา Pet Club เป้าหมายเปิด 22 โครงการ
3.โรงพยาบาล – ในลักษณะโรงพยาบาลแบบเฉพาะทางขนาดไม่ใหญ่ เข้าไปอยู่ในชุมชน ใกล้คนมากขึ้น และจะเน้นเรื่องสังคมผู้สูงอายุ เป้าเปิดตัว 1 โครงการ
รวมทั้งหมดปีนี้จะมีเปิดใน 25 โครงการ คาดรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 250 ล้านบาท และมีเป้าหมายปี 2568 จะเพิ่มเป็น 55 โครงการ และทำรายได้ 500 ล้านบาท
“ออริจิ้น” ยังมีเครื่องยนต์อีกมากทั้งกลุ่มบริทาเนียซึ่งพัฒนาบ้านแนวราบ และกลุ่มอัลฟาที่ดูแลการพัฒนาคลังสินค้า-โลจิสติกส์ ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ ที่อยู่ใน ‘มัลติเวิร์ส’ ของบริษัท หากรวมทั้งกลุ่มแล้ว พีระพงศ์ตั้งเป้าให้กลุ่มออริจิ้นมีมาร์เก็ตแคปขึ้นไปแตะ 1 แสนล้านบาทภายในปี 2569 ซึ่งจะทำให้เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ
]]>“วังจันทร์วัลเลย์” กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ โดยเป็นเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ และจะเป็นต้นแบบเมืองนวัตกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทย การจัดการภายในเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจึงต้องมี “วอร์รูม” ศูนย์กลางการรับข้อมูล มอนิเตอร์ และสั่งการ ซึ่งก็คือ “อาคารศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ” หรือ IOC แห่งนี้
สำหรับท่านที่ยังไม่คุ้นหูกับ “วังจันทร์วัลเลย์” พื้นที่นี้คือแหล่งวิจัยและพัฒนานวัตกรรมขนาด 3,454 ไร่ ในตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดยระยอง พัฒนาโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ภายในประกอบด้วยโครงสร้างหลายส่วนที่จะสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมของไทย สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ประเทศ
เมื่อเป็น “เมืองนวัตกรรม” แหล่งบ่มเพาะงานวิจัย ตัวเมืองเองจึงสร้างขึ้นบนพื้นฐานการจัดการอัจฉริยะเช่นกัน ทำให้วังจันทร์วัลเลย์มีองค์ประกอบภายในแบบ Smart City ครบทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ Smart Economy, Smart People, Smart Living, Smart Environment, Smart Mobility, Smart Energy และ Smart Governance องค์ประกอบเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดมาเป็นโครงสร้างภายในเมือง เช่น การติดโซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานสะอาดกระจายไฟฟ้าไปทั้งโครงการ รถประจำทางพลังงานไฟฟ้ารับส่งภายในพื้นที่ เป็นต้น
การบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะรูปแบบนี้ย่อมต้องมีดาต้ามหาศาล และต้องมีศูนย์กลางของระบบบริหาร ทำให้วังจันทร์วัลเลย์มีอาคารหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการดูแลระบบทั้งหมดโดยเฉพาะคือ “อาคารศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center หรือ IOC)”
IOC เป็นอาคารปฏิบัติการ 3 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยรวม 3,700 ตารางเมตร ยังไม่รวมพื้นที่ดาดฟ้าอีก 1,300 ตารางเมตร ภายในจะมีห้องประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ และที่เป็นไฮไลต์ก็คือ “ห้องควบคุมปฏิบัติการ” (Control Room) ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นวอร์รูมแห่งวังจันทร์วัลเลย์ เป็นศูนย์กลางควบคุมให้ระบบในพื้นที่นี้ดำเนินการได้อย่างราบรื่น
ภายในห้องควบคุมปฏิบัติการจะนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้อย่างเต็มที่ ในแง่โครงสร้างพื้นฐาน ห้องนี้จะมี Video Wall สูงประมาณ 2.7 เมตร ยาวประมาณ 14.5 เมตร ซึ่งเกิดจากจอ LED ขนาด 55 นิ้ว จำนวน 48 ชุดเรียงต่อกัน และแน่นอนว่ามี Work Station ด้านหน้าจอเหล่านี้ให้กับพนักงานปฏิบัติการ (operators) ได้นั่งทำงานระหว่างวัน
ส่วนระบบที่มีการนำมาใช้งานเพื่อควบคุมเมืองอัจฉริยะ ได้แก่
o Supervisory Control and Data Acquisition (SCADA) : ตรวจสอบสถานะและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ แบบ Real-time เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบรวบรวมน้ำเสีย
o Energy Management System (EMS) : แสดงปริมาณการรับจ่ายสาธารณูปโภคแบบ Real-time โดยรับข้อมูลมาจาก Smart Meter ที่ติดตั้งใน Tie-in Building และสามารถคำนวณค่าบริการรวมถึงออกใบแจ้งหนี้
o Building Management System (BMS) : ตรวจสอบสถานะและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์งานระบบของอาคาร เช่น ระบบปรับอากาศ Access Control ระบบลิฟต์ ระบบไฟส่องสว่าง ระบบ Fire Alarm ระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบ Public Address
o Security Management System (SMS) : แสดงผลควบคุม และสั่งการ ระบบ CCTV ระบบ Fire Alarm ระบบ Smart Parking ระบบ Network Monitoring System ระบบ Bus Tracking ระบบ Environmental Monitoring System ระบบ Emergency Phone
o Substation Automation System (SA) : ตรวจสอบสถานะและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ระบบจำหน่ายไฟฟ้าภายใน Substation
o Smart Street Lighting System : ตรวจสอบสถานะและควบคุมการทำงานของระบบไฟส่องสว่างตามแนวถนน ทางเดิน และทางจักรยาน
o Lighting Control System : ตรวจสอบสถานะและควบคุมการทำงานของระบบไฟส่องสว่างของอาคารต่าง ๆ ภายใน Utility Center
ระบบล้ำสมัยเหล่านี้เมื่อนำมาใช้งานจริงจะเป็นประโยชน์อย่างไร? ขอยกตัวอย่างระบบ EMS ที่ใช้บริหารด้านพลังงาน ทำงานควบคู่ไปกับ Smart Meter ที่ส่งข้อมูลมายังห้องควบคุมส่วนกลางและเห็นข้อมูลการใช้พลังงาน เช่น ไฟฟ้า ได้แบบ real-time ดังนั้น สามารถส่งข้อมูลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทราบว่าตนเองกำลังใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน และจะนำไปสู่การจูงใจให้ร่วมกันประหยัดพลังงาน รวมถึงยังออกบิลค่าไฟฟ้าได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพนักงานออกจดหน่วยไฟฟ้าที่ใช้จากหน้ามิเตอร์
ที่น่าสนใจอีกระบบหนึ่งคือ Smart Street Lighting System เพราะระบบนี้ทำงานร่วมกับ IoT ที่ติดตั้งในไฟส่องสว่างตามทางเดินพื้นที่สาธารณะ ทำให้ระบบสามารถสั่งเปิด-ปิดไฟได้จากระยะไกล หรือตั้งเวลาเปิด-ปิดได้ ที่สำคัญคือ ถ้ามีเหตุผิดปกติ เช่น ไฟฟ้าไม่ทำงาน ระบบสามารถแจ้งเตือนเพื่อให้ห้องควบคุมส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลได้อย่างรวดเร็ว แก้ปัญหาเมืองในปัจจุบันที่เรามักจะพบไฟส่องทางเดินเสียอยู่เสมอ โดยที่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบว่าต้องการการซ่อมแซม
ดังที่กล่าวไปว่าใน IOC ยังมีห้องประชุมและห้องสัมมนารองรับด้วย ภายในห้องประชุมขนาด 40 ที่นั่งนี้มีการติดตั้ง Video Wall ขนาดใหญ่ ด้วยจอแสดงผล 75 นิ้วเรียงต่อกัน 2 ชุด พร้อมกับมีจอแบบ Smart Touch-screen Interactive Display ขนาด 70 นิ้ว ผู้ร่วมประชุมสามารถเขียนลงบนหน้าจอโดยตรงและบันทึกเข้าคอมพิวเตอร์หรือส่งเป็นอีเมลได้ทันที
จอภาพในห้องนี้สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายกับคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต หรือสมาร์ทโฟนได้ และอุปกรณ์ไฟฟ้ายังสั่งการด้วยเสียงได้ด้วย กลายเป็นห้องประชุมที่สร้างเสริมให้การทำงานคล่องตัว เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้แบบไม่มีสะดุด
การออกแบบตัวอาคาร IOC นอกจากจะเป็นแหล่งรวมเทคโนโลยีทันสมัย ตัวอาคารนี้ยังก่อสร้างได้มาตรฐาน LEED หรือ Leadership in Energy and Environmental Design ในระดับ Certified ซึ่งเป็นระบบที่ถูกนำมาใช้ประเมินมาตรฐานการออกแบบอาคารให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
การจะได้ LEED ในระดับ Certified นี้แปลว่าอาคารจะต้องเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ทั้งจากการเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ภายใน เช่น ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง ระบบเครื่องปรับอากาศ ใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ เป็นต้น การออกแบบอาคาร IOC จึงไม่ได้คิดเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีเพียงมิติเดียว แต่ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย
เพราะ กลุ่ม ปตท. มีเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ภายใต้วิสัยทัศน์ Smart Natural Innovation Platform อยู่แล้ว และจะเป็นเมืองต้นแบบแห่งอนาคตในยุค Thailand 4.0 ต่อไป
]]>
บนพื้นที่ 3,454 ไร่ ในตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง คือที่ตั้งของ “วังจันทร์วัลเลย์” พัฒนาโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป้าหมายเพื่อเป็นแหล่งวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ตามนโยบาย Thailand 4.0 สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ประเทศ
วิสัยทัศน์แหล่งนวัตกรรมของ ปตท. ไม่ใช่แค่เพียงนวัตกรรมด้านพลังงานเท่านั้น แต่มองครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมอื่น ขยายไปถึงภาคเกษตรกรรมและบริการ ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยในอนาคต และยังเปิดให้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมในระบบนิเวศนี้ได้ทั้งหมด
เมื่อเป็นแหล่งวิจัยนวัตกรรม วังจันทร์วัลเลย์ จึงมีทั้งพื้นที่เพื่อการศึกษา เพื่อปั้นนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่รุ่นเยาว์ รวมถึงมีแหล่งที่พักอาศัย แหล่งสันทนาการ พื้นที่ธรรมชาติให้กับนักวิจัย ซึ่งเปิดให้ชุมชนใกล้เคียงเข้ามาใช้งานได้ด้วย ทำให้ภาพของโครงการนี้มีความสมบูรณ์ครบวงจร มองแบบครบลูปในการสร้างแหล่งนวัตกรรม และครอบคลุมไปไกลกว่าเฉพาะ ปตท.
พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ แบ่งเป็น 3 ส่วนประกอบหลักตามคอนเซ็ปต์ Smart Natural Innovation Platform ได้แก่
1) พื้นที่เพื่อการศึกษา (Education Zone) กลุ่มที่ตอบโจทย์การสร้างการศึกษา คือ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) และ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เป็นแหล่งบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยรุ่นใหม่ของประเทศ ช่วย Up-skill หรือ Re-skill ให้บุคลากร และเป็นตัวกลางสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ รวมถึงมีกลุ่มที่ตอบโจทย์ด้านการพัฒนาทางการเกษตร มุ่งสู่การสร้างประสิทธิภาพผลผลิตและ Smart Farming ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ และ ศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา
2) พื้นที่เพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม (Innovation Zone) สำหรับพัฒนาเป็นศูนย์วิจัย พัฒนา และนวัตกรรม หรือ Smart Innovation Platform เพื่อยกระดับความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด โดยออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการไว้อย่างครบวงจร พร้อมรองรับวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ EECi นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ข้อมูล (Data Center) ส่วนกลาง และอาคารศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center: IOC) ซึ่งมีการวางโครงข่ายเชื่อมโยงกับระบบอัจฉริยะต่างๆ เพื่อบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ต่อยอดในเชิงธุรกิจ
3) พื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวก ที่พักอาศัยและสันทนาการ (Community Zone) นักวิจัย นักเรียน และชุมชนที่เกี่ยวข้องจะใช้ชีวิตได้จริงในโครงการนี้ เพราะโครงการมีการพัฒนา ที่พักอาศัย โรงแรม ศูนย์การค้า แหล่งนันทนาการ พื้นที่อาคารต่างๆ ยังดีไซน์แบบ Universal Design ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงวัย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเพื่อดึงดูดบุคลากรชั้นนำให้มาร่วมสร้างสรรค์งานในพื้นที่นี้
วังจันทร์วัลเลย์ ยังได้รับการประกาศเป็น “เขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ” (Smart City) จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้น องค์ประกอบภายในโครงการจะพัฒนาตามหลักการ Smart City ครบทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ Smart Economy, Smart People, Smart Living, Smart Environment, Smart Mobility, Smart Energy และ Smart Governance ดังนั้น นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาตรงกับองค์ประกอบของ Smart City ในหลายด้าน เรายังจะได้เห็นวังจันทร์วัลเลย์เป็นเมืองตัวอย่างของการปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยภายในจะมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานสะอาด กระจายไฟฟ้าสู่ทั้งโครงการด้วยระบบ Smart Grid มีรถประจำทางไฟฟ้ารับส่งภายในพื้นที่ มีทางเดินและทางจักรยานที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แหล่งพัฒนานวัตกรรมคงเกิดขึ้นจริงไม่ได้เลยถ้าไม่สามารถ “ทดลอง” สิ่งใหม่ได้ ดังนั้น วังจันทร์วัลเลย์จึงประสานงานทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเปิดพื้นที่ให้โครงการนี้เป็น “แซนด์บ็อกซ์” ผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ
โครงการที่ได้ดำเนินการแล้วขณะนี้คือ 5G Play Ground เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการใช้โครงข่าย 5G และ UAV Regulatory Sandbox ทดสอบเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Unmanned Aerial Vehicle หรือก็คือ “โดรน” นั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือหลายฝ่าย ได้แก่
ขณะนี้โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้ว 95% จะเสร็จสมบูรณ์ 100% ภายในไตรมาส 3 ปี 2564 ระหว่างนี้โครงการกำลังเปิดรับผู้ที่สนใจและพันธมิตรเพิ่มเติม โดย ปตท. จะทำหน้าที่เป็น Enabler ผู้สร้างระบบนิเวศความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ดังตัวอย่างแซนด์บ็อกซ์ 5G และ UAV ข้างต้น จุดประสงค์เพื่อมุ่งสู่นวัตกรรมสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจ
วังจันทร์วัลเลย์มีสิทธิประโยชน์ให้สำหรับผู้ที่สนใจเข้าใช้บริการในโครงการ ดังนี้
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อีเมล [email protected]
]]>โลกเรากำลังจะก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี 5G อย่างเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ ว่ากันว่าด้วยความเร็วของ 5G นั้น จะเข้ามาเปลี่ยนเเปลงไลฟ์สไตล์และการเป็นอยู่ของเราอย่างมาก ดังนั้นการสร้างรากฐานที่มั่นคงเเละพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับ “สิ่งใหม่” จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
อีกความเคลื่อนไหวสำคัญในเเวดวง 5G ไทยช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น การเปิดตัว โครงการ 5G x UAV SANDBOX WANGCHAN VALLEY ที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตร นำเสนอมิติใหม่แห่งเทคโนโลยี 5G มาเพิ่มขีดความสามารถการใช้งาน “โดรน” เพื่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมทดสอบเพื่อการวิจัยเป็นแห่งแรกของไทย พร้อมรับสิทธิพิเศษในการพัฒนาธุรกิจระยะยาว…เหล่านี้ ดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศไม่น้อย
วันนี้เราจะมารู้จัก “วังจันทร์วัลเลย์” ภารกิจพัฒนาเมืองนวัตกรรม Smart City กับการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม นำไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย
ผ่านมุมมองของ “เเม่ทัพ Innovation” ของ ปตท. อย่าง “วิทวัส สวัสดิ์-ชูโต” ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม ถึงความท้าทาย เป้าหมายเเละก้าวต่อไปของ “วังจันทร์วัลเลย์” ที่กำลังจะก้าวสู่การเป็น Smart City ของไทยเเบบ 100%
“ผมคิดว่า…ทุกประเทศสามารถมี Smart City ได้”
วิทวัส เล่าย้อนไปถึงการบุกเบิก “วังจันทร์วัลเลย์” สู่การเป็น Smart City ให้ฟังว่า แต่เดิมพื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ดินของ IRPC หรือบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาทาง IRPC ดำเนินการขายพื้นที่แปลงนี้ให้กับ ปตท. จนกลายมาเป็น VISTEC (สถาบันวิทยสิริเมธี), KVIS (โรงเรียนกำเนิดวิทย์) และมีสถาบันปลูกป่าเกิดขึ้น โดยใช้เนื้อที่ไปประมาณ 900 ไร่
เเต่ด้วยความกว้างใหญ่ของพื้นที่ที่มีอยู่ถึง 3,500 ไร่ ณ ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง จึงเกิดคำถามว่า…ส่วนที่เหลือจะทำอะไรต่อดี ?
จากความเห็นของ ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการบริษัท ปตท. ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มองว่า “ควรจะมีพื้นที่สำหรับพัฒนานวัตกรรมให้กับประเทศ” ประกอบกับช่วงนั้นรัฐบาลประกาศ EEC (โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) พอดี เป็นโอกาสที่จะผลักดัน Smart City
จากนั้น จึงได้มีการเริ่มคุยกับทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) และ สวทช.ว่าควรจะทำพื้นที่ดังกล่าวให้กลายเป็นพื้นที่ทำนวัตกรรมของ EEC จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อว่า EECi (Eastern Economic Corridor of Innovation) “มุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ให้เป็นเหมือนกับซิลิคอนวัลเลย์ของอเมริกา”
หลังจากเริ่มบุกเบิกมาตั้งเเต่ปี 2559 ตอนนี้ ต้องบอกว่า “วังจันทร์วัลเลย์” เข้าใกล้ความเป็น Smart City อย่างเต็มรูปแบบ โดย Smart City มีทั้งหมด 7 ด้าน ตอนนี้ปตท.ทำได้ 6 ด้านแล้ว ส่วนอีกหนึ่งด้านกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ
วิทวัส อธิบายต่อว่า ถ้าพูดถึงความเป็น Smart City ของพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ถือว่า “งานเราสำเร็จแล้ว” แต่ก็ยังต้องทำเพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะยุคนี้เทคโนโลยีเดินหน้าอยู่ตลอดเวลาและเปลี่ยนแปลงเร็ว จึงต้องมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
“อะไรที่มันล้าหลังแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ ดังนั้นเมื่อถามถึงความเป็น Smart City จึงไม่ใช่ว่าพอทำได้สำเร็จ เสร็จสิ้นแล้วจะหยุดอยู่แค่นั้น แต่เราต้องเดินหน้าต่อ ตามต่อ และต้องคงความเป็น Smart City ไว้ตลอดเวลา”
ในระยะแรก EECi จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคุณภาพ เช่น เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ทดสอบแบตเตอรีประสิทธิภาพสูง ทั้งขนาดที่ไม่ใหญ่นักสำหรับการใช้งานใน AGV UAV/Drone แบตเตอรีขนาดกลาง สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถรางไฟฟ้า ไปจนกระทั่งระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่
ขณะที่โรงงานต้นแบบในการผลิตแบตเตอรีและการพัฒนาการใช้งานแบตเตอรีในรูปแบบใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้งานเพื่อการป้องการประเทศ (Dual use) รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและระบบการควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ก็จะมีการดำเนินการในพื้นที่ EECi ด้วย
ดังนั้น เพื่อเป็นการ “สานต่อ” พัฒนาธุรกิจให้สอดรับกับการเทคโนโลยีที่ทำมาเเล้วมากมาย นำมาสู่โครงการ 5G x UAV SANDBOX WANGCHAN VALLEY พัฒนาที่ดินบางส่วนของวังจันทร์วัลเลย์ให้เป็น “พื้นที่ต้นแบบ” เพื่อการวิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ (UAV Regulatory Sandbox) โดยใช้ประสิทธิภาพของสัญญาณ 5G
ปตท. ไม่ได้ฉายเดี่ยวเพราะ “บิ๊กมูฟ” การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกับหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน อย่าง CAAT (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย) ซึ่งสนับสนุนให้พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์สามารถบินโดรนเพื่อการทดลองและทดสอบได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และช่วยให้การอนุญาตปฏิบัติแตกต่างจากเงื่อนไขที่กำหนด
ด้าน กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ได้เข้ามาช่วยบริหารและจัดสรรคลื่นความถี่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนับสนุนการทดสอบ 5G ในพื้นที่ เพื่อใช้งานในเชิงพาณิชย์
ขณะที่ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะผู้บริหารจัดการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ก็ให้การสนับสนุนด้านการดำเนินการ UAV Sandbox ได้อย่างสะดวกและประสบความสำเร็จ ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี ทักษะ ความรู้ด้านการบินโดรนแก่กลุ่มเป้าหมายที่สนใจ
อีกทั้งยังมี บรรดาบริษัทเครือข่ายสัญญาณเจ้าใหญ่ของไทย อย่าง “AIS” ที่ทำงานร่วมกับ VISTEC ในการทดสอบและพัฒนาโดรนวิศวกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาสินทรัพย์
ขณะที่ “True” ได้เข้ามาช่วยในด้านการทดสอบและพัฒนาโดรนลาดตระเวนติดกล้องที่ควบคุมและเชื่อมต่อรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ ผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ True5G เพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของพื้นที่
ส่วน “DTAC” ร่วมพัฒนาการทดสอบสู่กล้องตรวจการณ์อัจฉริยะ 5G สำหรับควบคุมจากทางไกลและถ่ายทอดข้อมูลความละเอียดสูง ให้การสั่งการรวดเร็วและภาพที่คมชัดเเบบเรียลไทม์
“ยิ่งมี 5G ที่พร้อมมากเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ช่วยลดการดีเลย์ รวมถึงบริษัทต่างประเทศที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศเรา ในพื้นที่ EECi หากเขาเห็นว่าเรามี 5G นั่นหมายความว่าเราทันสมัย นวัตกรรมเเละเครื่องมื่อต่างๆ ที่เขานำเข้ามาก็จะช่วยต่อยอดเทคโนโลยีไทย ผู้ที่สนใจอยากเข้ามาลงทุนจะเชื่อมั่นว่า เมื่อมาร่วมลงทุนแล้ว ไทยจะมีพื้นที่ที่มีเทคโนโลยีรองรับ ซึ่งที่วังจันทร์วัลเลย์เราได้เตรียมความพร้อมในด้านนี้ไว้อย่างครบครันและดีที่สุดแล้ว”
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าเรื่องของ 5G SANDBOX มันเป็นแค่ “เรื่องวันนี้” เพราะเป้าหมายต่อไปคือการพัฒนาพื้นที่ “วังจันทร์วัลเลย์” ให้เป็น SANDBOX ในทุกๆ อย่าง เป็นไปได้ในทุกๆ เรื่อง
“ผมว่าโครงการ 5G x UAV SANDBOX WANGCHAN VALLEY มันมีพลังในการเชื้อเชิญนักลงทุนในตัวเองอยู่แล้ว เพราะเป็นพื้นที่เดียวที่ทั้ง สวทช., กสทช. และ CAAT มารวมอยู่ในที่แห่งนี้ เมื่อนักลงทุนได้เห็น ก็ต้องมีความสนใจแน่นอน”
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิพิเศษจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจใน ระยะยาว ได้แก่ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี, ยกเว้นภาษีอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ, ภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ร้อยละ 17 ซึ่งต่ำที่สุดในเอเชีย, สมาร์ทวีซ่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญและครอบครัว, พื้นที่ผ่อนปรนกฎระเบียบในการทำนวัตกรรม (Regulatory Sandbox) และศูนย์บริการด้านการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว (One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน
ความท้าทายของการสร้าง “New S-Curve” ใหม่ จากเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป เป็นความท้าทายขององค์กรเก่าเเก่ที่ประสบความสำเร็จเเล้วอย่าง “ปตท.” ไม่น้อย จากบริษัทที่ทำ Oil & Gas มาโดยตลอดหลายทศวรรษ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นยุค 5G มีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า การถูก “Disrupt” ครั้งนี้ ก่อให้เกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ออกมา
วิทวัส อธิบายว่า S-Curve กับ New S-Curve มีความหมายต่างกัน ที่ผ่านมาปตท.มีการทำ S-Curve ใหม่อยู่เสมอ เช่น การออกน้ำมันชนิดใหม่ขึ้นมา นั้นคือการต่อยอดของ S-Curve เดิม เเต่การทำ New S-Curve คือการพลิกไปทำธุรกิจอื่นไปเลย
“นี่เป็นที่มาของการตั้งตำแหน่ง CTO (Chief Technology Officer) ขึ้นมา เพื่อที่จะหา New S-Curve ใหม่ให้องค์กรเป็นหลัก ผมพูดได้เลยว่าหายากมาก แต่ผมก็ไม่หยุด และมีอะไรหลายๆ อย่างที่พอจะเริ่มเห็นแสงบ้างแล้ว” นับเป็นภารกิจที่มี “ความท้าทายสูงมาก” CTO ของปตท. บอกถึงความมุ่งมั่นว่า “การพูดถึงสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักให้คนเข้าใจ ต้องใช้ความอดทนสูง ต้องมีเเรงบันดาลใจที่จะทำ บางทีสิ่งที่เสนอไปอาจจะไม่ได้รับการยอมรับในครั้งเเรก เเต่จงทำต่อไป และต้องไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค”
ด้านการทำงานในองค์กรที่มีการผสม “หลายเจเนอเรชั่น” เขามองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเปิดใจ” โดยฝั่งผู้ใหญ่ต้องรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่ ไม่ทำให้พวกเขาเสียกำลังใจตั้งเเต่ยังไม่เริ่ม ให้คนรุ่นใหม่ได้มีทิศทางพัฒนาความคิดของตนเองต่อไป ส่วนคนรุ่นใหม่เองก็ต้องมีความตั้งใจจริง เลือกที่จะทำอะไรก็ต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุด “ล้มเเล้วลุกให้ได้”
]]>ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา AIS ได้ขับเคลื่อนองค์กรเพื่อให้เป็นมากกว่า “โอเปอเรเตอร์” ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ต้องต้องเป็นผู้ให้บริการ Digital Service ที่ครบวงจร ยิ่งในช่วงปีที่ผ่านมานี้เริ่มมีสัญญาณการมาของ 5G ทำให้ได้เห็น AIS เร่งสร้างพันธมิตรแก่ทุกอุตสาหกรรม เพื่อสร้างนวัตกรรมดิจิทัลที่ทันสมัย
ล่าสุด AIS ได้สานต่อความร่วมมือกับ “อมตะ” ในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ด้วยการนำโครงข่ายดิจิทัลเข้าไปช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมอมตะ บริหารงานโดย “วิกรม กรมดิษฐ์” ประธานกรรมการ และ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2540
จริงๆ แล้วดีลนี้ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2559 ภายใต้ “บริษัท อมตะ เน็ทเวอร์ค จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านหุ้น เป็นเงิน 100 ล้านบาท โดย บริษัท แอดวานซ์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (ABN) ถือหุ้น 60% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 60 ล้านบาท และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ถือหุ้น 40% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 40 ล้านบาท
ในปีแรกที่เริ่มผนึกกำลังกันนั้น เป็นการเริ่มวางระบบโครงข่าย Infrastructure ต่างๆ ที่อมตะซิตี้ ชลบุรี จากนั้นเมื่อมีการลงทุน 5G จึงสานต่อในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการผลิตมากขึ้น
สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า
“ตั้งแต่ปี 2559 AIS และอมตะ ได้ทำงานร่วมกันในการนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญและนำนวัตกรรม IoT เข้าไปสนับสนุนการบริหารงาน การผลิต และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่อมตะซิตี้ชลบุรี ซึ่งวันนี้เมื่อเทคโนโลยี 5G มีความพร้อมและได้กลายเป็น The Real New Normal ด้านเทคโนโลยี ที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านคุณสมบัติด้านความเร็ว ความเสถียร และการรองรับอุปกรณ์จำนวนมาก AIS จึงได้ขยายความร่วมมือกับอมตะไปอีกขั้น เพื่อสร้างเมืองอัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบ
โดยนำเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง 5G ทั้ง 5G Stand Alone (5G SA) และ 5G Network Slicing รวมถึงโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) และ ICT Infrastructure เข้าไปยกระดับการทำงานในอมตะซิตี้ ชลบุรี ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่มากกว่า 750 แห่ง เพื่อเสริมขีดความสามารถด้านผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยให้ทัดเทียมเวทีโลก ตลอดจนพัฒนาโซลูชั่นส์ที่เอื้อต่อการสร้างเมืองอัจฉริยะที่ทันสมัย ทั้งด้านการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากร การขนส่ง และระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่”
สำหรับเหตุผลที่ AIS เลือกจับมือกับอมตะนั้น AIS มองว่าอมตะเป็นผู้นำด้านนิคมอุตสาหกรรม ต่างคนต่างเป็นเบอร์หนึ่งกันทั้งคู่ มีวิสัยทัศน์ที่ตรงกันในการยกระดับนิคมด้วยนวัตกรรม ซึ่ง AIS จะใช้โมเดลพาร์ตเนอร์อยู่แล้ว ไม่มีการลงทุนเองเพื่อสร้างแข่ง แต่เป็นการเติบโตไปด้วยกัน
เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม รวมถึง 5G ที่จะเข้ามาเขย่าวงการครั้งใหญ่ ภาพของนิคมอุตสาหกรรม หรือภาคการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน จะต้องมีเทคโนโลยี ซึ่งมีการวางแผนว่านิคมฯ อมตะจะต้องเป็น Smart City เพื่อเพิ่มขีดจำกัดในการแข่งขันกับต่างประเทศให้ได้
ภาพรวมของอมตะในปัจจุบัน ถ้านับเฉพาะในประเทศไทย มีลูกค้าโรงงานรวมกว่า 1,200 โรง มีประชากรอาศัยเกือบ 3 แสนคน แต่เดิมอมตะใช้โครงข่ายการสื่อสารแบบเดิมๆ เป็นสายทองแดง การร่วมมือกับ AIS จึงมีการวางระบบไฟเบอร์ออฟติก ทำให้การสื่อสารรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ คล่องตัวขึ้น โรงงานอินเตอร์ต่างๆ ที่เวลาไปลงทุนต้องใช้ความรวดเร็ว ทำให้เกิดความแตกต่างจากอดีต ทำให้โรงงานทำงานได้คล่องตัวขึ้น เอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
อมตะเองมีนโยบายการทำ Smart City การใช้ 5G Infrastructure จะช่วยยกระดับได้ ซึ่งมีเมือง “โยโกฮาม่า” เป็นโมเดล
วิกรม กรมดิษฐ์ เล่าว่า “ตอนนี้อมตะเปลี่ยนตัวเองจากสายการผลิตไปสู่นวัตกรรมใหม่ ร่วมกับเมืองโยโกฮาม่าเริ่มมา 4 ปีแล้ว จะเห็นว่าเมืองโยโกฮาม่าเป็น Smart City ทั้งเมืองเลย ร่วมกับรัฐบาลโยโกฮาม่า มาตั้งเป็นโยโกฮาม่า 2 เรากำลังก้าวเข้าสู่ Smart City ไม่ใช่เรื่องสายการผลิตอย่างเดิม การมี AIS มาช่วยทำให้ขยับตัวได้คล่อง”
ยกตัวอย่าง “ฮิตาชิ” มาสร้าง Lumada Center แห่งแรกของโลก เรียกว่าเป็นสมองของ IoT การทำงานต่อไปจะไม่ใช่แค่คนกับเครื่องจักร แต่ต่อไปจะเป็นเครื่องจักรจะคุยกับเครื่องจักรได้ โดยใช้ Smart City ในแบบโยโกฮาม่า แต่ใช้ระบบของฮิตาชิเข้ามาต่อยอด โรงงานรันด้วยตัวเองได้มากขึ้น เพราะบางช่วงถ้าต้องใช้คน บางครั้งจะมีเรื่องของเวลา
ความสำคัญของการร่วมมือกันครั้งนี้ นอกจากทางโรงงานจะได้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว การยกระดับสู่ Smart City ยังช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งขยายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ใน EEC
วิกรมเสริมว่า พื้นที่ EEC ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะเชื่อมโยงเส้นทางการค้า – การลงทุนของภูมิภาคอาเซียนเข้ากับตลาดโลก อมตะจึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาอมตะซิตี้ ชลบุรี ไปสู่มาตรฐานสากล และก้าวสู่การเป็น Smart City อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมทั้งเป็นต้นแบบให้กับนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกให้สนใจมาสร้างฐานการผลิตในพื้นที่ EEC
ความร่วมมือกับ AIS นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ 5G และนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และความสามารถในการแข่งขันให้โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้พลังงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยก้าวทันประเทศชั้นนำอย่าง จีน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ที่ได้นำ 5G มาเพิ่มมูลค่าไปแล้ว
ถ้ารวมกิจการในประเทศเวียดนามจะมีโรงงานรวม 1,400 โรง คิดเป็นมูลค่า 2 ล้านล้านบาท โดยโรงงานส่วนใหญ่ 85% เป็นโรงงานข้ามชาติ มีความต้องการประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่แล้ว
ปัจจุบันอมตะมีคนทำงานมาจาก 30 กว่าประเทศ รวม 3 แสนกว่าคน การทำ Smart City คิดค้น วิจัยสิ่งใหม่ๆ คู่กับสายการผลิตได้ วิกรมคาดว่าต่อไปจะขยายไปได้ถึง 3,000 กว่าโรง มีประชากรทำงานกว่าล้านคนได้ ซึ่งต่อไปจะไม่ใช่แค่เรื่องแรงงาน แต่เป็นทักษะใหม่ๆ
“อมตะจะไม่ใช่แค่ขายพื้นที่เปล่าๆ แต่ต้องเป็น Intelligence ต้องสร้างผลประโยชน์ระยะยาว ทำให้ไทยแข่งขันได้ดีขึ้น เพราะไทยยังไม่มี Smart City ต้องสร้างเป็นสินค้าใหม่ ทำให้แข่งกับในภูมิภาคได้ ต้องเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ การบิรหารงานใหม่ๆ เข้ามาเติม”
เทคโนโลยีเข้ามา หลายคนกังวลเรื่องบทบาทการทำงานของมนุษย์ จะทำให้คนตกงานมากขึ้นหรือไม่?
วิกรมมองในประเด็นนี้ว่า ต่อให้มีเทคโนโลยีอย่างไร คนก็ยังสำคัญ แต่การจ้างการจะเปลี่ยนไป จะเป็นคนที่มีสกิลใหม่ๆ เป็นไฮเทคเทคโนโลยี นอกจากพัฒนาอุตสาหกรรม จะพัฒนาแรงงานคนด้วย จะช่วยปลดล็อกแก้ปัญหาแรงงานราคาถูกที่สู้กับต่างชาติไม่ได้ แก้เชิงพัฒนาคน แต่ทางรัฐบาลต้องช่วยพัฒนาทักษะให้มีฝีมือ คนที่มีทักษะจะอยู่ได้ในยุคดิจิทัล
ยกตัวอย่างตลาดไต้หวันน่าสนใจ มีโครงการซอฟต์แวร์พาร์ค ในพื้นที่ 120 ไร่ สร้างเป็นแท่งๆ มีแรงงาน 20,000-30,000 คน แรงงานปริญญาตรี-เอกทั้งนั้น การผลิตมีมูลค่า GDP ถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เราต้องมาทำเรื่องนวัตกรรมใหม่ ต้องเรียนรู้ว่าเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามา การสื่อสารเร็วๆ ทำให้คนไทยมีความรู้ไปสู่สายตรงนั้น ต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์”
เท่ากับว่าการร่วมมือกันของ 2 ยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับภาพอุตสาหกรรมในประทเศไทยได้อย่างสิ้นเชิง รวมถึงจะสามารถเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานต่อไปในอนาคตได้ด้วย เมื่อมีนวัตกรรมเข้ามา ช่วยส่งเสริมให้คนมีทักษะมากขึ้น ช่วยเพิ่มขีดจำกัดในการแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างแน่นอน