Linda Yaccarino (ลินดา ยัคคาริโน่) เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่ง CEO ของ Twitter หลังจากที่ Elon Musk (อีลอน มัสก์) ได้สร้างความวุ่นวายให้กับบริษัทอย่างมากนับตั้งเเต่เข้ามาเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นการ เลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก การตัดสินใจด้านนโยบายที่ขัดแย้งกัน และการต่อสู้ทางกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม จากความพยายามในช่วง 2 เดือนที่ Linda เข้ามารับตำแหน่ง ล่าสุดเธอได้เปิดเผยว่า บริษัทกําลังกลับสู่โหมดการเติบโต โดยแบรนด์ใหญ่ อาทิ Coca Cola, Visa และ State Farm ได้กลับมาลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มอีกครั้ง ประกอบกับการลดต้นทุนลงทั้งจากการ เลิกจ้าง อย่างต่อเนื่องจนเหลือพนักงานเหลือ 1,500 คน จาก 8,000 คน นับตั้งแต่ที่ Elon เข้าซื้อกิจการ รวมถึงการปรับโครงสร้างพื้นฐาน และการลดพื้นที่สํานักงาน ก็ส่งผลให้เห็นรายได้เติบอย่างต่อเนื่อง และใกล้จะคุ้มทุนแล้ว
“ในช่วง 8 สัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพยายามคุยกับลูกค้ารายใหญ่เพื่อให้รายได้หลักของแพลตฟอร์มกลับมา โดยเราพบสาเหตุที่แบรนด์ชะลอการลงโฆษณานั้นเป็นเพราะความกังวลด้านเนื้อหาเชิงลบ ดังนั้น เราจะพยายามทำให้การแสดงโฆษณาต่อจากคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับโฆษณาของพวกเขาเท่านั้น”
Linda ได้เปิดเผยว่า หลังจากที่รับตำแหน่ง CEO ทาง Elon Musk ก็ให้อิสระทางความคิดในการทำงานนี้กับเธอ แต่ก็จะมีการแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน โดย Elon จะทำงานในด้านการสร้างแบรนด์ และการทำงานเพื่ออนาคต ส่วนเธอจะเน้นการบริหารบริษัทในแต่ละวัน การทำงานร่วมกัน คู่ค้า งานขาย กฎหมาย และทางการเงิน
นอกจากนี้ เธอได้อธิบายถึงการรีแบรนด์จาก Twitter ไปเป็น X ว่า Elon ต้องการให้ X เป็น Super App มานานแล้ว ซึ่งการที่เธอมาทำงานร่วมกับมัสก์ และการรีแบรนด์ก็เป็นหนึ่งในภารกิจนั้น โดยการรีแบรนด์มันคือการ ปลดปล่อยตัวเองจากชื่อ Twitter เพื่อให้แบรนด์สามารถออกจากกรอบความคิดเดิม นำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่
“หากยังใช้ชื่อเดิม ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่พัฒนาจะไม่ใช่สิ่งใหม่แต่เป็นการต่อยอดจาก Twitter”
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่จะได้เห็นจาก X ก็คือ ระบบโอนเงิน ชำระเงิน ระหว่างเพื่อนด้วยกันเอง และครีเอเตอร์ และทิศทางที่จะได้เห็นของจากนี้ก็คือ การเน้นประสบการณ์ด้านวิดีโอ, การเพิ่มบทความขนาดยาว และระบบสมาชิกเพื่อติดตามครีเอเตอร์คนโปรด
สำหรับการมาของ Threads แพลตฟอร์มที่มีฟีเจอร์คล้ายกับ X จาก Meta ทาง Linda มองว่า ไม่ได้น่ากังวลแม้จะมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม บริษัทกําลังจับตาดูคู่แข่งรายใหม่นี้อยู่ แต่ก็จะเน้นไปที่อนาคตของแพลตฟอร์มตัวเองมากกว่า โดยเฉพาะการทำ กำไร
“แต่คุณไม่สามารถละสายตาจากการแข่งขันใด ๆ ได้ โดยสิ่งที่เราเห็นคือ Threads อาจจะสร้างสิ่งที่ Twitter เป็น แต่ตอนนี้เรารีแบรนด์เป็น X ซึ่งแผนงานและวิสัยทัศน์ของเราแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
]]>Mark Zuckerberg CEO Meta บริษัทแม่ของ Threads ได้เปิดเผยว่า บริษัทจะปล่อยฟีเจอร์การ ค้นหา หรือ เสิร์ช (Search) นอกจากนี้จะมี เวอร์ชั่นเว็บไซต์ ให้ใช้งานผ่านเดสก์ท็อปได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
“นี่เป็นสัปดาห์ที่ดีสำหรับ Threads และผมคาดหวังที่จะสร้างแอประยะยาวที่มีชีวิตชีวา”
การมีฟีเจอร์เสิร์ชนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้ลงโฆษณาและครีเอเตอร์ ระบุว่า เพื่อให้ Threads กลายเป็นบริการที่สำคัญ แอปส่งข้อความแบบเรียลไทม์จำเป็นต้องมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ค้นหาหัวข้อที่กำลังมาแรงและค้นหาโพสต์ก่อนหน้าได้ง่ายขึ้น และความสามารถในการเข้าถึง Threads บนเว็บก็มีความสำคัญอย่างยิ่งหาก Meta ต้องการแข่งขันอย่างแท้จริงกับ X ซึ่งเป็นที่นิยมบนเดสก์ท็อป
Meta เปิดตัว Threads ในเดือนกรกฎาคม และจำนวนผู้ใช้ก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การมีส่วนร่วมกับ Threads ได้ลดลงอย่างมากในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตัวเลขล่าสุด (31 ก.ค. 2023) มีการรายงานจาก Sensor Towner ว่า มีผู้ใช้งาน Threads เป็นประจำอยู่ที่ 8 ล้านบัญชี เท่านั้น ขณะที่ความถี่ในการใช้งานก็ลดลงเหลือ 2.6 ครั้ง/วัน และใช้เวลาเพียง 2.9 นาที/วัน เนื่องจากความแปลกใหม่หมดไป และผู้ใช้บางรายรู้สึกหงุดหงิดกับฟังก์ชันการทำงานที่จำกัดของแอป
ทั้งนี้ Mark Zuckerberg กล่าวว่า เขายังมองค่อนข้างบวกเกี่ยวกับอนาคตของ Threads เนื่องจากมันถูกพัฒนาโดยทีมเล็ก ๆ และบริษัทจะไม่สร้างรายได้จากแอปจนกว่าจะมีขนาดใหญ่และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
]]>สำหรับรายได้ของ Meta ใน Q2/2023 อยู่ที่ 31,999 ล้านดอลลาร์ เติบโต 11% มีกำไรสุทธิ 7,788 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม รายได้ในส่วนของ Reality Labs ซึ่งเป็นส่วนของการพัฒนา Metaverse อยู่ที่ 276 ล้านดอลลาร์ ลดลง 39% ซึ่งอาจไม่น่าแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาส่วนในการพัฒนาด้าน Metaverse นั้นขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
ด้านจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มของตระกูล Meta ทั้งหมด ได้แก่ Facebook, WhatsApp, Instagram, Messenger และ Threads มีผู้ใช้งานรวมกันกว่า 3.88 พันล้านคนต่อเดือน หรือ เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 พันล้านคนต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์ม Facebook ที่ดูจะเสื่อมความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น แต่ปัจจุบันแพลตฟอร์มนี้ก็ยังห่างไกลจากความตาย จากที่จำนวนผู้ใช้รายวันลดลงทุกไตรมาสนับตั้งแต่ Q4/2021 แต่ใน Q2/2023 จำนวนผู้ใช้ที่ใช้งานรายวันก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 2.037 พันล้านคนต่อวัน เป็น 2.064 พันล้านคนต่อวัน
ที่น่าสนใจคือ การเติบโตดังกล่าวอาจถูกขับเคลื่อนโดย Reels ซึ่งเป็นฟีเจอร์วิดีโอสั้นเหมือนกับของ TikTok ที่ Meta พยายามผลักดันอย่างหนักทั่วทั้งในแพลตฟอร์ม Instagram และ Facebook โดย Mark Zuckerberg CEO ของ Meta เปิดเผยว่า Reels มีการใช้ถึง 2 แสนล้านครั้งต่อวัน
ด้านแพลตฟอร์มใหม่ถอดด้ามอย่าง Threads ก็มีผู้ใช้ถึง 100 ล้านคนภายใน 5 วัน และ ผู้ใช้ราว 10 ล้านคนเข้ามาใช้งานทุกวัน ซึ่ง Mark Zuckerberg มองว่าตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างน่าประทับใจ
ในส่วนของต้นทุนและค่าใช้จ่ายของ Meta ใน Q2/2023 ทั้งหมดอยู่ที่ 2.221 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนจำนวนพนักงานในปัจจุบันอยู่ที่ 71,469 คน ลดลง 14% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา หุ้นของ Meta เติบโตขึ้นกว่า 160%
]]>จากข้อมูลของ Sensor Tower บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด เปิดเผยว่า Threads แม้จะมีการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ที่รวดเร็ว แต่ การมีส่วนร่วม บนแพลตฟอร์มก็ ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นกัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่ใช้งานรายวันของแพลตฟอร์ม ลดลงประมาณ 20% และเวลาเฉลี่ยในการใช้งานก็ ลดลงครึ่งหนึ่ง จาก 20 นาที เหลือ 10 นาที
ข้อมูลของ Sensor Tower นั้นใกล้เคียงกับบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลรายอื่น ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า เวลาในการใช้งานของ Threads ลดลงมากกว่าครึ่ง โดยระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ลดลงจากประมาณ 20 นาที ในวันที่ 6 กรกฎาคมเหลือเพียง 8 นาทีในวันที่ 10 กรกฎาคม
ขณะที่บางบริษัทให้ข้อมูลว่า นับเฉพาะผู้ใช้ในระบบปฏิบัติการ Android ระหว่างวันที่ 7 ก.ค. จนถึงวันที่ 10 ก.ค. จำนวนผู้ใช้ประจำ ลดลงกว่า 25% เหลือประมาณ 36.6 ล้านราย เนื่องจากผู้ใช้ยังไม่ติด Threads เท่ากับแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ ที่ต้องเข้าใช้งานบ่อย ๆ
“การที่ Meta เปิดให้ผู้ใช้สร้างบัญชี Threads จาก Instagram มันช่วยให้ปริมาณผู้ใช้งานเติบโตอย่างรวดเร็วกว่าบริการอื่น ๆ มาก แต่จะทำให้ผู้ใช้อยู่กับแพลตฟอร์ม ก็ต้องนำเสนอคุณค่าที่น่าสนใจมากกว่าเพียงแค่เป็น Twitter เวอร์ชันที่ไม่มี Elon Musk” Anthony Bartolacci กรรมการผู้จัดการของ Sensor Tower
ด้วยความที่ Threads ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้น หลายคนจึงมองว่าถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีจำนวนผู้สมัครเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การใช้งานก็จะลดลงถ้าแพลตฟอร์มไม่มีอะไรใหม่ ๆ รวมถึงหัวข้อการสนทนาของชุมชนนั้นไม่มีแรงมากพอที่จะช่วยขับเคลื่อนการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม Meta ออกมาระบุว่า “การเติบโตของผู้ใช้งาน Threads นั้นเกินความคาดหมายมาก และตอนนี้เรามุ่งเน้นที่การรับประกันประสิทธิภาพที่เสถียร นำเสนอฟีเจอร์ใหม่ ๆ และปรับปรุงประสบการณ์อย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” โดยนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม Threads ภายในหนึ่งวันมีจำนวนโพสต์บนแพลตฟอร์มถึง 95 ล้านโพสต์ และมีการกดถูกใจถึง 190 ล้านไลก์
ทั้งนี้ Threads แม้จะมีความคล้ายกับ Twitter อย่างมาก แต่จุดที่แตกต่างคือสามารถโพสต์ได้ยาวสูงสุด 500 ตัวอักษร และรองรับลิงก์ รูปภาพ และวิดีโอสูงสุด 5 นาที แต่ยังไม่สามารถส่งข้อความโดยตรง ยังไม่มีเวอร์ชันเดสก์ท็อป นอกจากนี้ยังขาดฟังก์ชันแฮชแท็กและการค้นหาคำหลัก ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดอย่างมากสำหรับใช้ติดตามเหตุการณ์แบบเรียลไทม์เหมือนกับ Twitter
อย่างไรก็ตาม หาก Threads ต้องการจะแซง Twitter ขอแค่มีผู้ใช้เพียง 1 ใน 4 ของ Instagram ก็จะมีจำนวนผู้ใช้เทียบเท่ากับ Twitter และนับตั้งแต่ที่ Threads เปิดตัว จำนวนผู้ใช้ Twitter ก็ลดลงประมาณ 11%
]]>แพลตฟอร์มที่ถูกสร้างโดย Jack Dorsey อดีต CEO ของ Twitter ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มันจะคล้ายกับ Twitter โดยวิธีการใช้งานของเจ้า Bluesky นั้นก็มีความคล้าย Twitter อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าฟีดที่จะแสดงโพสต์ที่น่าสนใจ, การจำกัดตัวอักษรในการเขียนโพสต์สูงสุด 256 ตัวอักษร, มีปุ่มรีโพสต์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะแตกต่างจาก Twitter ก็คือ ผู้ใช้ใหม่จะต้องมีคน เชิญ เท่านั้น (คล้าย ๆ กับ Clubhouse) ดังนั้น แพลตฟอร์ม Bluesky จึงยังไม่ได้มีการใช้งานที่แพร่หลายมากนักในปัจจุบัน
ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีมานานต้ังแต่ปี 2016 และที่น่าสนใจคือ Mastodon เป็นแพลตฟอร์มแบบ Decentralized ที่จะประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์อิสระมากมาย ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผู้ใช้สามารสร้าง Mastodon (หรือที่เรียกว่าการสร้างเซิร์ฟเวอร์) ของตัวเอง สามารถสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หรือปรับแต่งได้ตามใจชอบ
นอกจากนี้ ในหน้าฟีดของ Mastodon แสดงตามบุคคลที่เราติดตามและ แสดงตามลำดับเวลาเท่านั้น เนื่องจากแพลตฟอร์มไม่มีอัลกอริทึมมาคอยจัดการว่าโพสต์ไหนควรขึ้นก่อน ขึ้นหลัง ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ก็มีให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นการตอบกลับ, รีโพสต์ เป็นต้น และที่น่าจะถูกอกถูกใจผู้ใช้หลายคนก็คือ ไม่มีโฆษณา เพราะ Mastodon ถูกพัฒนาโดย องค์กรไม่แสวงหากำไร ดังนั้น จึงไม่มีการขายโฆษณา
จุดเด่นของ Minds ก็คือ เป็นแพลตฟอร์มที่ ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริง เบอร์โทรศัพท์ หรือแม้แต่หมายเลข IP Address ของผู้ใช้งาน แค่เพียงกรอกชื่อ รหัสผ่าน และอีเมล (รอเมลยืนยัน) ก็ใช้งานได้เลย ซึ่งฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็มีครบ อาทิ ปุ่ม Remind ที่เปรียบเสมือปุ่ม Retweet และที่สำคัญคือ ไม่มีการจำกัดเนื้อหาที่โพสต์
อย่างไรก็ตาม เพราะแพลตฟอร์มไม่เช็คข้อมูลส่วนตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น หลายคนเลยมีความกังวลด้าน ความปลอดภัย หรือการ แอบอ้าง เป็นบุคคลต่าง ๆ ได้
แพลตฟอร์มที่ก่อตั้งโดย วัยรุ่นอายุ 24 ปี นาม Raluca Pop ซึ่งหลังจากเปิดตัวก็มียอดดาวน์โหลดถึง 2 ล้านครั้ง โดยจุดเด่นของ Hive Social ที่ผู้พัฒนาต้องการเน้นก็คือ สุขภาพจิตของผู้ใช้ ดังนั้น เอไอของแพลตฟอร์มจะเน้นทำหน้าที่คัดกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แถมยังไม่สนับสนุนข้อความที่สื่อถึงความเกลียดชังทุกรูปแบบอีกด้วย และที่สำคัญ ไม่มีโฆษณาคั่น
ในส่วนของการใช้งานจะ ไม่มีจำกัดจำนวนตัวอักษร ในการโพสต์ ส่วนเนื้อหาที่ขึ้นฟีดก็จะอิง ตามลำดับเวลา เหมือนกับ Mastodon แต่ที่น่าสนใจคือ สามารถเพิ่มเพลงลงในหน้าโปรไฟล์ได้อีกด้วย
แพลตฟอร์มที่ระบุเลยว่า ไม่มีโฆษณา ข่าวปลอม หรือการละเมิดใด ๆ บนแพลตฟอร์ม โดย CounterSocial เน้นนําเสนอข่าวสาร การสตรีมสด และความสามารถในการสร้างชุมชน ผู้ใช้กําหนดเนื้อหาบน CounterSocial นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างคอลัมน์บนอินเทอร์เฟซผู้ใช้เพื่อจัดเรียงโพสต์ตามหัวข้อ แฮชแท็ก และผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถแชร์ กดไลก์ และแสดงความคิดเห็นในโพสต์ได้ มีคุณสมบัติวิดีโอแชทด้วย
นี่เป็นแค่แพลตฟอร์มบางส่วนเท่านั้น เพราะจริง ๆ ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มที่การใช้งานคล้ายกับ Twitter เช่น Tumblr, Reddit ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในตลาดมานาน แต่ก็มีบางแพลตฟอร์มอย่าง Gettr แพลตฟอร์มที่สร้างโดยอดีตโฆษกของ Donald Trump ที่มีเป้าหมายเพื่อการสนับสนุนกลุ่มอนุรักษนิยมอเมริกัน ดังนั้น แม้จะมีความคล้ายกับ Twitter แบบสุด ๆ แต่ก็มองว่าอาจจะไม่ได้เหมาะกับผู้ใช้ไทยนัก ว่าแต่ นอกจาก Threads แล้ว สนใจอยากลองใช้แพลตฟอร์มไหนกันอีกบ้าง
]]>อ้างอิงข้อมูล Q1/2023 พบว่า ในทุก ๆ วันมีผู้คนมากกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก ที่ใช้งานแพลตฟอร์มในเครือของ Meta ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram และ WhatsApp แต่ล่าสุด Meta ก็เตรียมเปิดให้คนได้ใช้แพลตฟอร์มใหม่ Threads โดยพร้อมให้โหลด 6 ก.ค. นี้บน App Store
สำหรับแอป Threads นี้จะทำงาน คล้ายกับ Twitter โดยแนวคิดของแพลตฟอร์มคือ การสร้างพื้นที่สำหรับสื่อสารกับเพื่อนสนิท ดังนั้น แพลตฟอร์มดังกล่าวจึงเป็นพื้นที่ที่มีความ เป็นส่วนตัวมาก โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความ แชร์รูปภาพ วิดีโอ สตอรี่ และข้อมูลอื่น ๆ ให้กับเพื่อนที่อยู่ในรายการเพื่อนสนิทได้ และยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ใครเข้าถึงข้อมูลบนแอปได้บ้าง
เบื้องต้น มีรายงานว่าผู้ใช้ Threads จะสามารถติดตามบัญชีที่พวกเขาติดตามบน Instagram และคงชื่อผู้ใช้เดิมไว้ได้ โดยสามารถเลือกติดตามผู้ใช้งาน Threads จากบัญชีที่ติดตามอยู่แล้วบน Instagram ส่วนหน้าเขียนโพสต์จะแสดงจำนวนตัวอักษรที่เป็นโควตาของข้อความ และใต้โพสต์จะมีไอคอนสำหรับ กดถูกใจ รีโพสต์, ตอบกลับ, แชร์
หลายคนมองว่าที่ Meta เปิดตัว Threads ให้ใช้ในช่วงนี้ก็เป็นเพราะแพลตฟอร์ม Twitter กำลังมีปัญหา ทั้งจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่มีการจำกัดการเห็นโพสต์ ซึ่งยังไม่รวมกับปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นับตั้งแต่ที่ อีลอน มัสก์ เข้ามาเป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม Twitter ยังมีแพลตฟอร์มคู่แข่งอีกหลายราย เช่น Mastodon และ Bluesky อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 แพลตฟอร์มอาจจะยังเพิ่งตั้งไข่ ดังนั้น จึงยังไม่ได้สร้างเครือข่ายของตนเพื่อเป็นทางเลือกที่ทำงานได้ แต่ไม่ใช่กับ Instagram ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 1,300 ล้านคน
ทั้งนี้ Meta ถือเป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อในการใช้ แรงบันดาลใจจากคู่แข่ง ในการพัฒนาฟีเจอร์หรือแพลตฟอร์มใหม่ ๆ อย่างฟีเจอร์ Story ถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่คล้ายกับ Snapchat แต่ปัจจุบันผู้คนจำนวนมากใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวมากกว่าใช้งาน Snapchat นอกจากนี้ก็มี Reels ที่คล้ายกับ TikTok แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับต้นฉบับ
]]>