บนพื้นที่ 3,454 ไร่ ในตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง คือที่ตั้งของ “วังจันทร์วัลเลย์” พัฒนาโดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป้าหมายเพื่อเป็นแหล่งวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ตามนโยบาย Thailand 4.0 สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ประเทศ
วิสัยทัศน์แหล่งนวัตกรรมของ ปตท. ไม่ใช่แค่เพียงนวัตกรรมด้านพลังงานเท่านั้น แต่มองครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมอื่น ขยายไปถึงภาคเกษตรกรรมและบริการ ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยในอนาคต และยังเปิดให้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมในระบบนิเวศนี้ได้ทั้งหมด
เมื่อเป็นแหล่งวิจัยนวัตกรรม วังจันทร์วัลเลย์ จึงมีทั้งพื้นที่เพื่อการศึกษา เพื่อปั้นนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่รุ่นเยาว์ รวมถึงมีแหล่งที่พักอาศัย แหล่งสันทนาการ พื้นที่ธรรมชาติให้กับนักวิจัย ซึ่งเปิดให้ชุมชนใกล้เคียงเข้ามาใช้งานได้ด้วย ทำให้ภาพของโครงการนี้มีความสมบูรณ์ครบวงจร มองแบบครบลูปในการสร้างแหล่งนวัตกรรม และครอบคลุมไปไกลกว่าเฉพาะ ปตท.
พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ แบ่งเป็น 3 ส่วนประกอบหลักตามคอนเซ็ปต์ Smart Natural Innovation Platform ได้แก่
1) พื้นที่เพื่อการศึกษา (Education Zone) กลุ่มที่ตอบโจทย์การสร้างการศึกษา คือ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) และ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เป็นแหล่งบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยรุ่นใหม่ของประเทศ ช่วย Up-skill หรือ Re-skill ให้บุคลากร และเป็นตัวกลางสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ รวมถึงมีกลุ่มที่ตอบโจทย์ด้านการพัฒนาทางการเกษตร มุ่งสู่การสร้างประสิทธิภาพผลผลิตและ Smart Farming ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ และ ศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา
2) พื้นที่เพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม (Innovation Zone) สำหรับพัฒนาเป็นศูนย์วิจัย พัฒนา และนวัตกรรม หรือ Smart Innovation Platform เพื่อยกระดับความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด โดยออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการไว้อย่างครบวงจร พร้อมรองรับวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ EECi นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ข้อมูล (Data Center) ส่วนกลาง และอาคารศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center: IOC) ซึ่งมีการวางโครงข่ายเชื่อมโยงกับระบบอัจฉริยะต่างๆ เพื่อบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ต่อยอดในเชิงธุรกิจ
3) พื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวก ที่พักอาศัยและสันทนาการ (Community Zone) นักวิจัย นักเรียน และชุมชนที่เกี่ยวข้องจะใช้ชีวิตได้จริงในโครงการนี้ เพราะโครงการมีการพัฒนา ที่พักอาศัย โรงแรม ศูนย์การค้า แหล่งนันทนาการ พื้นที่อาคารต่างๆ ยังดีไซน์แบบ Universal Design ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงวัย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเพื่อดึงดูดบุคลากรชั้นนำให้มาร่วมสร้างสรรค์งานในพื้นที่นี้
วังจันทร์วัลเลย์ ยังได้รับการประกาศเป็น “เขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ” (Smart City) จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้น องค์ประกอบภายในโครงการจะพัฒนาตามหลักการ Smart City ครบทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ Smart Economy, Smart People, Smart Living, Smart Environment, Smart Mobility, Smart Energy และ Smart Governance ดังนั้น นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาตรงกับองค์ประกอบของ Smart City ในหลายด้าน เรายังจะได้เห็นวังจันทร์วัลเลย์เป็นเมืองตัวอย่างของการปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยภายในจะมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานสะอาด กระจายไฟฟ้าสู่ทั้งโครงการด้วยระบบ Smart Grid มีรถประจำทางไฟฟ้ารับส่งภายในพื้นที่ มีทางเดินและทางจักรยานที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แหล่งพัฒนานวัตกรรมคงเกิดขึ้นจริงไม่ได้เลยถ้าไม่สามารถ “ทดลอง” สิ่งใหม่ได้ ดังนั้น วังจันทร์วัลเลย์จึงประสานงานทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเปิดพื้นที่ให้โครงการนี้เป็น “แซนด์บ็อกซ์” ผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ
โครงการที่ได้ดำเนินการแล้วขณะนี้คือ 5G Play Ground เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการใช้โครงข่าย 5G และ UAV Regulatory Sandbox ทดสอบเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Unmanned Aerial Vehicle หรือก็คือ “โดรน” นั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือหลายฝ่าย ได้แก่
ขณะนี้โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้ว 95% จะเสร็จสมบูรณ์ 100% ภายในไตรมาส 3 ปี 2564 ระหว่างนี้โครงการกำลังเปิดรับผู้ที่สนใจและพันธมิตรเพิ่มเติม โดย ปตท. จะทำหน้าที่เป็น Enabler ผู้สร้างระบบนิเวศความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ดังตัวอย่างแซนด์บ็อกซ์ 5G และ UAV ข้างต้น จุดประสงค์เพื่อมุ่งสู่นวัตกรรมสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจ
วังจันทร์วัลเลย์มีสิทธิประโยชน์ให้สำหรับผู้ที่สนใจเข้าใช้บริการในโครงการ ดังนี้
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อีเมล [email protected]
]]>ท่ามกลางตลาดอสังหาฯ รายใหญ่ที่กำลังซบเซา เพราะพิษ COVID-19 อีกมุมหนึ่งเราได้เห็นเทรนด์ใหม่ผุดขึ้นมา คือการที่ผู้คนหันมาฮิต “ตกเเต่งบ้านเอง” ทั้งจัดห้องใหม่ การปลูกต้นไม้ รวมไปถึงการรีโนเวต ทำให้ตลาดลูกค้ารายย่อยเติบโตขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เเละมองว่าเทรนด์นี้จะอยู่ต่อไปอีกในระยะยาว
ขณะที่ตลาดคอนโดฯ หดตัวแรงเเละไม่มีท่าทีจะฟื้นในเร็ววัน เเบรนด์ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่เคยเน้นดีลกับโครงการต่างๆ จึงต้องปรับแผนธุรกิจยกใหญ่ เดินหน้าขยายฐานลูกค้าบ้านแนวราบและหันมาเจาะ “เจ้าของบ้าน” ที่เป็นผู้ซื้อโดยตรงมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวของเเบรนด์ Tostem ที่มามาดใหม่ ด้วยการปรับทัพบุกทั้งดิจิทัลเเละรีเทลในช่วงนี้…น่าจับตามองไม่น้อย
Tostem (ทอสเท็ม) เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ประตู หน้าต่างอะลูมิเนียมในเครือของ Lixil Japan กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและตกแต่งอาคาร ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น มีสาขาอยู่ 16 ประเทศ 103 โรงงานทั่วโลก ขึ้นชื่อด้านดีไซน์ที่เรียบง่าย มีสไตล์ มีฟังก์ชั่นการใช้งานครบวงจร ด้วยการเป็นเเบรนด์ Total Housing Solution พร้อมจุดเด่นของการใช้ระบบ PRE-ENGINEERED SYSTEM ในการผลิตชิ้นงาน เพื่อให้เวลาติดตั้งทุกชิ้นจะต่อกันสนิท
ที่ผ่านมา Tostem เป็นที่รู้จักในเเเวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เเละสถาปนิก เพราะส่วนใหญ่เน้นทำตลาดเเบบ B2B (Business-to-Business) เป็นผลิตภัณฑ์ที่โครงการอสังหาฯ เจ้าใหญ่เลือกใช้ เปิดตัวในประเทศไทย เมื่อปี 2007 หลังมีโรงงานผลิตในไทยมาตั้งเเต่ปี 1987 เเต่ในขณะนั้นเป็นศูนย์ผลิตส่งชิ้นส่วนสินค้าให้ญี่ปุ่นเป็นหลัก ก่อนขยายมาเปิดตลาดในไทยอย่างเต็มตัว ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ด้วยความที่ Tostem มีสัดส่วนตลาดเเบบ B2B มากถึง 80-90% ลูกบ้านในโครงการหลายคนอาจจะได้ใช้สินค้าของ Tostem อยู่เเล้วเเต่ไม่รู้ตัว…
ช่วงนี้เทรนด์การตกเเต่งบ้านก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตอยู่บ้านเเละ Work From Home กันมากขึ้น ทำให้คนหันมาสนใจเเต่งบ้านด้วยตัวเอง เลือกซื้อวัสดุเอง ต้องการมีส่วนร่วมในการออกแบบเเละการรีโนเวต
ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ Tostem ต้องปรับทิศทางเเละกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสื่อสารกับ “กลุ่มผู้บริโภคโดยตรง” มากขึ้นนั่นเอง
วิชา วรสายัณห์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจ Total Housing Solution เล่าให้ Positioning ฟังว่า หลังเกิดวิกฤต COVID-19 ทำให้มีการหดตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ “ชะลอตัว” โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าคอนโดมิเนียมมีกำลังซื้อลดลง เเต่ยอดขายสินค้าตลาดบ้านแนวราบกลับเติบโต 20% จากกระเเสปรับปรุงบ้านเก่าและตกแต่งบ้านใหม่
โดยกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ Tostem ถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 น้อย อีกทั้งยังมีการจับจ่ายใช้สอยเพื่อตกเเต่งบ้านมากขึ้นด้วย
เมื่อพฤติกรรมคนเปลี่ยน ธุรกิจก็ต้องเปลี่ยน Tostem จึงต้องทบทวนเเผนการเเละหาเเนวทางที่ตอบโจทย์สถานการณ์ตลาดให้ได้
“เรามองว่าในระยะ 1-2 ปีจากนี้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% และเพิ่มเป็น 30-40% ในช่วง 5-10 ปีจากนี้ โดยในปีที่ผ่านมา Tostem มียอดขายรวมเติบโตราว 15%”
ดังนั้น บริษัทจึงต้อง “เพิ่มช่องทางการเข้าถึง” เพื่อให้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรงเเละเปิดโอกาสให้ได้ “เจอของจริง” ให้มากขึ้น ไปพร้อมๆ กับการเดินหน้าสร้างการรับรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook และเว็บไซต์ และล่าสุดได้ขยายไปยังเเอปพลิเคชั่น Line เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับ Tostem ได้หลากหลายช่องทาง
“เทรนด์ตกเเต่งบ้านของผู้คนในช่วงนี้ จะเน้นไปที่ความโล่ง โปร่งสบาย มีอากาศถ่ายเทสะดวก เเละต้องมีการดีไซน์ทีมีความมินิมอล ฟังก์ชั่นการใช้งานครบ Universal Design ที่รองรับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของเรา ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนไทยชื่นชอบการเเต่งบ้านสไตล์ญี่ปุ่นเป็นทุนเดิม ก็คาดว่า Tostem จะขยายตลาดเเมสในไทยได้ไม่ยากนัก”
หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะขยายฐานลูกค้าบ้านแนวราบและกลุ่มผู้ซื้อโดยตรง นั้นก็คือ การทุ่งเงินกว่า 20 ล้านบาท เปิดตัว “TOSTEM Flagship Showroom” แห่งใหม่บนพื้นที่ 425 ตารางเมตร ในคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) ภายใต้แนวคิด Total Housing Solution แบบครบวงจร เพื่อเป็นอีกหนึ่งในสาขาใหญ่ที่คอยให้บริการลูกค้าอย่างครอบคลุมมากขึ้น
หลายคนผ่านมาเเถวนี้อาจจะคุ้นๆ กันบ้าง เพราะโชว์รูมของ Tostem ที่ CDC ไม่ใช่สาขาใหม่ แต่เป็นการแยกออกมาเปิดโชว์รูมแบบสแตนด์อะโลน จากเดิมที่เคยใช้พื้นที่เดียวกันกับสินค้าในเครือ Lixil ตอนนี้กลายเป็นโชว์รูมที่มีทั้งสินค้าให้ทดลองจับจริง เผยให้เห็นฟังก์ชั่นการใช้งานเต็มที่
สำหรับเหตุผลที่เลือกเปิด TOSTEM Flagship Showroom แห่งใหม่ที่ CDC เพราะมองว่าศูนย์รวมสินค้าก่อสร้าง ทำให้ลูกค้าที่เดินทางมาเลือกซื้อวัสดุต่างๆ มีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสเเละรับรู้ข้อมูลต่างๆ ของ Tostem ได้สะดวกเเละเข้าถึงง่าย
“การช่วยให้ลูกค้าได้เข้ามาสัมผัสและทดลองใช้สินค้าได้จริง และมีประสบการณ์ตรง เป็นจุดสำคัญมากของสินค้าเรา เพราะลูกค้าจะได้เห็นความแตกต่างของคุณภาพสินค้า เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเเบรนด์ที่มีอยู่ในตลาด ขยายเข้าสู่กลุ่มลูกค้าโดยตรงเพิ่มมากขึ้นไปพร้อมๆ กัน”
ขณะเดียวกัน ก็มีกระจายโชว์รูมไปตามโซนบ้านพักเเละชุมชน ซึ่งมีการเเย่งพื้นที่ชัดเจนเพื่อให้ลูกค้าไม่ต้องเดินทางไกล โดยปัจจุบัน Tostem มีโชว์รูมและเดโม่รูมอยู่ในกรุงเทพ ตามหัวเมืองทั้งหมด 4 แห่ง อย่างที่ TOSTEM Flagship Showroom ที่ CDC เเละในบุญถาวร สาขาราชพฤกษ์ เดโม่รูมในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต ซึ่งกำลังมีแผนจะขยายโชว์รูมในหัวเมืองใหญ่ตามต่างจังหวัดต่อไป
“เราต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ ซึ่งตอนนี้ผู้บริโภคต้องการมีส่วนร่วมในการออกแบบ เลือกวัสดุก่อสร้างเองเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ผู้รับเหมาเป็นผู้นำเสนอและจะผู้เลือกให้แก่ลูกค้าทั้งหมด เพราะสมัยก่อนผู้บริโภคขาดข้อมูลและไม่มีสินค้าให้เลือกมากเท่าที่ควร เเต่ตอนนี้ลูกค้าหาข้อมูลเเละศึกษามาเองเเล้ว บางคนเเค่อยากมาดูของจริงให้เเน่ใจ เพราะพวกเขาตัดสินใจว่าจะซื้อเเล้วตั้งเเต่ที่บ้านเเล้ว ดังนั้น Tostem จึงต้องเเสดงคุณภาพของสินค้าออกมาให้เห็นมากที่สุด”
นอกจากนี้ ปัญหาที่เกิดหลังการสร้างบ้าน เช่น หากเราไม่เลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการเลือกสินค้ากลุ่มประตูหน้าต่าง ซึ่งมักเกิดปัญหาการยืด และหดตัวของบานประตูหน้าต่าง ทำให้ไม่สามารถปิดได้สนิทในฤดูฝน หรือเกิดปัญหาการหลุดพังของบานประตู จากน้ำหนักของวัสดุที่ใช้มากเกินไป เหล่านี้เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภค เลือกที่จะ “ไว้ใจตัวเอง” ในการหาซื้อของดีเเละใช้ได้ระยะยาว
ณ TOSTEM Flagship Showroom จะมีสินค้าติดตั้งและแสดงให้ลูกค้าชมอย่างหลากหลาย พร้อมมี “ห้องทดลอง” ให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบสินค้าชัดๆ ทั้งในรูปแบบการสัมผัส การได้ฟังเสียงเเละการมองเห็นเหตุการณ์จำลองต่างๆ โดยลูกค้าจะได้รับคำแนะนำ และสามารถสอบถามรายละเอียดจากพนักงานที่พร้อมให้ข้อมูลสินค้าทุกรายการ
ส่วนบรรยากาศของที่นี่ จึงจะเน้นการสื่อถึงความรู้สึกสะดวกสบายเเละทันสมัย พร้อมมีคาเฟ่เล็กๆ คอยให้บริการไว้พูดคุยกันชิลๆ เเบบผ่อนคลายด้วย
ดังที่กล่าวมาว่า Tostem เป็นเเบรนด์ที่มีจุดเด่นของการใช้ระบบ PRE-ENGINEERED SYSTEM ในการผลิตชิ้นงาน เพื่อให้เวลาติดตั้งทุกชิ้นจะต่อกันสนิท ซึ่งเป็นการสั่งประกอบจากโรงงานตามแบบและขนาดที่ลูกค้าต้องการ ช่วยลดปัญหาคุณภาพการติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐานไปในตัว พร้อมๆ กับการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด ไม่มีเหลือทิ้งให้เป็นมลพิษ
ผลิตภัณฑ์ของ Tostem ยังใช้นวัตกรรมการเคลือบสีแบบ Texguard เพื่อเสริมความแข็งแรงของอลูมิเนียม ป้องกันรอยขีดข่วน ลดปัญหาสีซีดจางตามการใช้งานได้กว่า 40 ปีเเละทำความสะอาดง่าย
จุดเด่นอีกอย่างคือ การใส่ใจด้วยการออกเเบบสินค้า ที่เน้นตามหลัก Universal Design ที่รองรับผู้อยู่อาศัยในบ้านได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานของผู้สูงอายุ ก็เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญของ Lixil เพราะญี่ปุ่นก้าวสู่สังคมสูงวัยเต็มขั้นเเล้ว การนำมาใช้ในตลาดไทยที่กำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยในเร็ววันนี้ ก็เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนอย่างมาก
ปัจจุบัน Tostem มีสินค้าขายดี อย่างรุ่น P7 SERIES และรุ่น WE70 SERIES ประตูหน้าต่างเพื่อบ้านแนวราบ มีการดีไซน์เเบบโมเดิร์น เน้นความหรูหรา กรอบหน้าต่าง กรอบล่างติดตั้งตัวระบบระบายน้ำ กรอบแนวตั้งปิด-เปิดได้สะดวก ตัวล็อกบานป้องกันการถูกงัดเปิดจากด้านนอก ระบบล็อกแบบก้านโยก เพื่อป้องกันการล็อกไม่สนิท เพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบล็อกเสริม โดยใน รุ่น P7 SERIES จะติดตั้งบานมุ้งแบบติดตั้งด้านนอกสำหรับบานเลื่อนด้วย
อีกผลิตภัณฑ์รุ่นเรือธงของกรอบประตูหน้าต่าง คือรุ่น GRANT SERIES ที่มีการดีไซน์พิเศษเพื่อเพิ่มพื้นที่ของกระจกให้มากขึ้น เน้นความบางเเต่เเข็งเเรง เปิดสู่ภายนอกแบบได้เเบบพาโนรามา มาพร้อมกับฟังก์ชันพิเศษที่ซ่อนกรอบบานประตูเข้าภายในวงกบ และระบบป้องกันน้ำ 2 ชั้น
ตามมาด้วยรุ่น WE PLUS SERIES ประตูหน้าต่างที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โดยผ่านการออกแบบและทดสอบประสิทธิภาพตามมาตรฐาน ASTM และมาตรฐานที่เข้มงวดของ Tostem สามารถทำความสูงได้ถึง 3 เมตร เพื่อตอบโจทย์คนชอบอาคารสูง
นอกจากนี้ ยังมีรุ่น WE40 SERIES บานหน้าต่างราคาย่อมเยาว์ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าถึงได้ง่าย รวมถึงกลุ่มสินค้าประตูและรั้วอะลูมิเนียม ที่มีติดตั้งไว้ให้ลูกค้าสามารถทดลองใช้จริงใน TOSTEM Flagship Showroom ด้วย
ผู้บริหารเเบรนด์ Tostem ย้ำว่า เเม้ตลาดอสังหาฯ จะยังฟื้นตัวช้าในปีหน้า เเต่การดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเจาะลูกค้าที่เป็น “เจ้าของบ้าน” โดยตรงยังคงจะไปได้สวย โดยบริษัทในเครือ Lixil กำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจที่จะต่อยอดต่อไป อย่างการขยายตลาดในต่างจังหวัดของไทย เเละตลาดในอาเซียนที่โตไวอย่างเวียดนาม ก็น่าสนใจไม่น้อย
“หัวใจของธุรกิจวัสดุก่อสร้าง คือต้องมีสินค้าคุณภาพ มีมาตรฐาน รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มที่จะลงทุน “ครั้งเดียวเเล้วจบ” ไม่มีใครอยากสร้างบ้านเเล้วเจอปัญหาทีหลัง อยากซื้อเเล้วได้ใช้ไปยาวๆ เเบรนด์จึงต้องพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาเเบบไม่หยุดนิ่ง”
]]>