หั่นเป้าลง 8,000 คัน เพราะรถไม่พอ

ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกรทวอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า ปัญหา Short supply นั้นส่งผลกระทบกับแบรนด์อย่างมาก ทำให้เป้าหมายการเปิดตัวรถใหม่จาก 5 รุ่น เหลือเพียง 3 รุ่น โดยจะมี Haval H6 Plug-in Hybrid ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้ และเนื่องจากจำนวนรถที่เปิดตัวน้อย จึงได้ปรับเป้าหมายยอดขาย 20,000 คัน เหลือเพียง 12,000 คัน เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง

โดยบริษัทมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้า เพราะยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปี (ม.ค.-มิ.ย.) GWM มียอดขายทั้งสิ้น 5,219 คัน แบ่งเป็น

• Haval H6 : 2,218 คัน (ยอดขายสะสม 4,859 คัน)
• Ora Good Cat : 1,402 คัน (ยอดขายสะสม 1,864 คัน)
• Jolion : 1,599 คัน (ยอดขายสะสม 2,198 คัน)

น้องแมวเตรียมขึ้นราคา

สำหรับ Ora Good Cat รถไฟฟ้า 100% ของค่ายยังได้รับการตอบรับอย่างดี โดย ORA Good Cat GT ก็ถูกจองหมด 500 คันไม่ถึง 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม สำหรับสินค้าล็อตใหม่ที่จะเปิดพรีออเดอร์ต้องรอดูว่าบริษัทแม่จะมีการจัดสรรโควตาให้มากน้อยแค่ไหน ด้วยต้นทุนที่มันสูงขึ้น บริษัทจำเป็นต้อง ปรับราคาใหม่ ที่จะสะท้อนต้นทุนจริงสำหรับล็อตต่อไป แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเปิดจองอีกเมื่อไหร่ เนื่องจากปัจจุบัน GWM มียอดค้างส่งมอบราว ๆ 3,000 คัน โดยครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะส่งมอบได้ 300 คัน

“ตอนนี้ต้นทุนแพงขึ้นหมด เพราะวัตถุดิบผลิตชิปและผลิตแบตเตอรี่ขึ้นราคาหมด อย่างราคาลิเธียมปรับขึ้น 500% หลายแบรนด์ต้องปรับกลยุทธ์ เช่น ปรับราคา ตัดออปชั่น ดังนั้น Ora Good Cat ล็อตใหม่อาจปรับราคา ส่วนรุ่นอื่น ๆ ขึ้นอาจยังตอบไม่ได้ 100% จะมีการปรับราคาไหม แต่ถ้าไม่มีการปรับโฉมเราจะพยายามตรึงราคา”

เพิ่มการันตีสยบปัญหา

ณรงค์ ยอมรับว่า ยอดขายรถรุ่นเรือธงอย่าง Jolion ไม่เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากที่ผ่านมามีกระแสว่า รถกินน้ำมันเกินเหตุ ซึ่งทางบริษัทก็ได้มีการชี้แจงกับลูกค้า พร้อมกับขยายการรับประกันให้ลูกค้าจาก 5 ปี หรือ 150,000 กม. เป็น 7 ปี 190,000 กม. และรับประกันอะไหล่ทุกชิ้น

ส่วนด้าน Ora Good Cat ที่มีปัญหาเรื่องรออะไหล่นาน โดยทางบริษัทกำลังแก้ปัญหา เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดล่าช้าเพราะต้องนำเข้าอะไหล่ทั้งหมด โดยทางบริษัทก็พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจะการันตีว่าจากนี้จะ รออะไหล่ไม่เกิน 2 สัปดาห์ โดยมีแผนจะเพิ่มคลังเก็บอะไหล่เป็น 5,300 SKU หรือคิดเป็นประมาณ 90% ของชิ้นส่วนรถจากเดิม 3,700 SKU

“เรามีกลยุทธ์ 6S ซึ่งให้ความสำคัญกับการการขายและการบริการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ควบคู่ไปกับการเพิ่มจำนวนเครือข่ายการให้บริการ ประกอบด้วย Sales, Service, Spare parts, Survey, Social & Share”

น้ำมันแพงกับส่วนลดช่วยดันยอดรถอีวี

สำหรับภาพรวมตลาดรถยนต์ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 820,000 คัน เติบโตประมาณ 10-12% ส่วนตลาด รถ xEV คาดว่าจะมียอดขายที่ราว 8.2 หมื่นคัน หรือ 10% ของตลาดรวม และยอดขาย รถไฟฟ้า 100% คาดว่าจะอยู่ที่ราว 12,000 คัน หรือราว 15% ของตลาด xEV

“เราเห็นความพร้อมของผู้บริโภคมากขึ้นที่จะเปิดรับรถอีวี เพราะเขาศึกษามานานแล้วพอมีการสนับสนุนจากรัฐเขาก็ซื้อทันที และในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น หลายคนก็เริ่มหันมาศึกษา แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีกลุ่มที่สนใจแต่ยังไม่มั่นใจในอินฟราสตรักเจอร์ต่าง ๆ บางคนไม่พร้อมที่ต้องวางแผนการเดินทาง เราก็ต้องคอยให้คำปรึกษา”

ทั้งนี้ GWM ตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบ DC Fast Charging ให้ครบ 55 แห่งภายในปีนี้ โดยแบ่งเป็น 70% ในกรุงเทพฯ อีก 30% ในต่างจังหวัด โดยเปิดให้ลูกค้าทุกค่ายชาร์จได้ นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชันรวมจุดสถานีชาร์จทั่วไทย ปัจจุบันภายในแอปรวมไว้ทั้งหมดประมาณ 500 สถานี คิดเป็น 50% ของสถานีชาร์จทั้งหมด โดยในสิ้นปีคาดว่าจะรวมได้ 80%

“แบรนด์จีนใหม่ ๆ ที่จะเปิดตัวใหม่ในสิ้นปีนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดี เราไม่ได้มองการแข่งขัน เพราะตลาดยังเปิดกว้างมาก โดยเฉพาะรถอีวี 100% แต่เรามองว่าไม่อยากให้ค่ายที่เข้ามาเน้นที่การขาย แต่ต้องช่วยกันพัฒนาอินฟราสตรักเจอร์ด้วย ซึ่งจะช่วยให้การเติบโตของตลาดเร็วขึ้น ส่วนเราก็ต้องตื่นตัวและปรับตัวตลอดเวลา”

ในปีนี้ Zalora ภายใต้บริษัทใหม่มีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ทางเซ็นทรัลได้ทำการเปลี่ยนขื่อใหม่เป็น LOOKSI เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ด้านแฟชั่นออนไลน์และเปลี่ยนชื่อให้มีความเป็นไทยมากขึ้น

ได้เริ่มเปลี่ยนชื่อตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมามีการปรับปรุงระบบหน้าเว็บไซต์พร้อมกับเปลี่ยนชื่อในเพจเฟซบุ๊กและได้ทำการชี้แจงกับผู้ขายเรื่องการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนโลโก้และแพ็กเกจจิ้งต่างๆ

และได้แจ้งการเปลี่ยนชื่อ–ที่อยู่บริษัทใหม่ เป็น บริษัทเซ็นทรัล กรุ๊ป ออนไลน์ จำกัด (สาขาสำนักงานใหญ่)  มีผลตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นไป เท่ากับว่า LOOKSI จะเข้ามาอยู่ในยูนิตของเซ็นทรัลออนไลน์ หลังจากในปีที่ผ่านมายังไม่มีภาพที่ชัดเจนเท่าไหร่ว่าจะมีแผนดำเนินการอย่างไร

ทั้งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยได้มีการเปลี่ยนชื่ออยู่หลายแบรนด์เช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการสร้างการรับรู้ให้ง่ายขึ้น เช่น Kaidee ในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อจาก Dealfish และ OLX

ส่วน iTruemart อีคอมเมิร์ซของกลุ่มทรูได้เปลี่ยนชื่อเป็น Wemall

Cdiscount เปลี่ยนขื่อเป็น Cmart

นางสาวพรชนก ตันสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจออนไลน์ บริษัท ซีโอแอล จำกัด กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการซาโลร่าของกลุ่มเซ็นทรัล จะมีส่วนในการกระตุ้นการจับจ่ายของคนในประเทศ ผ่านรูปแบบออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและซัพพลายเออร์ทุกระดับในการนำสินค้าเข้ามาจำหน่าย เพิ่มโอกาสทางการแข่งขันทางการตลาดจากช่องทางที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำกัดเพียงแค่ออฟไลน์ ธุรกิจจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เกิดการหมุนเวียนการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ นอกจากนี้ผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย

กลุ่มเซ็นทรัลยังได้ระบุถึงแนวโน้มผู้บริโภคคนไทยได้เข้าสู่ยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยสินค้ามากขึ้น เห็นได้จากพีดับบลิวซี (PwC) ได้เผยผลสำรวจค้าปลีกโลกจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 25 ประเทศ ระบุว่าปัจจุบันโซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อนักช้อปมากกว่า 80%

โดยประเทศไทยมีการช้อปออนไลน์เพื่อซื้อสินค้าผ่านทางโซเชียลมีเดียมากที่สุดในทุกประเทศ สูงถึง 51% โดยมีปัจจัยหลักคือความสะดวกสบายและราคาสินค้าที่จูงใจผู้ซื้อ ผู้บริโภคสามารถอ่านรายละเอียดเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าได้ทันที กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ทำให้เชื่อมั่นว่ากระแสการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

การเข้าซื้อกิจการซาโลร่าของกลุ่มเซ็นทรัลครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของ ซาโลร่า ซึ่งเป็นออนไลน์แฟชั่นยอดนิยมอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายปี 2555 มีกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ หนุ่มสาวออฟฟิศ หรือผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่น มีจุดแข็งในด้านการเป็นศูนย์รวมของแฟชั่นแบรนด์ไทยและแบรนด์ดังระดับโลกที่อัพเดตเทรนด์อยู่เสมอ หลากหลายด้วยสินค้าและไอเทมต่างๆ ที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ, เสื้อผ้า, รองเท้า, กระเป๋า, เครื่องสำอาง หรือแม้แต่สินค้าแฟชั่นเด็ก รวมแล้วกว่า 80,000 รายการ

นอกจากนี้ซาโลร่ายังมีระบบออนไลน์ที่สะดวกรวดเร็วใช้งานง่าย ตอบโจทย์ลูกค้าแฟชั่นออนไลน์ทั้งภูมิภาค เมื่อมารวมกับความน่าเชื่อถือของกลุ่มเซ็นทรัล ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยแบบไร้รอยต่อระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ (Omnichannel) ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น รวมทั้งทำให้กลุ่มเซ็นทรัลเข้าถึงฐานข้อมูลลูกค้าออนไลน์ และฐานข้อมูลของซัพพลายเออร์ได้มากขึ้น และคาดว่าจะทำให้ยอดขายของเซ็นทรัลออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งลูกค้ายังคงเลือกช้อปสินค้าแฟชั่นภายใต้แบรนด์ ซาโลร่า ได้เหมือนเดิม โดยซาโลร่าจะเป็นแฟล็กชิปด้านธุรกิจแฟชั่นออนไลน์ของกลุ่ม”

การขยายธุรกิจของเซ็นทรัลออนไลน์ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ระหว่างเซ็นทรัลออนไลน์และซาโลร่าให้ส่งเสริมซึ่งและกัน จนเป็นธุรกิจออนไลน์ที่แข็งแกร่งทั้งในด้านเทคโนโลยี รูปแบบ และบุคลากรภายในองค์กรแล้ว ยังช่วยเพิ่มช่องทางการค้า การพัฒนาด้านโลจิสติกส์ที่ทำให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านผู้นำแฟชั่น รวมทั้งส่งผลดีอย่างมากต่อแบรนด์คู่ค้าและซัพพลายเออร์ในการนำเสนอสินค้าของตนและขยายช่องทางการตลาด เป็นอีกหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาคึกคักได้เป็นอย่างดี

ไมเคิล เฟอร์ราริโอ (Michele Ferrario) ซีอีโอบริษัทซาโลรากรุ้ป (ZALORA Group) ระบุในแถลงการณ์ว่า ความเคลื่อนไหวของบริษัทในครั้งนี้จะเพิ่มโอกาส และความแข็งแกร่งให้ซาโลราสามารถแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น โดยมั่นใจว่า “future owners” หรือเจ้าของเว็บไซต์ในอนาคตจะสานต่อสิ่งที่ซาโลราได้เริ่มต้นไว้อย่างเติบโต

แม้จะขายกิจการไปแล้ว แต่ในแถลงการณ์ ซีอีโอซาโลราย้ำว่าบริษัทยังมีความตั้งใจในการให้บริการผู้บริโภคในอาเซียน เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ซื้อสินค้าออนไลน์ที่ดีที่สุดต่อไป โดยระหว่างช่วงเวลาการปรับโครงสร้าง ลูกค้าซาโลราในไทย และเวียดนามจะยังสามารถซื้อสินค้าหลากแบรนด์จากเว็บไซต์ได้เช่นเดิม

หากไม่รวมไทย และเวียดนาม ซาโลราเปิดให้บริการจำหน่ายสินค้าแฟชั่นออนไลน์ในสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และไต้หวัน โดยซาโลราเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทโกลบอลแฟชันกรุ้ป (Global Fashion Group) ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ได้รับทุนหนุนหลังจากกลุ่มคินเนวิก (Kinnevik) ของสวีเดน และร็อกเก็ตอินเทอร์เน็ต (Rocket Internet) ของเยอรมนี

อย่างไรก็ตาม รายงานจากรอยเตอร์สอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ “นฤมล วิภาเจริญ” เลขานุการบริษัทเซ็นทรัลกรุ้ปออนไลน์ ว่าเซ็นทรัลกรุ้ปออนไลน์กำลังศึกษาดีล และรายละเอียดการเซ็นสัญญาซื้อกิจการซาโลราในไทย จุดนี้ทำให้รอยเตอร์สฟันธงตามสำนักข่าวต่างประเทศอื่นว่า เซ็นทรัลกรุ้ป (Central Group) ของตระกูลจิราธิวัฒน์ คือ เจ้าของใหม่ซาโลราในอนาคต

ขณะที่ธุรกิจซาโลราในเวียดนามยังไม่มีความแน่ชัด โดยโฆษกเซ็นทรัลกรุ้ปปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้

ที่มา: http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000043005