“พลโทประยุทธ์ จันทร์โอชา” แม่ทัพฯ “หัวใจสีม่วง”

เครื่องหมายเชิดชูเกียรติเกียรติทำด้วยโลหะประดับหน้าอก เป็นรูปหัวใจสีม่วงประดับพระนามาภิไธยย่อ สก. หมายถึง ผู้บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์สุจริต และจริงใจ เพราะผู้ที่ใกล้ตาย หัวใจจะกลายจากสีแดงเป็นสีม่วง ในห้วงเวลาที่คนใกล้ตาย ย่อมไม่พูดปด หรือปิดบังสิ่งใด ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ ทรงพระราชทานหัวใจสีม่วงนี้แก่กำลังพล ด้วยมุ่งหวังให้ทหารเสือทุกนายมีความซื่อสัตย์สุจริต และจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ส่วนรูปเสือประคองหัวใจสีม่วง หมายถึง กำลังพลทหารเสือทุกนายที่เทิดทูนความซื่อสัตย์ สุจริต และจงรักภักดีแทบเบื้องพระยุคลบาท ภูเขา เกลียวคลื่น ก้อนเมฆ หมายถึง ทุกหนแห่ง ไม่ว่าบนฟ้า พื้นดิน ภูเขา หรือในทะเล ทหารเสือทุกนายพร้อมดั้นด้นไปเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยของชาติ และองค์พระมหากษัตริย์

เหล่านั้นเป็นข้อมูลที่สรุปความเป็นทหารเสือราชินีไว้ได้อย่างกระชับ ภายใต้เข็มเครื่องหมายที่ทุกคนทราบกันดี !!

เป็นเครื่องหมายที่จะมีการพระราชทานให้ทหารที่จบหลักสูตรทหารเสือของกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ซึ่งได้รับการเคียวกร่ำให้จากการฝึกพิเศษอย่างหนัก

ว่ากันว่า “ทหารพันธุ์นี้” มีความจงรักภักดีอยู่ในจิตวิญญาณอย่างถึงแก่น ตามแบบฉบับที่เคยปรากฏในอดีต อย่าง พ.ท.ณรงค์เดช โพธินันทเดช ทหารเสือราชินีผู้เลื่องชื่อในการถวายอารักขาจากเหตุการณ์เมษาฮาวาย แต่ในที่สุดก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ท่ามกลางคำถามที่ไม่มีคำตอบ

หลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 ชื่อของ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 อาจไม่ดังเป็นพลุแตกอย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) หรือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1ในขณะนั้น หัวใจสำคัญในการคุมกำลังรัฐประหาร

แต่ “วงใน” ทราบดีเขาผู้นี้มี “ต้นทุน” ขนาดไหน…

แม้จะอยู่ในตำแหน่ง รองแม่ทัพภาคที่ 1 แต่สายใยความเชื่อมโยงกับกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ “นักรบบูรพา” ขุมกำลังอันมหาศาลที่เข้าร่วมก่อการครั้งนั้นยังแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นความใกล้ชิดระหว่าง พล.ท.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ ในช่วงก่อนการ “ปฏิวัติ” เรียกได้ว่า “แน่นปึ้ก-แข็งปั๋ง”

ที่สำคัญคือ “สายสัมพันธ์” ที่มีต่อ “ฟ้า” ตัวจริง มีเขาเป็น “สื่อ”

จึงไม่แปลกหากมีหลายคนเมาท์ว่า วันนี้เก้าอี้ของ พล.อ.อนุพงษ์ จะมีชื่อของ “บิ๊กตู่” หรือ พล.ท.ประยุทธ์ ผู้นี้เป็นผู้ออกแรงดันให้อีกแรง…

และ “บิ๊กตู่” จะกลายเป็น “เด็กสร้าง” ของ “บิ๊กป็อก” ในการขึ้นสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ.ในไม่ช้า…

ด้วยจังหวะเวลา พล.ท.ประยุทธ์ได้ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมๆ กับเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 12 ของเขาที่เริ่มขยับขึ้นมาคุมกำลังหลักในกองทัพ โดยเฉพาะในกองพลสำคัญที่มีส่วนในการปฏิวัติ

ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.วิลาส อรุณศรี ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ พล.ต.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ผู้บัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน พล.ท.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย พล.ต.วรรณทิพย์ ว่องไว รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นต้น ไม่นับรวมถึง พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี

เป็นสถานการณ์ที่ไม่แตกต่างจากช่วงที่ ตท.10 เฟื่องฟูในยุค “ทักษิณ” เรืองอำนาจ แต่ที่ต่างคือมี “คุณภาพ” เหนือ “ปริมาณ”

ทำให้เขาตกเป็นเป้าทั้งจาก “ฝ่ายตรงข้าม” และ “ฝ่ายเดียวกัน”

และเป็นธรรมดา ที่ว่า หากอำนาจใดที่ “โตเดี่ยว” ย่อมเสี่ยงต่อภาวะ Out of control ทำให้มีความพยายามในการจำกัดวงอำนาจไม่ให้ขยายไปมากกว่าที่เป็นอยู่

แต่ด้วยความเป็นนายทหารที่ “ซื่อตรง” ทำงานแบบ “หัวชนฝา” เขาทำให้ “นาย” เชื่อใจได้ไม่ยากว่า ทหารเสือราชินีไม่ได้เป็นพวกมักใหญ่ใฝ่สูง ที่พร้อมจะฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน

“ตู่ มันประเภทม้างาน สั่งมาร้อย ต้องทำให้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ประเภทมักใหญ่ใฝ่สูง คิดการใหญ่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว อยู่ตรงไหน อยู่ตรงนั้น ไม่หักหลังคนอื่น มีแต่คนที่จะหลอกมัน แต่ที่สุดๆ คือมันจงรักภักดีและชีวิตพลีเพื่อสถาบันแล้ว” เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 12 เล่าให้ฟัง

และท่าที และท่วงทำนองของเขาก็รับประกันได้ว่าสิ่งที่เพื่อนได้พูดไว้ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย เพราะเขากลายเป็นด่านหน้าในการออกมาปกป้องเกมการดึงสถาบันลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองแบบสุดตัว

“ทหารก็มีหน้าที่รักษาอธิปไตย รักษาความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมือง และพิทักษ์รักษาสถาบันให้อยู่อย่างยั่งยืน ในฐานะคนไทยทุกคนต้องระลึกเสมอว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระคุณต่อแผ่นดินอย่างไร” พล.ท.ประยุทธ์ กล่าว

และแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงไรแต่เขาก็ไม่เคยปริปากบ่น แม้กระทั่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ก็เคยเอ่ยปากถามว่า “เหนื่อยไหมแม่ทัพตู่” ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาไม่มีทั้งคำว่า “เหนื่อย” หรือ “ไม่เหนื่อย”

“ผมยังทำไหวครับ” พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวกับ พล.อ.เปรม

จากนายทหารรูปร่างสูงใหญ่ ปรากฏว่าปัจจุบันน้ำหนักลดฮวบลงไป 17 กิโลกรัม ที่ทำให้หน้าตาและร่างกายซูบผอมกว่าเมื่อครั้งที่เข้ามารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ในช่วงแรกๆ เหตุเพราะในแต่ละวันเฉลี่ยแล้วได้นอนวันละ 3-4 ชม. เท่านั้น

ที่สำคัญยังตกเป็นเป้าให้ฝ่ายการเมืองที่ “โยนหิน” เรื่องการทำปฏิวัติมาที่เขาเต็มๆ !!

“อยากให้ทำความเข้าใจว่าทหารมีหน้าที่ในการเตรียมกำลัง ซึ่งต้องมีหน้าที่ในการฝึกหัด ต้องใช้สนามฝึก มีการฝึกเวลากลางคืนบ้าง ไม่ได้ฝึกเพื่อไปเตรียมการปฏิวัติ เพราะฉะนั้นอยากให้เลิกพูดคำว่าปฏิวัติเสียที เราทำหน้าที่ในกรอบของกองทัพบก จึงขอให้ทหารทำหน้าที่ด้วยความสบายใจ ทหารและการเมืองเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้น อย่าถามว่าจะเกิดอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร ผมคิดว่ามันไม่เกิดง่ายๆ หรอกครับ ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าบ้านเมืองต้องการอะไร ก็อยากฝากสื่อว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย อย่าถอยหลังกลับไปอีกเลย สถานการณ์ใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย ก็ให้ช่วยหยุดกันไว้ ขอร้องกันไว้”

เป็นคำกล่าวให้สัมภาษณ์ที่ชัดถ้อยชัดคำแม้จะพูดเร็ว แต่เนื้อหาโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน มีความชัดเจน !!!!!

จนคนฟังอาจจะผิดคาด และคิดตามว่า “นายทหาร” มาดอ่อนนุ่มที่มักทิ้งท้ายด้วยคำว่า “นะจ๊ะ” อยู่เป็นนิจ จะพูดจาให้สัมภาษณ์ “แมนๆ ” ด้วยท่วงทำนองที่ชัดเจน หรือเพลย์เซฟให้ตัวเองดูดี อยู่รอดปลอดภัยในสถานการณ์ที่แบ่งขั้วเลือกข้างในขณะนี้

อาจเป็นเพราะว่า “เขาเกิดมา” เป็นลูกผู้ชายหัวใจสีม่วง (ที่ไม่ใช่ผู้ชายสีม่วง) ที่พร้อมพลีชีพเพื่อสถาบันอันเป็นที่รักได้ทุกลมหายใจ โดยไม่กลัวว่าจะต้องตกเป็นเป้าทางการเมืองของใคร…

Profile

Name : พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1
Age : 54 ปี
Education :
โรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 12
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23
Career Highlights :
-ผู้บังคับการกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
-เสนาธิการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
-รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
-ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
-รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
-ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
-รองแม่ทัพภาคที่ 1
-แม่ทัพภาคที่ 1
Family : ภริยา รองศาสตราจารย์ นราพร จันทร์โอชา บุตรสาว 2 คน คือ น.ส.ธัญญา จันทร์โอชา และน.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา