โบรกเกอร์หนุนหุ้น PERM ราคาเหมาะสมเกินราคาจอง

จากการที่บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) (PERM) ผู้ประกอบธุรกิจแปรรูปและจัดจำหน่ายสินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กเคลือบเคมีด้วยไฟฟ้า แผ่นหลังคาเหล็กเคลือบสีและผนังเหล็กเคลือบสี โครงหลังคาบ้าน“Smartruss” เหล็กโครงคร่าวเพดานและผนัง และเหล็กกล้าแรงดึงสูงชุบสังกะสีรูปตัวซี เปิดให้จองหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 100 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 3.50 บาท เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.-4 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด เป็นแกนนำในการจัดจำหน่าย ร่วมด้วยสถาบันการเงินอีก 5 แห่งนั้น ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยอย่างมาก โดยการจองซื้อหมดภายในวันแรกที่เปิดจอง

จากการรวบรวมบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 8 แห่งพบว่า บริษัทหลักทรัพย์ไซรัส จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ประเมินราคาเหมาะสมซึ่งให้ราคาสูงสุดเท่ากับ 4.25 บาท/หุ้น โดยประเมินมูลค่าหุ้นจากค่าเฉลี่ย PER ซึ่งกำหนด PER ที่ 9.0 เท่า ภายหลังการระดมทุนในครั้งนี้ ทุนชำระแล้วของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 400 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท และเป็นที่คาดการณ์ว่า Net D/E จะลดลงเป็น 1.0 เท่า มูลค่าหุ้นตามบัญชีเพิ่มขึ้นเป็น 1.84 บาท/หุ้น จาก 1.27 บาท/หุ้น ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 48 นอกจากนี้ บริษัทมีศักยภาพการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้ไปก่อสร้างโรงงานใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด รวมทั้งเตรียมจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า และชำระคืนเงินกู้ นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทประมาณ 60% อยู่ในกลุ่มก่อสร้างและกลุ่มยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในอนาคตจากโครงการเมกกะโปรเจคของภาครัฐ และเป้าหมายที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย (Detroit of Asia)

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ให้ความเชื่อมั่นว่ากำไรปี 48 จะเติบโตก้าวกระโดด ดังจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานปี 47-48 ที่เพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณการบริโภคเหล็กในประเทศ โดยคาดรายได้รวมปี 48 จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3,222.5 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 47 อีกกว่าเท่าตัว อันเป็นผลจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ก่อสร้าง และเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบกับการจำหน่ายเหล็กแปรรูปที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิในปี 48 เติบโตถึง 227.9 ล้านบาท ดังนั้น หากประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 49 โดยเทียบเคียงกับค่าเฉลี่ย PER ของผู้ประกอบการในธุรกิจเหล็กระดับ 7 เท่า จะทำให้ได้มูลค่าพื้นฐานปี 49 อยู่ที่ 4.07 บาท

ส่วนนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ซึ่งประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานโดยวิธี PERได้ราคาเหมาะสมที่ 3.70 บาท โดยได้ให้ความเห็นว่า หุ้น PERM มีจุดแข็งที่กลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับแผ่นเหล็กรีดเย็น เพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัว ซึ่งกลยุทธ์นี้คาดการณ์ว่าจะสามารถฉุดให้แนวโน้มผลประกอบการของ PERM เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิในปี 2548 จะเพิ่มขึ้น 90% และ 323% y-y ตามลำดับ

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ประเมินมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน ณ สิ้นปี 48 ของ PERM โดยวิธี DCF ไว้ที่ 4.10 บาท ซึ่งคิดเป็น PER ปี 48 ที่ 8.85 เท่า และสามารถให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณการสำหรับปี 48 ที่ประมาณ 0.23 บาท ซึ่งถือเป็น 5.61% โดยบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป จำกัด (มหาชน) อีกหนึ่งในผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ได้ให้ราคาเหมาะสม PERM อยู่ที่ช่วงประมาณ 3.69-3.90 บาท ด้านนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด ประเมินราคาตามปัจจัยพื้นฐานปี 48 ที่ 3.70 บาท/หุ้น โดยอิง PE ที่ 9 เท่าของอุตสาหกรรมเหล็ก และ บริษัทหลักทรัพย์บีที จำกัด ได้ประเมินราคาเหมาะสมสำหรับ PERM ในปี 2548 ที่ 3.70 บาท และ 4.50 บาทในปี 2549 ตามลำดับ โดยได้เทียบกับหุ้นในกลุ่มธุรกิจผลิตและแปรรูปเหล็กแผ่นที่ซื้อขายใน SET ปัจจุบัน ได้แก่ AMC, NSM, PAP, SAM, TMT และ SSI โดยอิง PE ที่ 9 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของหุ้นในกลุ่มเดียวกัน

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2548 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 616.58 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 44.58 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับยอดขายรวมของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 960.73 ล้านบาทในปี 2545 เป็น 1,215.10 ล้านบาท ในปี 2546 และ 1,662.87 ล้านบาทในปี 2547

อนึ่ง บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2532 ด้วยทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วเริ่มแรก จำนวน 6 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจซื้อมา-ขายไป เหล็กแผ่นรีดเย็น โดยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก และในเดือนมกราคม 2548 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 400 ล้านบาทและชำระเต็มมูลค่าแล้ว โดยจะใช้ชื่อ PERM ในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสัดส่วนกลุ่มผู้ถือหุ้นหลัง IPO จะเป็นดังนี้ กลุ่มยงวงศ์ไพบูลย์ จาก 77% เป็น 61%, กลุ่มบัตรสมบูรณ์ จาก 7% เป็น 6%, กลุ่มเงาวิศิษฐ์กุล จาก 4% เป็น 3% และอื่นๆ จาก 12% เป็น 10% โดยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 100 ล้านหุ้นที่จะทำการซื้อ-ขายในครั้งนี้ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน)