เรื่องราวที่ยังไม่มีใครรู้ของ Al Gore อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้พ่ายแพ้ทางการเมือง แต่กลับมาใหม่อย่างผู้ชนะด้านสิ่งแวดล้อมและทุนนิยมแนวใหม่
หลังจากหันหลังให้แก่การเมืองในปี 2000 Al Gore อาจใช้ชีวิตอย่างนักการเมืองผู้พ่ายแพ้ เขียนบันทึกความทรงจำ รับเชิญไปสอนตามมหาวิทยาลัย ไปกล่าวปาฐกถา หรือร่วมแข่งขันกอล์ฟของกลุ่มผู้มีชื่อเสียงเป็นครั้งคราว
แต่นอกจาก Gore จะไม่ได้เลือกทางเดินชีวิตเช่นนั้นแล้ว เขากลับได้รับความชื่นชมยกย่อง ว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ผู้มองเห็นอนาคตทุกอย่างอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคำเตือนของเขาเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน ไปจนถึงความไม่สงบในอิรัก
ในวัย 59 ปี Gore ได้รับรางวัลออสการ์ เป็นนักเขียนหนังสือขายดี เป็นตัวเก็งที่จะได้รับรางวัลโนเบลอันทรงเกียรติ และเป็นตัวตั้งตัวตีจัดงานคอนเสิร์ตระดับโลก รวมทั้งกลายเป็นดาวเด่นในงานแจกรางวัล Grammys ยิ่งกว่านักร้องนักดนตรีจริงๆ
และสิ่งที่คนจำนวนมากอาจยังไม่รู้ Gore ยังกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง รายได้มหาศาลของเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้เขากลับมาอย่างผู้ชนะ หลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้ง Gore กลายเป็นมหาเศรษฐี นอกจากค่าตัวในการกล่าวปาฐกถาที่สูงถึง 175,000 ดอลลาร์ต่อครั้งแล้ว เขายังเป็นคนวงในของบริษัทที่กำลังร้อนแรงที่สุดแห่งยุค 2 แห่ง Google และ Apple
re เป็นที่ปรึกษาให้แก่ Google มาตั้งแต่ปี 2001 ก่อนที่ Google จะเข้าตลาด และได้รับ Stock Option ซึ่งขณะนี้เพิ่มค่าขึ้นเป็นประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ และเข้าเป็นคณะกรรมการบริหารของ Apple ในปี 2003 และได้รับ Stock Option ซึ่งขณะนี้ทวีค่าขึ้นเป็น 6 ล้านดอลลาร์ เขายังได้รับเงินเดือนสูงลิ่วในฐานะรองประธานบริษัทลงทุนในแอลเอ และล่าสุด Gore เปิดบริษัทเคเบิลทีวี และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งกำลังกลายเป็นพลังเงียบที่มีอิทธิพลสูงในวงการสื่อและการลงทุน
ก่อนปี 2000 ครอบครัว Gore มีทรัพย์สินเพียง 1-2 ล้านดอลลาร์ แต่ขณะนี้ Gore และ Tipper ภรรยา มีบ้านหลังใหม่ราคาหลายล้านดอลลาร์ใน Nashville บ้านของครอบครัวราคาหลายล้านเช่นกันใน Virginia และเพิ่งซื้อคอนโดราคาหลายล้านดอลลาร์ที่ St. Regis condo/hotel ในซานฟรานซิสโก รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ Gore มีในขณะนี้ เกิน 100 ล้านดอลลาร์
ถ้าเปรียบ Gore เป็นบริษัทหรือแบรนด์ Al Gore Inc. นี่อาจเป็นการ “แปลงโฉม” แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในยุคนี้
re กล่าวว่า เขารู้สึกสนุกกับโลกธุรกิจมากกว่าที่เขาเคยคิด เขาชี้ว่า โครงสร้างของแรงจูงใจและการไหลของข้อมูลข่าวสารในทุกวันนี้ สร้างโอกาสมากมาย ปัญหาหนึ่งที่ Gore ประสบเมื่อเขาอยู่ในวงการเมืองคือ เขามักมองเห็นปัญหาเร็วเกินไป แต่ในโลกธุรกิจ ซึ่งทุกอย่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณเห็นปัญหาก่อน นั่นคือโอกาสทางธุรกิจ เขาพบว่าโลกธุรกิจให้รางวัลแก่ผู้ที่มีมุมมองยาวไกล มากกว่าโลกการเมือง
การ “แปลงโฉม” ของ Gore เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจหรือวางแผนล่วงหน้า มันเริ่มจากการที่ธุรกิจที่เป็นความคิดริเริ่มดีๆ หลายอย่างที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วม เกิดเจริญรุ่งเรืองขึ้นพร้อมๆ กันอย่างไม่ได้นัดหมาย ตั้งแต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Google ซึ่ง Gore เป็นที่ปรึกษา จนถึงการที่บริษัทเคเบิลทีวี Current TV ที่เขาเพิ่งตั้งใหม่ สามารถสร้างผลกำไรได้ภายในเวลาเพียง 2 ปี จากปกติที่ต้องใช้เวลา 4-6 ปี นอกจากนี้ Generation Investment Management บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ Gore เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ก็เติบโตในเวลาเดียวกัน
re นิยามธุรกิจใหม่ๆ ที่เขามีส่วนร่วมหรือตั้งขึ้นใหม่ว่า เป็นแนวคิดที่ “ปฏิวัติและเปลี่ยนรูปได้” ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมที่กำลังต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง อย่างเช่นอุตสาหกรรมสื่อโทรทัศน์ ซึ่ง Gore มองว่าไร้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มานาน แต่สำหรับความสำเร็จทางการเงินที่เกิดขึ้นจากธุรกิจเหล่านั้น Gore ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่เขาคาดคิดไม่ถึงจริงๆ และทำให้เขารู้สึกสนุกมาก
ก้าวแรกในโลกธุรกิจของ Gore ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่า คือก้าวแรกของการแปลงโฉมตนเองและกลับมาใหม่อย่างผู้ชนะ คือ การเซ็นสัญญาเป็นที่ปรึกษาของ Google ในปี 2001 โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต เพราะขณะนั้น Google ยังไม่ยิ่งใหญ่เหมือนทุกวันนี้ นับเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตของ Gore
การจะเข้าใจแรงขับและวิสัยทัศน์ของ Gore ซึ่งทำให้เขากลับมาอย่างผู้ชนะ รวมทั้งเข้าใจปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจของเขา ต้องเริ่มที่ธุรกิจใหม่ที่เขาเป็นผู้ริเริ่ม นั่นคือ Current TV และ Generation Investment Managemen
re และ Joel Hyatt เพื่อนเก่าของ Gore ซึ่งขณะนี้เป็น CEO ของ Current TV เห็นพ้องกันว่า สื่อโทรทัศน์ขณะนี้อยู่ในสภาพที่น่าผิดหวัง และมีบทบาทน้อยมากในด้านประโยชน์สาธารณะ เส้นแบ่งระหว่างข่าวกับบันเทิงพร่ามัว รายการทีวีจำนวนมากจืดชืดน่าเบื่อ เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว ที่สำคัญคือ ทั้งสองเห็นว่าวงการสื่อขณะนี้ขาดไร้นวัตกรรม และเป็นเผด็จการโดยคนกลุ่มเดียวที่ควบคุมทั้งเนื้อหาและการแข่งขัน
ทั้งสองต้องการจะสร้างบริษัทสื่อชนิดใหม่ที่จะปลดปล่อยสื่อโดยเริ่มจากสื่อทีวีเป็นอย่างแรกและรวมไปถึงอุตสาหกรรมสื่อทั้งหมด พวกเขาจะให้คนดูอายุ 18-34 ปี มีเครื่องมือและวิธีที่จะสร้างสรรค์และควบคุมสิ่งที่จะออกอากาศ ซึ่งก็คือโมเดลธุรกิจที่ให้ผู้ใช้สื่อเป็นผู้สร้างเนื้อหา ที่เราคุ้นเคยกันดีในขณะนี้ อันเป็นเพราะเว็บอย่าง YouTube และ MySpace แต่ในขณะที่ Gore กับเพื่อนเกิดความคิดอันยอดเยี่ยมนี้ แนวคิดที่ให้ผู้ใช้เป็นผู้สร้างเนื้อหา ยังเป็นความคิดที่ใหม่มากในปี 2002
re ตัดสินใจซื้อเคเบิลทีวีของแคนาดาชื่อ Newsworld International หรือ NWI ของ Vivendi บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ด้วยเงิน 70 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2004 และนำมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Current TV โดยมีผู้สนับสนุนเงินทุนอย่าง Philip Murphy อดีตกรรมการบริหารอาวุโสของ Goldman Sachs และขณะนี้เป็นประธานคณะกรรมาธิการการเงินของพรรคเดโมแครตส์ซึ่ง Gore เป็นสมาชิก Richard Blum สามีของ Diane Feinstein วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย Bill Joy ผู้ร่วมก่อตั้ง Sun Microsystems และ Bob Pittman อดีตผู้บริหารสูงสุดสายปฏิบัติการของ AOL Time Warner
Current TV เปิดตัวในวันที่ 1 สิงหาคม 2005 โดยเป็นเคเบิลทีวีแนวคิดใหม่ ด้วยเป้าหมายสร้างเครือข่ายทีวีที่มีเนื้อหาตามที่ผู้ชมต้องการ โดยผู้ชมจะส่งรายการที่ตนผลิตเองผ่านเว็บไซต์ของบริษัท ซึ่งเป็นเหมือนชุมชนของผู้ผลิตรายการที่มาจากผู้ชม โดยได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์การผลิตและการฝึกอบรมจากบริษัท
ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี เนื้อหาอย่างน้อย 30% ของ Current TV เป็นรายการที่คนดูผลิตเอง ซึ่งเรียกว่า VC2 ผู้ผลิตรายการสมัครเล่น ซึ่งบางคนยังเป็นวัยรุ่น จะส่งรายการสารคดีที่ผลิตเองยาวประมาณ 3-8 นาที ซึ่งเรียกว่า Pods ขึ้นไปบนเว็บ Current Web Site เพื่อให้ผู้ชมในเว็บวิจารณ์เนื้อหาและลงคะแนนเลือก Pods ที่พวกเขาต้องการให้ออกอากาศ ผู้ผลิต Pods ที่ได้ออกอากาศจะได้รับค่าตอบแทน 500 ดอลลาร์ ในขณะที่ Current TV ก็มีรายการเก็บเข้าคลังที่สามารถนำไปใช้ได้ตลอดไป โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผลิต
ผลที่เกิดขึ้นคือ การมีส่วนร่วมของคนดูอย่างชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเนื้อหาใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในทีวีช่องใดๆ Pods หรือรายการที่คนดูผลิตส่งมา มีเนื้อหาทุกอย่างตั้งแต่วงดนตรียอดนิยม การแข่งสุนัขลากเลื่อน ไปจนถึงชาวแอฟริกันที่ทุกข์ทรมานกับโรคเอดส์ และวิดีโอที่ส่งมาจากทหารสหรัฐฯในอิรัก
Current TV ยังสร้างสรรค์ถึงขั้นจับมือกับนักโฆษณา เพื่อให้คนดูสร้างสรรค์โฆษณาเอง ซึ่งเรียกว่า VCAM จนถึงขณะนี้มี VCAM ที่ได้ออกอากาศแล้ว 32 ชิ้น นักโฆษณาชอบใจเพราะเห็นว่าเป็นวิธีใหม่เอี่ยมในการเข้าถึงลูกค้าและกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ ที่สำคัญคือ ค่าโฆษณาของ Current TV ถูกมากเพียง 1,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับการลงโฆษณาในเคเบิลทีวีอื่นๆ ที่อาจสูงถึง 50,000 ดอลลาร์ มีสินค้าดังๆ ที่สนับสนุน VCAM แล้วหลายราย เช่น Pop Secret, Sony และ L’Oreal นับเป็นการผสมผสานเครือข่ายเคเบิลทีวีแบบเก่า เข้ากับรูปแบบใหม่ของ Internet ที่ผู้ใช้เป็นผู้ผลิตเนื้อหาได้อย่างลงตัว
คนที่ดีใจที่สุดกับความสำเร็จของ Current TV แน่นอนย่อมเป็น Gore เอง และเขายังมองเห็นอนาคตที่สดใสของเคเบิลทีวีแนวใหม่ ที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของเขานี้ เพราะยิ่งมีคนดูมากเท่าใด คนดูก็จะยิ่งมีส่วนร่วมในการผลิต Pods มากเท่านั้น ซึ่งจะทำให้คุณภาพของ Pods สูงขึ้นเรื่อยๆ และมีเนื้อหาหลากหลายให้เลือก สิ่งที่ดีที่สุดคือ เคเบิลทีวีแห่งนี้มีค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำมาก นับเป็นโมเดลธุรกิจที่ยอดเยี่ยม
ขณะนี้ Current TV มีผู้ชม 38 ล้านครัวเรือนโดยผ่าน DirecTV, Comcast, Dish Network, AT&T U-Verse และ Time Warner Cable และกำลังขยายตัวไปอังกฤษและไอร์แลนด์ในปีนี้ โดยผ่าน BSkyB และ Virgin Media ซึ่งจะทำให้มีผู้ชมเพิ่มอีก 8.2 ล้านครัวเรือน
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี Current TV มีส่วนต่างถึง 10% ของกระแสเงินสด ในขณะที่เคเบิลทีวีทั่วไปต้องใช้เวลา 4-6 ปี กว่าตัวเลขในบัญชีจะเปลี่ยนจากตัวแดงเป็นตัวดำ นักวิเคราะห์ชี้ว่า Current มีรายได้จากค่าสมาชิก 12 เซ็นต์ต่อคนต่อเดือน ซึ่งสูงเท่ากับอัตราที่เคเบิลทีวีที่อยู่มานานอย่าง Lifetime ได้รับ และคาดการณ์ว่า รายได้จากค่าโฆษณาของ Current ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วน 24% ของรายได้ จะพุ่งทะลุระดับ 43% อันเป็นสัดส่วนรายได้จากโฆษณาสูงสุดโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ภายในปี 2010
ในเวลาเดียวกับที่ Gore ริเริ่ม Current TV เขายังริเริ่มการลงทุนแนวใหม่ไปพร้อมๆ กัน เขาต้องการตั้งบริษัทลงทุนแนวใหม่ที่คำนึงถึงความยั่งยืน และร่วมกับ David Blood อดีต CEO ของ Goldman Sachs Asset Management ก่อตั้งบริษัท Generation Investment Management ซึ่งเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2004 ในระยะแรก Generation ไม่เคยพยายามดึงดูดนักลงทุนจากภายนอก แต่ใช้เงินลงทุนภายใน ซึ่งระดมทุนได้ 100 ล้านดอลลาร์จาก Gore, Blood, Peter Knight อดีตคนสนิทของ Gore ในวุฒิสภาสหรัฐ และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 3 คน
แทนที่จะมองหาบริษัทที่มีรายได้ดีในระยะสั้น Generation กลับมองหาบริษัทที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว และมีคุณภาพการบริหารที่ดี อันเป็นสิ่งที่ Gore เห็นว่า คือนิยามใหม่ของความยั่งยืน ได้แก่บริษัทที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม บรรษัทภิบาล การสร้างแบรนด์ การดึงดูดและรักษาพนักงาน และความสัมพันธ์กับชุมชน โดยที่บริษัทต้องสามารถใช้ปัจจัยทั้งหมดนั้น เป็นแรงขับในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนของบริษัทเอง
Generation มีแผนจะสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาว ที่ประกอบด้วยบริษัทเพียง 30-50 แห่ง และผู้บริหาร Generation ระบุว่า ขณะนี้บริษัทได้รับผลตอบแทนการลงทุนเกินคาดแล้ว (ดูรายชื่อบริษัทที่ Generation ลงทุน ในล้อมกรอบ “พอร์ตลงทุนของ Generation”) และขณะนี้ Generation บริหารเงินทุนเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ ที่ได้รับมาจากสถาบัน 15 แห่งและนักลงทุนรายบุคคลอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมกับปฏิเสธนักลงทุนบางคน ที่ “คาดหวังว่าจะได้รับรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับหุ้นที่ Geration เข้าลงทุน” Blood ผู้ร่วมก่อตั้ง Generation กล่าว
คอนเสิร์ตระดับโลก Live Earth ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกัน 9 เมืองทั่วโลกเมื่อ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกถึงปัญหาภาวะโลกร้อน และระดมทุนให้แก่กลุ่ม Alliance for Climate Protection ซึ่ง Gore เป็นประธาน เป็นคอนเสิร์ตที่ผู้จัดคือ Kevin Wall ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth ซึ่งทำให้ Gore ได้รับรางวัลออสการ์ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
An Inconvenient Truth เป็นภาพยนตร์ที่มีจุดกำเนิดจากสไลด์ง่ายๆ ที่ Gore ทำขึ้นมาตั้งแต่ปี 1989 เพื่อใช้ประกอบการบรรยายปัญหาโลกร้อนของเขา ในการตระเวนเดินทางบรรยายทั่วสหรัฐ ซึ่งให้ข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับการละลายของน้ำแข็ง และพายุเฮอร์ริเคนที่จะมีความรุนแรงและสร้างความหายนะมากกว่าที่เคยเป็นมา ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนัง Sundance ในเดือนมกราคม 2006 พายุเฮอร์ริเคน Katrina ได้พัดถล่มสหรัฐฯ และสร้างความหายนะอย่างใหญ่หลวง ทำให้ทุกคนเริ่มกลัวปัญหาภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง ที่ Gore เคยร้องเตือนล่วงหน้ามานานแล้ว
กำไรส่วนหนึ่งของการฉายหนังเรื่องนี้ ซึ่งทำรายได้มากกว่า 50 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก ได้แบ่งให้แก่ Alliance for Cimate Protection ของ Gore นอกจากนี้ ยังมีการทำเป็น DVD 50,000 แผ่น แจกจ่ายโรงเรียนและองค์กรไม่หวังผลกำไร ในขณะที่หนังสือที่มีเนื้อหาเดียวกับหนังขายไปแล้ว 850,000 เล่ม
ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจแล้ว เขาคิดจะกลับไปเล่นการเมืองหรือไม่ Gore กล่าวว่า เขายังไม่สนใจจะลงเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างน้อยก็ในตอนนี้ Gore ออกตัวว่า เขาไม่ค่อยมีทักษะในด้านการเมืองซึ่งมีข้อจำกัดในการสื่อสาร และไม่ค่อยมีความอดทนกับสิ่งที่ดูเหมือนว่า เป็นสิ่งที่ระบบการเมืองในทุกวันนี้ให้คุณค่า เขาคิดว่า Internet นำมาซึ่งการปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตัดโอกาสที่อาจจะกลับเข้าสู่การเมืองอีกในอนาคต
แต่สถานะนอกวงการเมืองของ Gore ทำให้เขาอาจอยู่ในฐานะผู้กำหนดว่า ใครจะได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตส์ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปีหน้า หากเขาประกาศสนับสนุนผู้ใดผู้หนึ่ง ในบรรดาผู้ที่เสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตส์
การที่ Gore ไม่อยากกลับไปเล่นการเมืองอีกเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ในฐานะนักธุรกิจ Gore สามารถพูดทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา อย่างที่นักการเมืองไม่อาจทำได้ และเขาอาจต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับ หากถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับธุรกิจของเขา ในโลกธุรกิจ Gore ทำเงินได้อย่างมหาศาล และอยู่ในตำแหน่งอันทรงอิทธิพลทั้งในแวดวงเทคโนโลยีและบริการทางการเงินไปจนถึงสื่อ เขาและ Tipper ภรรยา ยังเป็นนักลงทุนที่เป็นเหมือนนางฟ้าของบริษัทไฮเทคเกิดใหม่บางแห่ง ที่ทั้งสองเข้าโอบอุ้มเพราะเล็งเห็นศักยภาพ Gore ได้สร้างชีวิตใหม่ จากนักการเมืองผู้พ่ายแพ้ สู่การเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมผู้เป็นทั้งนักธุรกิจทุนนิยมแนวใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ***
เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
ฟาสต์คอมพานี กรกฎาคม 2550
ธุรกิจของ Al Gore
ในด้านเทคโนโลยี Gore เป็นที่ปรึกษา Google และกรรมการบริหาร Apple
ในธุรกิจสื่อ Gore เป็นประธานและผู้ร่วมก่อตั้งเคเบิลทีวี Current TV ซึ่งมีสมาชิก 38 ล้านคนบริการการเงิน Gore เป็นประธานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ Generation Investment Management องค์ปาฐก Gore มีค่าตัว 175,000 ดอลลาร์ต่อครั้ง แต่จะลดค่าตัวหรือฟรีสำหรับองค์กรไม่หวังผลกำไรหรือสถานศึกษา
หนังสือ Gore เขียนหนังสือ 9 เล่ม ล่าสุดคือ The Assault on Reason ขายได้ 50,000 เล่มในการเปิดตัวสัปดาห์แรก
ด้านอสังหาริมทรัพย์ Gore มีบ้านใน Nashville, Tennessee ใน Arlington, Virginia และใน San Francisco, California
re ยังลงทุนในบริษัทไฮเทคเกิดใหม่บางแห่ง ที่เขาเล็งเห็นศักยภาพ
รวมมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดของ Gore มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์**
พอร์ตลงทุนของ Generation
Generation Investment Management เป็นบริษัทลงทุนที่ Gore ก่อตั้งขึ้น มีนโยบายซื้อหุ้นของบริษัท ที่มีการดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับแนวคิดการลงทุนในบริษัทที่มีความยั่งยืนของ Gore แม้ว่า Generation จะไม่เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่อยู่ในพอร์ตลงทุน แต่จากเอกสารที่เป็นที่เปิดเผย นอกจากจะมีบริษัทชื่อคุ้นๆ อย่าง Whole Food, Staples และ General Electric (GE) แล้ว ยังมีบริษัทที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอีกหลายแห่ง รวมถึง 7 บริษัทต่อไปนี้
Aflac บริษัทประกันที่มีลูกค้ามากกว่า 40 ล้านคนทั่วโลก เป็นบริษัทประกันอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น เด่นในด้านนโยบายจ้างงานที่หลากหลายและสวัสดิการพนักงาน ซึ่งรวมถึงการมีสถานรับเลี้ยงเด็กในที่ทำงานที่ใหญ่ที่สุดในรัฐ Georgia
Autodesk โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่อาคารหลังโตๆ จนถึงชิ้นส่วนเครื่องจักรชิ้นเล็กๆ โดยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบตัวแรกที่คำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
Becton Dickinson บริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ระดับโลก ที่พัฒนาการรักษาด้วยยาและการวินิจฉัยโรคติดเชื้อ
Blackbaud ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์การเงินชั้นนำสำหรับองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร
Johnson Controls มีชื่อเสียงด้านการออกแบบภายในรถยนต์ที่ช่วยให้ขับสบายและปลอดภัยมากขึ้น และผลิตสินค้าและบริการที่คำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมทั้งแบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะที่ใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน
Northern Trust Corp. นอกจากให้บริการจัดการสินทรัพย์และการธนาคารแก่บริษัท สถาบันและบุคคลผู้มีอันจะกินมานาน 125 ปีแล้ว ยังมีกองทุนการกุศลที่สนับสนุนองค์กรไม่หวังผลกำไรในชิคาโก
Waters Corp. ผลิตซอฟต์แวร์วิเคราะห์และอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องแล็บในวงการแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม ยา ไบโอเทคโนโลยี ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน**