“โฮมโปร” โชว์รายได้รวมครึ่งปีแรกอยู่ที่ 30,247.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,031.74 ล้านบาท หรือ 11.14% โดยมีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 1,856.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 302.99 ล้านบาท หรือ 19.50% จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่มีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าต่างจังหวัด รวมถึงการเติบโตจากสาขาใหม่ของทั้งธุรกิจโฮมโปร และธุรกิจเมกาโฮม
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 1,856.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 302.99 ล้านบาท หรือ 19.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวมจำนวน 30,247.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,031.74 ล้านบาท หรือ 11.14%
โดยแบ่งเป็น รายได้จากการขาย จำนวน 28,257.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,722.88 ล้านบาท หรือ 10.66% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่มีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าต่างจังหวัด รวมถึงการเติบโตจากสาขาใหม่ของทั้งธุรกิจโฮมโปร และธุรกิจเมกา โฮมในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 บริษัทฯ ได้ขยายสาขาของโฮมโปร 1แห่ง ได้แก่ สาขาชัยพฤกษ์ และย้ายที่ตั้งสาขา 1 แห่ง ได้แก่ สาขาพระราม 3 รวมถึงขยายสาขาเมกา โฮม1 แห่ง ได้แก่ สาขาโรจนะ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 บริษัทฯ มีสาขาของโฮมโปรให้บริการจำนวน 77 แห่ง สาขาของเมกา โฮมจำนวน 8 แห่ง และสาขาของโฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซียจำนวน 1 แห่ง
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นสำหรับครึ่งปีแรก จำนวน 7,127.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 566.43 ล้านบาท หรือ 8.63% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายลดลงจาก 25.70% เป็น 25.22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจเมกาโฮมที่ต่ำกว่าธุรกิจโฮมโปร และมีส่วนผสมของยอดขายของธุรกิจเมกาโฮมที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่าและบริการ จำนวน 829.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.60 ล้านบาท หรือ 20.41% จากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นของพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ให้เช่าจากการขยายและปรับปรุงของศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ สาขาสุวรรณภูมิ ซึ่งเปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2558 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ให้เช่าเพิ่มจากการขยายสาขาของโฮมโปร
นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะเติบโตแบบชะลอตัวในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทฯ ยังคงดำเนินไปตามแผนธุรกิจในระยะยาวที่ได้ตั้งไว้ โดยสำหรับธุรกิจโฮมโปรในช่วงไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้ย้ายสถานที่ตั้งสาขา 1 แห่ง ได้แก่ สาขาพระราม 3 โดยเปลี่ยนจากสาขาซึ่งอยู่ในห้างสรรพสินค้า (In mall) มาเป็นสาขาแยกต่างหาก (Stand-alone) เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มากขึ้น รวมถึงได้เปิดบริการ Bike Club สาขาที่ 2 ในสาขาพระราม 3 นี้อีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 990.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.49 ล้านบาท หรือ 20.79% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม อยู่ที่ 15,635.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น1,516.21 ล้านบาท หรือ 10.74% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งประกอบไปด้วย
รายได้จากการขาย จำนวน 14,626.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,371.65 ล้านบาท หรือ 10.35% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่มีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าต่างจังหวัด รวมถึงการเติบโตจากสาขาใหม่ของทั้งธุรกิจโฮมโปร และธุรกิจเมกา โฮมทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่ทำยอดขายได้ดีในไตรมาส 2 ได้แก่ กลุ่มสินค้าตามฤดูกาล สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าทำความเย็น อาทิ เครื่องปรับอากาศ และพัดลม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตสูง
บริษัทฯ มีความมุ่งเน้นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อาทิ มาตรการประหยัดพลังงานและสาธารณูปโภคที่เป็นต้นทุนหลักในการดำเนินงาน รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาปรับใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นายคุณวุฒิกล่าวปิดท้าย