บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) เผยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2559 อยู่ที่ 503.10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.81 หมื่นล้านบาท) สูงขึ้นจากปีที่แล้วเกือบ 140 เปอร์เซ็นต์ โดยได้รับแรงผลักดันจากผลประกอบการที่ดีของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศซึ่งมีผลกำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของแอลจี โดยมีรายได้จากทั่วโลกอยู่ที่ 12.05 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.34 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากทั้งปีต่อปีและไตรมาสต่อไตรมาส
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีผลกำไรจากการดำเนินงานสูงสุดในไตรมาสที่ 2 ด้วยยอด 373.24 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.34 หมื่นล้านบาท) โดยรายได้จำนวน 4.04 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.45 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.8เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว ได้รับแรงส่งจากยอดขายที่เติบโตขึ้นของธุรกิจบีทูบีระบบเครื่องปรับอากาศและผลประกอบการโดยรวมที่เฟื่องฟูจากทั้งในประเทศเกาหลี ทวีปยุโรปและเอเชีย ธุรกิจดังกล่าวสามารถบรรลุเป้าหมายอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (operating margin)มากกว่า 9เปอร์เซ็นต์เนื่องจากมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และการปรับโครงสร้างราคา นอกจากนี้ คาดว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมี่ยมเช่น LG SIGNATURE ได้แก่ เครื่องซักผ้ารุ่น TWINWash และ LG Styler จะช่วยผลักดันให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือมีผลประกอบการอยู่ที่ 2.86 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.03 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสแรก โดยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันในปีก่อน งบขาดทุนจำนวน 132.10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.76 พันล้านบาท) มาจากงบค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้นผนวกกับยอดขายช่วงแรกของสมาร์ทโฟน LG G5 ที่ค่อนข้างนิ่ง ยอดการส่งออกสมาร์ทโฟนโดยรวมเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีการส่งออกสมาร์ทโฟนจำนวน 13.9 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ คาดว่าการเปิดตัวของสมาร์ทโฟน V Series และการเติบโตของยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์ในราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้อย่าง K และ X Series จะช่วยให้ผลประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือดีขึ้นในไตรมาสต่อไป
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์รายงานผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 306.97 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.11 หมื่นล้านบาท) จากรายได้มูลค่า 3.58 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.29 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5.7 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสที่ 2 ในปี 2558 โดยมีการเติบโตของตลาดทีวีระดับพรีเมี่ยมเป็นปัจจัยผลักดันสำคัญ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทีวีระดับไฮเอนด์อย่าง ULTRA HD และ OLED รวมถึงการปรับปรุงการจัดการด้านโครงสร้างราคาส่งผลให้มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 8.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ โดยกลุ่มธุรกิจนี้จะยังคงได้รับผลกำไรจากตลาดทีวี UHD และ OLED ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจากปัจจัยบวกทางด้านต้นทุน ถึงแม้ว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนชิ้นส่วนทีวีหน้าจอแบนที่สูงขึ้นก็ตาม
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์มีผลประกอบการอยู่ที่ 550.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 42 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยผลักดันมาจากการเติบโตที่สูงของกลุ่มอินโฟเทนเมนต์ในรถยนต์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มงบลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนาของอินโฟเทนเมนต์และเทคโนโลยีภายในรถยนต์ไฟฟ้าได้ก่อให้เกิดงบขาดทุนที่ 14.46 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5.21 ร้อยล้านบาท) ในไตรมาสที่ 2 นี้ สำหรับอนาคตกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ยังคงมีแนวโน้มที่ดีสืบเนื่องจากการผลิตชิ้นส่วนให้กับรถยนต์ไฟฟ้าเชฟโรเลต โบลต์ที่จะเริ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3
ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปี 2559
รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของแอลจี อีเลคทรอนิคส์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2559 อยู่ที่ 36 บาทต่อ 1 เหรียญฯ สหรัฐ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)