AI จะแย่งงาน ‘มนุษย์’ (ได้) จริงหรือ?

ในขณะที่ผลการสำรวจล่าสุดชี้ว่า หุ่นยนต์และระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะเข้ามาแย่งงานพลเมืองอเมริกันได้ถึง 6% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โลกเรากลับได้ยินข่าวความผิดพลาดของระบบ AI อย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้นำไปสู่คำถามว่า AI จะแย่งงานมนุษย์ได้จริงหรือ

จริงอยู่ที่วันนี้ ค่ายเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างมี AI เป็นของตัวเอง ทั้งอเมซอน ไมโครซอฟท์ แอปเปิล และกูเกิล แน่นอนว่าการทำงานของ AI แต่ละตัวล้วนมีความสามารถเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เรียกว่ามีโอกาสสูงที่ AI จะสามารถวิเคราะห์ได้ซับซ้อน ตัดสินใจได้ลึกล้ำ แถมยังเข้าใจในพฤติกรรมของมนุษย์จนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างลื่นไหล

แต่งานใหญ่ที่ทุกค่ายยังต้องเผชิญ ก็คือการเรียนรู้จากความผิดพลาดของ AI ในนาทีนี้

559000009619503

3 เรื่องหน้าแตกของ ‘AI’

หากใครยังจำได้ ย้อนหลังไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวแชทบ็อตปัญญาประดิษฐ์ของบริษัทในชื่อ ‘เทย์’ (Tay) ด้วยภาพลักษณ์ของสาววัยรุ่นใสซื่อ บนบัญชีทวิตเตอร์ @TayandYou แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเปิดตัว Tay กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอกลายเป็นผู้หญิงก้าวร้าว ใช้ถ้อยคำรุนแรง ซึ่งสร้างความโกลาหลบนโลกโซเชียลอย่างมาก จนต้องปิดตัวลงไปหลังจากเปิดทำงานเพียง 16 ชั่วโมงเท่านั้น

ไมโครซอฟท์ ได้ออกมาขอโทษ และอธิบายว่า เหตุที่ Tay เปลี่ยนไปนั้นเพราะถูกลักลอบเจาะระบบ โดยผู้ที่ทราบถึงช่องโหว่ของระบบปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งการอนุญาตให้ Tay ซึมซับและเรียนรู้จากผู้ใช้ทวิตเตอร์ ได้อย่างเสรีก็มีส่วนสร้างปัญหาครั้งนี้ด้วย

แน่นอนว่าเครดิตของไมโครซอฟท์เองก็เสียไปไม่น้อย เพราะผู้ใช้จำนวนหนึ่งมองว่า Tay อาจสะท้อนตัวตนของไมโครซอฟท์ออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แถลงการณ์ของบริษัท ไมโครซอฟท์จึงใช้คำว่า ‘deeply sorry’ พร้อมกล่าวโทษพฤติกรรมการ ‘รุมโจมตี’ของผู้ที่รู้ช่องโหว่ของระบบปัญญาประดิษฐ์ว่า เป็นต้นเหตุของความก้าวร้าวของ Tay แทน

559000009619504

หลังจากจบ ปัญหาของ Tay จากยักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ไปไม่นาน เฟซบุ๊ก ก็เกิดประเด็นเกี่ยวกับ AI ตามมาเช่นกัน โดยปัญหานี้เริ่มต้นจากเรื้องอื้อฉาวในการลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคของ นักการเมืองในสหรัฐอเมริกา เมื่อมีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กส่วนหนึ่งเชื่อว่า ทีมงานในส่วนคัดเลือกเรื่องในกระแสหรือ Trending Topics มีความโน้มเอียงทางการเมือง และนำเสนอคอนเทนต์ของผู้สมัครบางรายอย่างเด่นชัดในฟีดข่าว

เฟซบุ๊ก จึงถูกคณะกรรมการวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาตรวจสอบ รวมถึงเรียกร้องให้มีการเปิดเผยถึงวิธีในการคัดแยกข่าวสารเพื่อนำเสนอบนฟีด ข่าว ซึ่งต่อมาก็เกิดข่าวว่าเฟซบุ๊ก กำลังเตรียมล้างบางแผนก Trending Topics ด้วยการนำ AI เข้ามาช่วยในการคัดเลือกข่าวสารแทน จะได้ตัดปัญญาด้านความโน้มเอียงทางการเมืองให้หมดไป

ประเด็น ยังไม่จบแค่นั้น เพราะมีบทความของ Gizmodo ที่ได้ไปสัมภาษณ์อดีตพนักงานเฟซบุ๊กรายหนึ่งเกี่ยวกับงานที่เขาทำในฝ่าย Trending Topics และพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นก็คือ พนักงานสัญญาจ้างเหล่านั้นไม่ได้เข้าร่วมช่วง Happy Hour รวมถึงมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ต่างออกไปจากพนักงานคนอื่นๆ หรือที่ Gizmodo ระบุว่า เป็นการทำงานในสภาพที่คล้ายกับอัลกอริธึม เช่น มีการแข่งเขียนข่าวให้ได้มากที่สุด (ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ชิ้นต่อวัน) ซึ่งหากนำมาผนวกกับสถานการณ์ก่อนหน้า ก็อาจเป็นไปได้ว่า เฟซบุ๊กเองก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงส่วนงานเหล่านี้จากที่เคยดูแลโดย พนักงานมนุษย์เป็น AI เข้ามาดูแลแทนอยู่ก่อนแล้วก็เป็นได้

559000009619505

และสุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจริงในวันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2559 เมื่อมีรายงานว่า เฟซบุ๊กปลดพนักงานในส่วนของ Trending Topics ออกและให้อัลกอริธึมของบริษัทดำเนินการแทน ผลก็คือช่วงสุดสัปดาห์ของเดือนสิงหาคมนั้น เฟซบุ๊กต้องพบกับความโกลาหลแบบจัดเต็มชนิดที่ Tay ไม่ต้องกลัวเหงา

อัลกอริธึม ของเฟซบุ๊กทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ช็อกโลกไม่น้อย เช่น การบอกว่า Megyn Kelly ผู้ประกาศสาวของช่องฟ็อกซ์นิวส์ถูกปลดออกด้วยพาดหัว ‘BREAKING: Fox News Exposes Traitor Megyn Kelly, Kicks Her Out for Backing Hillary,’ ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นจริงแม้แต่น้อย รวมถึงการนำเสนอภาพคนกำลังช่วยตัวเองกับเบอร์เกอร์ยี่ห้อดัง ฯลฯ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าคอนเทนต์เหล่านั้นจะถูกลบออกไป แต่สังคมน่าจะต้องการคำตอบว่า เฟซบุ๊กมีการจัดอันดับความสำคัญของคอนเทนต์ในลักษณะใด และทำไมจึงปล่อยให้เรื่องราวเหล่านี้อยู่ใน Trending Topics ได้

ล่าสุด เรื่องของ AI ก็ถูกสังคมตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอีกครั้ง กับการจัดเวทีประกวดความงามที่ให้ AI เป็นผู้ตัดสิน โดยทางผู้จัดงานครั้งนี้มองว่า หากใช้ AI ทำการวิเคราะห์รูปหน้า ริ้วรอยที่ปรากฏ สิวฝ้าราคี ฯลฯ ของผู้เข้าประกวดแทนกรรมการที่เป็นมนุษย์ ก็จะสามารถลบคำครหาด้านความโน้มเอียงของกรรมการแต่ละคนลงไปได้ นั่นจึงทำให้ Beauty.AI ผลงานการพัฒนาของ Youth Laboratories ซึ่งมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ และเอ็นวิเดีย สนับสนุนรับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินไปอย่างเก๋ ๆ

559000009619506

แต่ผลการตัดสินโดยกรรมการที่เป็น AI นั้นปรากฏว่า ในจำนวนผู้ชนะ 44 ราย เป็นนางงามผิวขาวเสีย 36 ราย เป็นสาวเอเชีย 7 ราย และนางงามผิวดำ 1 รายเท่านั้น จากผู้ส่งภาพเข้าประกวด 6,000 กว่ารายเรียกว่าทำเอาทีมงานผู้จัดประกวดต้องปาดเหงื่อเป็นระวิง เพราะถูกมองว่าการตัดสินโดย AI มีการเหยียดผิวนั่นเอง

เมื่อหันมามองการที่ AI กลายเป็นจำเลยก็พบว่าปัญหาน่าจะเกิดจากกระบวนการเรียนรู้ของ AI เพราะอาจเป็นไปได้ว่า ทีมพัฒนาหาตัวอย่างของภาพผู้หญิงให้ AI เรียนรู้ได้ไม่หลากหลายเพียงพอ ยกตัวอย่างเช่น ภาพของผู้หญิงที่ให้ AI เรียนรู้มีภาพของสาวผิวขาวมากกว่าสาวผิวสีอย่างมาก เมื่อมาเจอภาพของสาวผิวสีในการประกวด ความแม่นยำในการคิดวิเคราะห์ก็จะตกลง (AI จะวิเคราะห์ภาพเป็นพิกเซล ๆ ซึ่งในแต่ละพิกเซล มันจะมีความคาดหวังเอาไว้อยู่แล้วว่าควรจะเป็นเช่นไร จากการเรียนรู้ที่ผู้พัฒนาป้อนให้มัน ดังนั้น หากว่าจุดพิกเซลที่มันคาดการณ์ไว้ว่าควรจะมีสี หรือลักษณะเช่นนี้ ๆ แล้วไม่เป็นไปอย่างที่คาด คะแนนของผู้สมัครรายดังกล่าวก็จะถูกตัดทอนไปจนปรากฏผลดังกล่าวในที่สุด)

การพัฒนา Beauty.AI จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น คุณป้อนข้อมูลให้ AI ในลักษณะใด AI ก็สะท้อนออกมาผ่านการทำหน้าที่ของมันในที่สุด การสร้าง AI หลาย ๆ ครั้งจึงไม่ต่างกับการสร้างคน เพียงแต่ว่าในบางครั้งเราอาจมองข้ามความจริงข้อนี้ไป และมองแต่ว่า AI คือความมหัศจรรย์ของโลกเทคโนโลยี หรือถึงแม้ AI จะเป็นความมหัศจรรย์ของโลกเทคโนโลยี แต่มันไม่ได้หมายความว่า AI จะเข้าใจ หรือทำได้ทุกอย่าง เพราะในความเป็นจริง AI ก็คืออัลกอริธึมที่มีคณิตศาสตร์อยู่เบื้องหลัง ถ้ามองได้เช่นนี้ ก็น่าจะช่วยให้เข้าใจความเป็น AI ได้มากขึ้น รวมถึงความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจาก AI ด้วยเช่นกัน

559000009619507

แย่งงานได้?

แม้จะมีข่าวความผิดพลาดหลายกรณี แต่หากมองในระยะ 5 ปี การวิจัยของฟอร์เรสเตอร์รีเสิร์ชพบว่า AI จะทำงานแทนที่มนุษย์ในรูปของการบริการอัตโนมัติ เช่น แท็กซี่ – รถบรรทุกไร้คนขับ

ผลการวิจัยชี้ว่าตลาดที่จะได้รับผลกระทบก่อนใครคือ ธุรกิจโลจิสติกส์ ฝ่ายบริการหลังการขาย และระบบขนส่งมวลชน แน่นอนว่าในมุมมองมนุษย์งาน ผลการวิจัยนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ดีในการขยับขยายลู่ทางอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่สามารถปรับไปสู่ระบบอัตโนมัติได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม AI ยังถือเป็นความหวังของภาคธุรกิจ เพราะการมาถึงของ AI และหุ่นยนต์ในอนาคตย่อมช่วยเพิ่มโอกาสในการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจ ได้มากขึ้น ธุรกิจสามารถเลิกจ้างพนักงานขาย และหันไปใช้ AI เจรจาการค้ากับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ขณะเดียวกันก็ใช้ AI ควบคุมการจัดส่งสินค้า นัดหมายวันเวลากับลูกค้า และส่งผ่านโดรนเพื่อลดค่าใช้จ่าย อนาคตสวยหรูนี้ถูกวาดไว้ท่ามกลางความหวั่นใจของชาวโลก เพราะหากยุคทองของ AI มีผลให้อัตราว่างงานสูงขึ้น ความสงบสุขย่อมเกิดไม่ได้เพราะโอกาสเกิดคดีอาชญากรรมที่สูงขึ้นตามไปด้วย

สุดท้ายแล้ว หลายคนอาจภาวนาให้ AI มีข้อผิดพลาดต่อไป และอย่าฉลาดเกินไปจนแย่งงานมนุษย์ได้เลย

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000093033