ดีแทครายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2559 โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 19.5 พันล้าน และกำไรสุทธิที่ 659 ล้านบาท
จำนวนฐานลูกค้ารายเดือนและรายได้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอัตราเลขสองหลัก เป็นผลเนื่องมาจากการปรับปรุงคุณภาพและภาพลักษณ์ของเครือข่าย ข้อเสนอที่ดีที่สุดในตลาด แคมเปญโทรศัพท์มือถือที่ดึงดูด และการขยายเพิ่มจำนวนของร้านดีแทคช้อป โดยในไตรมาสที่ 3 นี้ ดีแทคมีจำนวนลูกค้าระบบรายเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 195,000 เลขหมายและรายได้จากกลุ่มลูกค้ารายเดือนเพิ่มขึ้น 14% ในส่วนของกลุ่มลูกค้าระบบเติมเงิน ยังคงประสบกับความท้าทายต่างๆ ได้แก่ การช่วยอุดหนุนราคาอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ แคมเปญการย้ายค่ายเบอร์เดิมอันรุนแรง และกระแสความนิยมในการเปลี่ยนจากระบบเติมเงินเป็นระบบรายเดือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของลูกค้าดีแทค แม้ว่าจำนวนลูกค้าในระบบรายเดือนจะเติบโตขึ้นอย่างมาก แต่รายได้รวมไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ในไตรมาส 3/2559 ลดลง 1.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนรายได้จากการให้บริการข้อมูลคิดเป็น 58%ของรายได้จากการให้บริการทั้งหมดไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ดีแทคมีการครอบครองคลื่นความถี่ที่แข็งแกร่ง โดยมีแบนด์วิธรวม 50 MHz ซึ่งรวมถึงคลื่น1800 MHz ที่มีช่วงความถี่ต่อเนื่องกว้างที่สุด พร้อมรองรับความต้องการจากการใช้บริการข้อมูลของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และสามารถให้บริการไร้สายต่างๆ ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าด้วยเทคโนโลยี 2G/3G/4G
ดีแทคยังคงดำเนินการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยได้ทำการติดตั้งสถานีฐานสำหรับให้บริการ 3G/4G จำนวนกว่า 20,000 สถานีในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถความเพิ่มความครอบคลุมของบริการ 4G ครบทั่วทั้งประเทศเมื่อสิ้นสุดไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรองรับการใช้งานในบริเวณที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างแน่นหนาทั่วทั้งประเทศ นอกเหนือจากพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ดีแทคได้เพิ่มแบนด์วิธของคลื่นความถี่ 1800 MHz ขึ้นเป็น 20 MHz ซึ่งนับว่าเป็นแบนด์วิธที่กว้างที่สุดบนคลื่นเดียวในตลาด โดยลูกค้าที่มีอุปกรณ์มือถือที่รองรับบริการ 4Gสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การใช้งาน 4G ที่ดีที่สุดบนเครือข่ายดีแทค ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่ครอบคลุมอย่างต่อเนื่องในไตรมาสต่อๆไป ซึ่งที่ผ่านมา ดีแทคได้พัฒนาคุณภาพและภาพลักษณ์ของโครงข่ายอย่างต่อเนื่องไปพร้อมๆกับการขยายโครงข่าย ซึ่งส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ 4G เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3 มีจำนวน 4.1 ล้านเลขหมาย ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านเลขหมายจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีฐานลูกค้ารวมอยู่ที่ 24.8 ล้านเลขหมาย โดย 94% ของจำนวนนี้ได้ลงทะเบียนภายใต้ดีแทคไตรเน็ต (DTN) เรียบร้อยแล้ว
นอกเหนือจากการขยายโครงข่าย ดีแทคยังได้มุ่งมั่นในการพัฒนาช่องทางการขาย ทั้งการเปิดร้านดีแทคช้อปเพิ่มจำนวน 55 ร้าน ดิจิทัลเซอร์วิสแฟล็กชิพสโตร์ “ดีอินฟินิท” (dInfinite) รวมถึงร้านค้าออนไลน์ เช่น ร้าน ดีแทคบนเว็บไซต์ลาซาด้า(Lazada) ซึ่งช่องทางการขายดิจิทัลมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในแบรนด์ดิจิทัลของดีแทค
แม้ว่ารายได้รวมในไตรมาส 3/2559 จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว แต่การควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีส่งผลให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBIDA) เพิ่มขึ้น 2% อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีนิติบุคคล ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) เพิ่มขึ้นเป็น37.0% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 2 ปี เทียบกับ 35.9% เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายยังเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนพัฒนาเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง 46% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
เราได้ปรับการประมาณการผลการดำเนินงานของปี 2559 ใหม่เพื่อสะท้อนผลประกอบการจริงที่เกิดขึ้นใน 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ การประมาณการนี้ประกอบด้วย (1) การลดลงของรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC จากปีที่แล้วเล็กน้อย (2) EBITDA อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และ (3) รายจ่ายด้านการลงทุนในเครือข่ายและสินทรัพย์ต่าง ๆ (CAPEX) อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้เห็นการเติบโตอันแข็งแกร่งของบริการระบบรายเดือน ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนถึงการปรับปรุงคุณภาพและภาพลักษณ์ของเครือข่ายดีแทค รวมไปถึงช่องทางการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เราจะยังคงนำเสนอบริการอินเทอร์เน็ตที่ดีและคุ้มค่าที่สุดให้แก่ลูกค้าของเรา นอกเหนือจากนี้ รายได้จากการให้บริการข้อมูลยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยหลักๆ มาจากบริการสตรีมมิ่งวีดีโอและเพลง เราได้จัดสรรแบนด์วิธจำนวน 20 MHz บนคลื่นความถี่1800 MHz สำหรับบริการ 4G ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และได้ขยายความครอบคลุมไปยังพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นทั่วทั้งประเทศ โดยเครือข่าย4G ของดีแทคครอบคลุมการใช้งานในทุกอำเภอของประเทศไทยแล้วเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3”