เข้าสู่ช่วงปลายปีทีไร คนวัยทำงานอย่างเราก็ต้องเตรียมพร้อมสู่ฤดูกาลของการวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีกันอีกแล้ว การลงทุนในกองทุนฝาแฝดอย่าง LTF และ RMF นั้นถือเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้เกิดการลงทุนระยะยาวและได้รับการลดภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ แต่คำถามที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอก็คือแล้วเราจะเลือกซื้อกองทุนตัวไหนดีหล่ะ LTF กับ RMF เนี่ย ต้องซื้อทั้งสองตัวเลยมั้ย ซื้อแล้วต้องรอกี่ปีถึงจะขายได้ แต่ละตัวใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดกี่บาท ฯลฯ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เดี๋ยวเราจะพาไปทำความรู้จักกับกองทุนทั้ง 2 ตัวนี้กันก่อน
เริ่มต้นกันที่ LTF ที่ย่อมาจาก “Long Term Equity Fund” หรือเรียกในชื่อไทยว่า “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น เหมาะสำหรับคนทุกกลุ่มที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้น แต่อาจไม่มีความชำนาญ หรือไม่มีเวลาติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน โดยนโยบายการลงทุนของกองทุน LTF นั้นจะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วน RMF ย่อมาจากคำว่า “Retirement Mutual Fund” หรือเรียกในชื่อไทยว่า “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” เป็นกองทุนรวมประเภทที่ส่งเสริมให้เกิดการออมเงินระยะยาวไว้สำหรับใช้จ่ายยามเกษียณอายุ เมื่อเริ่มลงทุนแล้ว ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง ลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ในปีภาษีนั้น แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท การขายคืนหน่วยลงทุนทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุนครั้งแรก
หลังจากรู้หลักคร่าวๆ ของการลงทุนในกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีทั้งสองแบบแล้ว ก็ได้เวลามาศึกษา และคัดเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับรูปแบบการลงทุนของเรา หากเราเลือกลงทุนได้อย่างถูกต้องแล้วนั้น นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีแล้ว ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อีกทางหนึ่งด้วย
ถ้าดูจากข้อมูลของมอร์นิ่งสตาร์เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 59 กองทุน LTF ในตลาดจำนวน 57 กองทุน กองทุนที่ให้ผลตอบแทน 3 ปีย้อนหลัง และ 1 ปี ย้อนหลัง เป็นอันดับ 1 ก็คือ K 20 Select LTF (K20SLTF) และกองทุน RMF ที่ให้ผลตอบแทนอันดับ 1 จาก 12 กองทุน ในกลุ่ม RMF หุ้นขนาดกลางและเล็ก ก็คือ กองทุน K Mid Small RMF (KMSRMF) จาก บลจ.กสิกรไทยนั่นเอง
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง
จุดเด่นของกองทุน K20SLTF
ที่สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เนื่องมาจากกลยุทธ์การบริหารกองทุนโดยใช้หลัก คัดเลือกหุ้น – วิเคราะห์เจาะลึก- เน้นการให้น้ำหนักและจังหวะในการลงทุน โดยเริ่มจากการพิจารณาเลือกกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ตรงกับแนวทางการลงทุนในช่วง 3-6 เดือน จากนั้นจึงคัดเลือกหุ้น แล้วก็วิเคราะห์เจาะลึก ออกไปขอเข้าพบบริษัทต่างๆ เพื่อสัมภาษณ์ผู้บริหาร รวมถึงการขอข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกเพื่อกลับมาทำการวิเคราะห์หามูลค่าที่เหมาะสมของกิจการ เพื่อคัดเลือกหุ้นให้เหลือเพียงหุ้นที่โดดเด่นไม่เกิน 20 ตัวเข้ามาในพอร์ตการลงทุน และกระจายน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสม
นอกจากนี้ จังหวะการลงทุนก็ถือเป็นเรื่องสำคัญในการเข้าลงทุนและการขายทำกำไร ผู้จัดการกองทุนได้มีการทบทวนหุ้นที่มีในพอร์ตการลงทุนเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆและราคาหุ้นในตลาดอย่างสม่ำเสมอ ว่ายังเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ ด้วยวิธีนี้ทำให้กองทุนสามารถหาโอกาสทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นกองทุน KMSRMF
อยู่ที่การเลือกหุ้นและเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีอยู่มากกว่า 500 ตัว ในตลาด และมีโอกาสในการเติบโตเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในอนาคต หุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีโอกาสคัดเลือกหุ้นที่มีความน่าสนใจ อาทิ หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่ยังมีมูลค่าไม่แพงแต่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี หรือหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ราคาปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยใช้หลัก คัดเลือกหุ้น – วิเคราะห์เจาะลึก- เน้นการให้น้ำหนักและจังหวะในการลงทุนเช่นเดียวกับ K20SLTF
อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน LTF และ RMF ผู้ลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย นอกเหนือจากผลตอบแทน อาทิ วัตถุประสงค์ในการลงทุนของตนเอง ระยะเวลาในการลงทุน ความเสี่ยงของกองทุน นโยบายการจ่ายปันผล ความสะดวกในการซื้อ-ขาย และติดตามข้อมูลในการลงทุน
สนใจลงทุนกับกองทุน LTF RMF กสิกรไทย เริ่มต้นเพียง 500 บาท ซื้อง่ายผ่าน K-Mobile Banking Plus บริการ K-Cyber Invest และที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา #กองทุนกสิกรไทย ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนเพิ่มเติม http://www.kasikornasset.com/Pages/LTF-RMF.aspx พร้อมโปรแกรมคำนวณภาษีและเงินลงทุนในกองทุน LTF RMF ได้ที่ http://www.kasikornasset.com/Pages/CalTax.html