ครม.ส่งหนังสือด่วนถึง สนช. แจ้งเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ หลังการบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานผ่านพ้นจนเข้าเขตปัญญาสมวาร เป็นกาลอันควรดำเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามราชประเพณีและรัฐธรรมนูญ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ” ทรงเป็นพระรัชทายาทที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งไว้แล้ว “ประยุทธ์” อธิบายขั้นตอนสืบราชสันตติวงศ์ ย้ำเรื่องน่ายินดี เผยเข้าเฝ้าฯ อัญเชิญในเวลาอันใกล้นี้
วันนี้ (29 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0503/44549 ลงวันที่ 29 พ.ย. 2559 มาถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเวลา 10.08 น. เรื่องแจ้งเรื่องการสถาปนาแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ความว่า ตามที่มีประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคต ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และจำเป็นต้องมีการดำเนินการเกี่ยวกับการสืบราชสมบัติสืบต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ในเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ชะลอการดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนดังกล่าวในส่วนของรัฐบาลไว้ก่อนเพื่อสนองพระราชดำริในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ว่ายังไม่สมควรดำเนินการใดที่แสดงถึงการมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ในระหว่างที่ประชาชนอยู่ในภาวะทุกข์โศกและยากจะทำใจ พระองค์เองก็ทรงขอเวลาร่วมทุกข์และทำใจเช่นเดียวกับประชาชนจนกว่าการพระราชพิธีพระบรมศพจะผ่านพ้นไประยะหนึ่ง ซึ่งมีพระราชดำริว่าเมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานผ่านพ้นจนถึงปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) คือวันที่ 1 ธ.ค. 2559 แล้วจึงค่อยพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ระหว่างเวลานั้น รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อนอยู่แล้วจึงไม่น่าจะมีข้อขัดข้องใดๆ ในราชการบ้านเมือง
บัดนี้ การพระราชพิธีพระบรมศพได้ล่วงเลยเวลาบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน จนเข้าเขตปัญญาสมวาร (50 วัน) ทั้งประชาชนก็มีโอกาสเข้าถวายบังคมพระบรมศพแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.ถึงบัดนี้ประมาณ 1 เดือน มีจำนวนประมาณ 1 ล้านคน รัฐบาลจึงนำความกราบบังคมทูลว่า นับเป็นกาลอันควรดำเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามราชประเพณีและรัฐธรรมนูญ อันจะยังความปลาบปลื้มปีติและสร้างขวัญกำลังใจแก่พสกนิกรซึ่งทรงทราบฝ่าละอองพระบาทแล้ว
โดยที่การสืบราชสมบัติต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ซึ่งมาตรา 2 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนี้กำหนดให้นำบทบัญญัติในหมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาใช้บังคับโดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2557 ดังนั้นการสืบราชสมบัติจึงต้องเป็นไปตามความในหมวด 2 วรรค พระมหากษัตริย์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งมาตรา 23 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวบัญญัติว่า
“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 แล้ว ให้ ครม.แจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”
ครม.จึงขอแจ้งมาเพื่อทราบว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ธ.ค. 2515 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ท่ามกลางมหาสมาคม ประกอบด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ ครม. คณะทูตานุทูต ข้าราชการ ทหาร พลเรือน และสมาชิก สนช. ต่อมาสมเด็จพระบรมโอราสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ตรัสถวายสัตย์ปฏิญาณสาบานในการพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ด้วยแล้ว
ประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอราสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ วันที่ 28 ธ.ค. 2515 เล่ม 89 ตอนที่ 200 มีความตอนหนึ่งว่า
“ก็โดยราชนีติอันมีมาในแผ่นดินนั้น เมื่อสมเด็จพระบรมราชโอรสซึ่งจะทรงรับรัชทายาทสืบราชสันตติวงศ์ทรงพระเจริญวัยสมควรแล้ว ย่อมโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เฉลิมพระอิสริยยศ ตั้งแต่งไว้ในตำแหน่งสมเด็จพระยุพราชมกุฎราชกุมาร ในกาลปัจจุบันนี้ประชาชนทั้งหลายตลอดถึงชาวต่างประเทศทั่วไปในโลกย่อมพากันนิยมยกย่องว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณทรงอยู่ในฐานะที่จะรับราชสมบัติปกครองราชอาณาจักรสืบสนองพระองค์ สมเด็จพระเข้าลูกยาเธอนั้นเล่าก็ทรงพระเจริญพระชนมายุบรรลุนิติภาวะทรงพระวีรยภาพและพระสติปัญญาสามารถที่จะรับภาระของผ่านดินตามพระอิสริยศักดิ์ได้ ถึงสมัยที่จะสถาปนาเป็นองค์รัชทายาท ควรทรงอนุวัตรให้เป็นไปตามธรรมนิยม และขัติยราชประเพณี ตามความเห็นชอบเห็นดีของมหาชน และผู้บริหารประเทศทุกฝ่ายเฉลิมพระเกียรติยศขึ้นให้สมบูรณ์ตามตำแหน่งทุกประการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร”
อนึ่ง จากกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า “พระรัชทายาท” คือ เจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์ พระองค์ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สมมติขึ้น เพื่อเป็นผู้ทรงสืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์ต่อไป และมาตรา 4 (2) บัญญัติว่า “สมเด็จพระยุพราช” คือ พระรัชทายาทที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระยุพราชโดยพระราชทานยุพราชาภิเษก หรือโดยพิธีอย่างอื่นสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมารที่ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งในวันที่ 28 ธ.ค. 2515 นั้นเป็นตำแหน่งเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกของไทย เมื่อ พ.ศ. 2429 และสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์ที่สอง เมื่อ พ.ศ. 2437 ซึ่งต่อมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงรับราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ ตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร จึงเป็นตำแหน่งพระรัชทายาท ตามกฎมณเฑียรบาลดังกล่าว และตามที่รัฐธรรมนูญระบุถึง
ดังนั้น เมื่อได้พิจารณาตามประวัติศาสตร์ ข้อกฎหมาย ประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาและโบราณราชนิติประเพณีแล้ว โดยเฉพาะข้อกฎหมายที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญบรรดาที่มีมาทุกฉบับนับแต่ พ.ศ. 2534 จนกระทั่งถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ได้รับความเห็นชอบในการออกเสียงประชามติ เห็นได้ว่าล้วนแต่วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ไว้เป็นแบบแผนเดียวกัน
ครม.จึงแจ้งมายังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะประธานรัฐสภาเพื่อทราบว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระรัชทายาทที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งไว้แล้ว ตามความในมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และทรงสถิตอยู่ในที่พระรัชทายาทสืบมาจนถึงปัจจุบัน
พล.อ.ประยุทธ์ยังแถลงผลการประชุม ครม.วาระพิเศษ ว่าวันนี้มีการประชุมร่วม ครม.-คสช. โดยเราร่วมกันทำภารกิจอันสำคัญเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย คือ กระบวนการอัญเชิญรัชทายาทเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ โดยขั้นตอนได้กำหนดไว้ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดมา 25 ปีแล้ว และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการดำเนินการดังกล่าว ในกรณีที่พระราชบัลลังก์วางลงจึงต้องมีการสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ซึ่งมีการแต่งตั้งรัชทายาทไว้แล้ว ทั้งนี้ ครม.ได้รับทราบและเป็นการเริ่มต้นกระบวนการ โดยทำหนังสือแจ้งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถือเป็นไปตามราชประเพณี กฏมณเฑียรบาลและรัฐธรรมนูญทุกประการ จากนั้นเมื่อ สนช.ได้รับทราบแล้วก็จะได้อัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 ต่อไป เป็นไปตามความในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ถือเป็นเรื่องน่ายินดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เราอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอดชีวิต แล้วจะต้องเตรียมตัวอะไร ก่อนหน้านี้ได้เตรียมตัวอะไรหรือไม่ ส่วนการแต่งกายและการถวายพระพรของประชาชนก็เป็นเรื่องของกระบวนการภายใน เพราะวันนี้เป็นขั้นตอนเริ่มต้น มื่อถึงเวลาก็จะต้องเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะมีขึ้นในเวลาอันใกล้นี้
ที่มา : http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9590000119232