บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย นำโดย มร.เจฟฟรีย์ กอดิอาโน กรรมการผู้จัดการและประธานบริหาร พร้อมด้วย มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พาสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ของบีเอ็มดับเบิลยู ณ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง โดยได้รับเกียรติจาก ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมแสดงความยินดีกับอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่มุ่งสร้างอนาคตแห่งความยั่งยืน
โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เป็นโรงงานแห่งเดียวในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปที่สามารถผลิตยนตรกรรมหรูทั้งสามแบรนด์ ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ซึ่งนับว่าเป็นโรงงานบีเอ็มดับเบิลยูที่มีความสำคัญในตลาดภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย และปัจจุบันยังพัฒนาศักยภาพในการเดินหน้าสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด โดยเริ่มสายการประกอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอิน ไฮบริด 2 รุ่นในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury และบีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport ซึ่งเป็นรถยนต์ที่สามารถนำสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์ได้อย่างคุ้มค่า ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และสามารถขับขี่ในตัวเมืองได้โดยปราศจากการปล่อยมลภาวะออกจากท่อไอเสีย
“การพัฒนาศักยภาพในการเดินหน้าสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จอีกก้าวของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยในการดำเนินพันธกิจตามวิสัยทัศน์แห่งการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และยังสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญที่โรงงานที่จังหวัดระยอง และประเทศไทย มีต่อการดำเนินธุรกิจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอาเซียน เราเชื่อมั่นว่าโรงงานที่จังหวัดระยอง จะสามารถพัฒนานวัตกรรมและขยายการบริการของเราให้กับลูกค้าและผู้จำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างความสำเร็จที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนต่อไปในอนาคต” มร. สเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าว
มร. เจฟฟรีย์ กอดิอาโน กรรมการผู้จัดการ และประธานบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความสามารถของทีมงานทุกคนที่โรงงานในประเทศไทยแห่งนี้ ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สามารถขยายประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการผลิตได้อย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากโรงงานของเราในประเทศไทยแห่งนี้ จะเป็นที่แรกและที่เดียวในโลกที่ประกอบได้ทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู มินิและบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ภายใต้หลังคาเดียวกันแล้ว เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้พัฒนาศักยภาพในการประกอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอิน ไฮบริด ในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury และบีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sportและเชื่อมั่นว่าการขยายสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ณ โรงงานที่ระยองแห่งนี้จะช่วยเสริมสร้างรากฐานให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค และสนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ความยั่งยืนในอนาคต”
ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมแสดงความยินดีและกล่าวถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า “กระทรวงอุตสาหกรรมและบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีโอกาสทำงานร่วมกันในการขยายการดำเนินงานและพัฒนาธุรกิจของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทยมายาวนาน เรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการฉลองความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยูในการขยายสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ในครั้งนี้ และมีความยินดีที่ได้เห็นบีเอ็มดับเบิลยูให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ อันเป็นเครื่องสะท้อนถึงความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่จะนำประเทศไทยนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน”
รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury และบีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport เป็นรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดที่มาพร้อมเทคโนโลยี iPerformance ที่เกิดจากการผสมผสานนวัตกรรมของบีเอ็มดับเบิลยู และบีเอ็มดับเบิลยู i ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เช่นเดียวกับรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดของบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นอื่นทุกรุ่น โดยสามารถส่งกำลังแบบไฮบริดที่ผสานการทำงานของทั้งเครื่องยนต์เทคโนโลยี BMW TwinPower Turboเกียร์สเต็ปทรอนิก 8 สปีด และเทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู eDrive ที่พัฒนาโดยบีเอ็มดับเบิลยู i ส่งผลให้บีเอ็มดับเบิลยู 330e Luxury และบีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport เปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อการบริหารจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด จึงสามารถใช้งานเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าควบคู่กันไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รองรับการขับขี่ด้วยไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบที่โดยปราศจากการก่อมลภาวะ พร้อมยังมอบความประหยัดที่เหนือกว่าและสมรรถนะอันโดดเด่นจากการตอบสนองที่รวดเร็วในสไตล์รถยนต์ไฮบริด สามารถคงไว้ซึ่งความเพลิดเพลินในยามขับขี่ตามแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู โดยไม่ทิ้งแนวคิดของความยั่งยืน