สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (DEPA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผยผลสำรวจใน “โครงการการสำรวจข้อมูลการใช้ซอฟต์แวร์ในภาคอุตสาหกรรมหลัก ประจำปี 2559 (ภาคสุขภาพ)”เล็งเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยด้านสุขภาพ และบริการสุขภาพในรูปแบบที่หลากหลายผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อมอบการให้บริการที่สะดวก และทันสมัยให้กับประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์ และเพื่อประสิทธิภาพการให้บริการด้านสาธารณสุขที่เพิ่มสูงขึ้น
ดร.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการ กลุ่มยุทธศาสตร์และบริหารสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโครงการเป็นไปตามนโยบายของดีป้า เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพื่อการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ให้เกิดประโยชน์และยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และยังสอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ตามยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐฯ เป็นการพัฒนางานบริการของหน่วยงานภาครัฐสู่ความเป็นเลิศ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการในทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน และนักธุรกิจ เอกชน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
โครงการนี้เน้นสำรวจข้อมูลทั้งในด้านการใช้งานซอฟต์แวร์ และการส่งผ่านข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ และกลุ่มโรงพยาบาลทุกขนาด เพื่อให้ทราบและเข้าใจถึงแนวโน้มความต้องการในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ในการสร้างและบริหารจัดการข้อมูลคนไข้ที่ต้องส่งต่อกันระหว่างผู้ให้บริการ ผู้จ่ายเงิน และผู้ควบคุมดูแล รวมทั้งเพื่อศึกษารูปแบบการให้บริการที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถติดต่อกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลผ่านทางออนไลน์ หรือโมบาย โดยไม่จำเป็นต้องเดินทาง
“ในการที่จะนำซอฟต์แวร์ หรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างเครื่องมือ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในภาคการบริการสุขภาพ เราต้องพิจารณาถึงประโยชน์ ความคุ้มค่า และประสิทธิภาพในการใช้งานและการให้บริการ เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดีป้าเองได้เห็นถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการที่ประเทศไทยควรจะต้องเร่งพัฒนาความพร้อมทั้งในแง่ของระบบและในแง่ของทรัพยากรให้ทันต่อยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จึงต้องศึกษาให้เข้าใจเพื่อการวางแผนทั้งในระยะสั้น และระยะยาวที่มีประสิทธิผลสูงสุด” ดร.กษิติธร กล่าว
จากการศึกษา สิ่งที่หน่วยงานด้านการบริการสุขภาพต้องการเห็นในอีก 4 ถึง 5 ปี ข้างหน้า คือการสร้างระบบฐานข้อมูลกลาง (Centralization) เพื่อแบ่งปันข้อมูลร่วมกันนอกจากนี้ ในมุมมองของโรงพยาบาล ยังต้องการให้เกิดรูปแบบการให้บริการแบบ “Patient-centered medicine” หรือการให้บริการที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โดยให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนที่น้อยที่สุด ซึ่งการจะทำให้เกิดการให้บริการรูปแบบนี้ได้จำเป็นต้องมีระบบซอฟต์แวร์ และไอทีที่มีประสิทธิภาพ อาทิ ระบบการนัดหมายแพทย์ที่รวดเร็ว โดยอาจนำโมบายแอปพลิเคชันเข้ามาช่วยมากขึ้น จากที่ในปัจจุบัน ได้มีการทำในลักษณะช่องคีออสที่คนไข้สามารถที่ตรวจสอบสิทธิ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ ผลสำรวจสอดคล้องกับโครงการส่งเสริมการใช้งานระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องฯ ของดีป้า ที่มุ่งเน้นการดำเนินการพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศจากระบบปฏิบัติการโรงพยาบาล: Hospital Information System หรือ HIS มาสู่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งสามารถแสดงผล (Output) ข้อมูลประวัติสุขภาพในรูปแบบเว็บเซอร์วิสและแอปพลิเคชัน บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ผ่านฐานข้อมูลกลางที่ออกแบบให้รองรับโครงสร้างข้อมูลในแต่ละจังหวัดให้สามารถแสดงผลอย่างถูกต้อง โดยการดำเนินงานโครงการฯ ศึกษาและพัฒนาระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่าง ๆ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สามารถใช้ประโยชน์จากระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล (Personal Health Record: PHR) ซึ่งมุ่งเน้นการขยายฐานจำนวนประชาชนใช้งานระบบให้มากที่สุดทั้งในส่วนของการแสดงผลข้อมูล และบันทึกข้อมูล ซึ่งจะส่งผลให้ฐานข้อมูลระบบ PHR มีฐานที่ใหญ่ขึ้น สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์และออกนโยบายการสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ผลสำรวจระบุว่า การพัฒนาและการนำเอาเทคโนยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในภาคการบริการด้านสุขภาพจะนำไปสู่การให้บริการแบบ Homecare ที่จะช่วยให้คนไข้ได้รับบริการสาธารณสุขจากที่บ้านในอนาคต รวมทั้งสามารถดูแลตัวเองได้โดยใช้เครื่องมือWearable Device ที่เชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ หรือ คลาวด์ของโรงพยาบาล เพื่อได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ได้โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาลหากไม่จำเป็น หรือ มีระบบแจ้งเตือน (alert) เตือนไปยังญาติ หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลอยู่ได้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ทำให้สามารถดูแลรักษาได้ทันท่วงที
“บทบาทหนึ่งของดีป้า คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และพันธกิจของเรายังมุ่งเน้นในการทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการส่งเสริม ประสาน และบูรณาการความร่วมมือ ทุกภาคส่วน ให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้น ผลที่ได้จากโครงการวิจัยนี้จะสามารถนำไปต่อยอดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้เพื่อผลักดันการให้บริการด้านสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในอนาคต” ดร.กษิติธร กล่าว