เป๊ปซี่ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการน้ำดำของโลกขยับตัวปรับกลยุทธ์รุกการตลาดในประเทศไทยอีกครั้งด้วยการร่วมทุนกับพันธมิตรหน้าเดิมอย่าง ซันโทรี่ เพื่อมุ่งโฟกัสในการพัฒนาสินค้า และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้น จุดมุ่งหมายหลักก็คือการทวงบัลลังก์ผู้นำกลับคืนมาอีกครั้ง การร่วมมือกันในครั้งนี้มีเรื่องราวที่น่ารู้อะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย
1. ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ รุกตลาดเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์
นับเป็นการพลิกประวัติศาสตร์อีกครั้งของแบรนด์ “เป๊ปซี่” ที่อยู่ในเมืองไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2495 ซึ่งหลังเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจจากระบบแฟรนส์ไชส์มาเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายด้วยตัวเองในปี พ.ศ.2555
ล่าสุดในปีนี้ บริษัทแม่จากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง “เป๊ปซี่โค” ได้ประกาศปรับโมเดลธุรกิจเครื่องดื่มอีกครั้ง โดยจับมือกับ “กลุ่มซันโทรี่” ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อร่วมพัฒนาและขยายธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
2. สัดส่วนการถือหุ้น ซันโทรี่ 51% เป๊ปซี่โค 49%
บริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้มีชื่อว่า “บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอร์เรจ ประเทศไทย จำกัด“ โดยกลุ่มซันโทรี่จะถือหุ้นในสัดส่วน 51% ในขณะที่เป๊ปซี่โคถือหุ้นส่วนที่เหลืออีก 49% ซึ่งจะดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มแบบครบวงจรตั้งแต่การผลิตการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้ารวมไปถึงการสร้างแบรนด์และทำการตลาด
โดยมุ่งสร้างความแข็งแกร่งและขยายพอร์ตโฟลิในกลุ่มเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic Beverages) เท่านั้น อาทิ เครื่องดื่มน้ำอัดลม น้ำดื่มบรรจุขวด เครื่องดื่มเกลือแร่ ชา–กาแฟพร้อมดื่ม น้ำผลไม้ รวมไปถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต
3. ร่วมกันดำเนินธุรกิจผ่านคณะกรรมการบริหาร
ปัจจุบัน เป๊ปซี่โคและซันโทรี่อยู่ระหว่างการดำเนินตามขั้นตอนต่างๆ ทางกฎหมายเพื่อถ่ายโอนการดำเนินธุรกิจไปสู่บริษัทใหม่ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ.2561
ทั้งนี้ ทั้งกลุ่มซันโทรี่และเป๊ปซี่โคจะร่วมกันกำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนการบริหารงานเพื่อมุ่งสร้างการเติบโตให้กับบริษัทร่วมทุนใหม่นี้ผ่านคณะกรรมการบริหาร (Board of Directors)
4. เป็นพันธมิตรเก่าแก่ที่ร่วมมือกันมากว่า 35 ปี
การจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อพัฒนาธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทยร่วมกันของเป๊ปซี่โคและกลุ่มซันโทรี่ครั้งนี้ไม่ได้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ในวงการ เพราะทั้งสองบริษัทเป็นพันธมิตรซึ่งทำธุรกิจร่วมกันมาอย่างยาวนานกว่า 35 ปีในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ รวมทั้งล่าสุดในประเทศเวียดนาม
5. เป็นโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในเวียดนาม
รูปแบบการทำธุรกิจแบบบริษัทร่วมทุนหรือ Joint Venture ของเป๊ปซี่โคและกลุ่มซันโทรี่นี้ถือเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศเวียดนาม โดยทั้งสองบริษัทได้ร่วมกันพัฒนาธุรกิจเครื่องดื่มในปี พ.ศ.2556 ภายใต้ “บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เวียดนาม เบเวอร์เรจ”
ซึ่งสามารถสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยเป็นเลขสองหลัก (Double-digit growth) ผ่านธุรกิจใน 5 กลุ่ม คือ เครื่องดื่มชูกำลัง ชาพร้อมดื่ม น้ำอัดลม น้ำดื่มบรรจุขวด และน้ำผลไม้ และปัจจุบันกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดเครื่องดื่ม (Liquid Refreshment Beverage) มูลค่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
6. ความแข็งแกร่งของ “เป๊ปซี่” ที่ครองใจคนไทยมากว่า 65 ปี
เป้าหมายหลักของการร่วมทุนครั้งนี้ก็เพื่อการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยอาศัยจุดแข็งที่ทั้งสองบริษัทต่างเพื่อสร้างเสริมกัน (Synergy) ทั้งในด้านแบรนด์ที่แข็งแกร่งประสบการณ์ในการบริหารและพัฒนาธุรกิจทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกรวมไปถึงเงินลงทุน
โดยฝั่งเป๊ปซี่โคนอกจากจะมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและครองใจคนไทยมากว่า 65 ปีอย่าง “เป๊ปซี่” ซึ่งถือเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มโคล่าในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวดด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 45% แล้ว ยังมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย พร้อมด้วยประสบการณ์ในการบริหารจัดการการผลิตเครื่องดื่มในโรงงานทั้งสองแห่ง คือ โรงงานระยองในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ และโรงงานสระบุรีที่นิคมอุตสาหกรรมหนองแค ทั้งยังมีระบบการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง ทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชันนอลเทรดที่ครอบคลุมร้านค้าปลีกกว่า 470,000 แห่ง
7. เสริมโอกาสทางธุรกิจด้วยพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายจาก “ซันโทรี่”
ในขณะที่กลุ่มซันโทรี่ ไม่เพียงมีความช่ำชองกับการบริหารจัดการระบบคุณภาพการผลิตที่เป็นเลิศด้วยมาตรฐานสูงในแบบญี่ปุ่นแล้ว ยังมีความชำนาญในการพัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่มใหม่ๆ ในตลาดเอเชียที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย มีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายและตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่ช่วยเติมเต็มความสดชื่นหรือ Hydration ซึ่งเป็นการการันตีว่าจะได้เห็นการขยายพอร์ตฯ เครื่องดื่มใหม่ๆ ที่จะสร้างสีสันให้กับตลาดในอนาคตแน่นอน
8. ร่วมทุนแค่เครื่องดื่ม ธุรกิจ Snack ยังเป็นของเป๊ปซี่
การร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจของเป๊ปซี่โคในประเทศไทยเฉพาะในส่วนของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มเท่านั้น เป๊ปซี่โคยังคงดำเนินธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยวในเมืองไทยเหมือนเช่นเดิมโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับซันโทรี่แต่อย่างใด และยังคงเป็นเจ้าตลาดขนมขบเคี้ยว (Salty Snack) มูลค่า 34,000 ล้านบาท โดยมีแฟลกชิพแบรนด์อย่าง “เลย์” ที่เป็นหัวหอกสำคัญด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 75% ในเซ็กเมนต์มันฝรั่งทอดกรอบ รวมถึงแบรนด์ขนมขึ้นรูปอื่นๆ อย่าง “ตะวัน” “ซันไบทส์” “ชีโตส” และ “ทวิสตี้”
9. ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจซุปไก่สกัดและรังนก “แบรนด์”
สำหรับกลุ่มซันโทรี่แล้ว การร่วมทุนในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งมูฟสำคัญของการขยายธุรกิจในประเทศไทย หลังจากที่ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซุปไก่และรังนก “แบรนด์” โดยถือหุ้น 100% และได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยมุ่งดำเนินธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ (Health Supplement) และใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในธุรกิจเครื่องดื่มของซันโทรี่ในประเทศไทยครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “แบรนด์ ซันโทรี่” เพราะถือเป็นคนละหน่วยธุรกิจที่แยกการบริหารกันอย่างเอกเทศ