ถึงแม้ตลาด “โยเกิร์ตพร้อมดื่ม” ในประเทศไทย ที่มีมูลค่าประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท อยู่ในมือของ “ดัชมิลล์” กินรวบตลาดเกือบจะ “เบ็ดเสร็จ” ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 97% อีก2% เป็นของโฟร์โมสต์ โยโมสต์ ส่วน 1% ที่เหลือเป็นของค่ายอื่นๆ เช่น เมจิ บัลแกเรีย ของเครือซีพี, ปาร์ตี้ แดรี่ ของบีเจซี และแอนลีน ของฟอนเทียร่า แบรนด์ส สวิตเซอร์แลนด์
โดยที่ผ่านมามีอัตราการ “เติบโต” ประมาณ 5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “ทรงตัว” การที่เจ้าตลาดแข็งแกร่งมาก และตลาดโตต่ำ โอกาสที่แบรนด์ใหม่ๆ จะแทรกตัวในตลาดจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ล่าสุด “บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด” จับมือพันธมิตรใหม่ “บริษัท นูทริดอร์ จำกัด” เปิดตัวสินค้าโยเกิร์ตพร้อมดื่มแบรนด์ “เอบีเวีย” ลงตลาดไทยอย่างเป็นทางการ
“เอบีเวีย” ไม่ใช่แค่เป็นแบรนด์โยเกิร์ตพร้อมดื่มน้องใหม่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวเข้าทำตลาดทั่วโลกได้เพียง 1 ปีเท่านั้น โดย “ภูมิภาคเอเชีย” เป็นตลาดเป้าหมายสำคัญที่ “นูทริดอร์” กำลังปูพรมบุกทั้งจีน อินเดีย เมียนมา ลาว กัมพูชา ไทย ตะวันออกกลางไปพร้อมๆ กัน
ด้านพอร์ตโฟลิโอสินค้าของนูทริดอร์ หลักๆ จะมี 3 กลุ่มได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมยี่ห้อเอบีเวีย เครื่องดื่มชูกำลังเอ็นอาร์จี (NRG) และน้ำผลไม้ฟรุตแม็กซ์ (Fruit Max) เมื่อนำร่องทำตลาดกลุ่มนม ในอนาคตจะยกทัพมาขยายตลาดให้ครบทั้งหมดทุกสินค้าด้วย
“ซังก้า ซุโบรบิสวาส” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นูทริดอร์ จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่ “เอบีเวีย” จะนำมาใช้ต่อกรกับคู่แข่ง คือ รสชาตินมโยเกิร์ตพร้อมดื่มที่เข้มข้น “สไตล์ยุโรป” และ “รสธรรมชาติ” เชื่อว่าจะเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค และสร้างความแตกต่างแบรนด์อื่นๆ เพราะส่วนใหญ่ตลาดจะมีโยเกิร์ตพร้อมดื่มรสชาติผลไม้
ส่วน ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง พันธมิตรท้องถิ่น เป็นผู้วางกลยุทธ์การทำตลาดและกระจายสินค้า เพราะมีเครือข่ายร้านค้าที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมช่องทางจำหน่ายทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และร้านค้าทั่วไปประมาณ 40,000 ร้านค้า โดยในช่วงต้นจะใช้งบการตลาด 100 ล้านบาท จัดกิจกรรมตลาดตรงกระชับพื้นที่ถึงกลุ่มเป้าหมาย หรือ Below the line ลุยแจกสินค้าตัวอย่างให้ผู้บริโภคทดลองชิม 2 แสนกล่อง ผ่านหัวเมืองใหญ่ 200 แห่งทั่วไทย มุ่งสร้างการรับรู้แบรนด์ (Awareness) ผ่าน “ออนไลน์” เป็นหลัก
การทำตลาดครั้งนี้ เอบีเวีย จริงจังกับตลาดไทยมาก เพราะมีการตั้งบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนถึง 200 ล้านบาท รองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นรอบด้าน และดันไทยเป็นฮับผลิตสินค้าส่งออกไปยังทุกตลาดในเอเชีย โดยช่วงแรกจะใช้การ “จ้างผลิต” (OEM) ผ่านบริษัท เอบิโก้ แดรี่ฟาร์ม จํากัด ด้วยกำลังการผลิต 100 ล้านแพ็กต่อปี เมื่อตลาดใหญ่มากพอจึงตั้งโรงงานผลิตเอง
“โกสุม สินเพิ่มสุข” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด ระบุว่า เป้าหมายการบุกตลาดโยเกิร์ตครั้งนี้ นูทริดอร์และล็อกซเล่ย์ หวังจะดันน้องใหม่ให้ “เอบีเวีย” มียอดขาย 200 ล้านบาทภายใน 3 ปี
เมื่อดูตลาดนมเปรี้ยวพร้อมดื่มที่ผ่านมานั้นอยู่ในมือของ “ดัชมิลล์” เป็นส่วนใหญ่ โดยทำรายได้รวมในปี 2559 มากกว่า 10,506 ล้านบาท เติบโตลดลง 1.55% กำไรกว่า 962 ล้านบาท
ตลาดใหญ่ของดัชมิลล์คือนมโยเกิร์ตพร้อมดื่ม เติบโตถึง 77.85% ซึ่งสินค้ามีความ “หลากหลาย” มาก ทั้งยูเอชที, พาสเจอร์ไรส์ แบบ 4 in 1, ดัชมิลล์ ไลฟ์พลัส ที่น้ำตาลน้อย 2% ดัชมิลล์ คิดส์ ครอบคลุม “กลุ่มเป้าหมาย” ตั้งแต่ผู้ใหญ่ไปจนถึงเด็กรวมถึงคนรักสุขภาพและความงาม
รวมถึงการออก “โฆษณา” ออกมาสื่อสารกับผู้บริโภคถี่ยิบ มี “โปรโมชั่น” อยู่ไม่ขาด ทั้งลดราคา แจกของพรีเมียม มี “สาวดัชมิลล์” ทำหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์และขายตรงสินค้าถึงหน้าประตูนบ้าน “ผู้บริโภค” ทั่วไทย ได้ทั้งสร้างแบรนด์และยอดขายแบบถึงลูกถึงคน
“เมจิ บัลแกเรีย” ของเครือซีพี นอกจากทุนหนา แบรนด์ยังสร้างความ “แตกต่าง” จากคู่แข่งด้วยการชูจุดขาย “บัลแกเรีย” ว่าเป็นต้นตำรับของจุลินทรีย์ที่มีเอกลักษณ์สำหรับผลิตโยเกิร์ต จนโด่งดังไปทั่วโลก ด้านสินค้ายังเน้นรสชาติ “ธรรมชาติ” ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ และแน่นอนพรีเซ็นเตอร์ยังเป็นหนุ่มฮอต “เจมส์ จิรายุ” ด้วย
“ปาร์ตี้ แดรี่” ชัดเจนว่าหลังจากแอคทีเวียถอนทัพพับแผนลงทุนในไทยกลับฝรั่งเศส บีเจซี ในฐานะ “คู่ค้า” เก่าที่ผลิตสินค้าให้ ก็ลุยปั้นนมโยเกิร์ตพร้อมดื่มและโยเกิร์ตแบบถ้วยทำตลาดเสียเอง มีสินค้าหลากหลายไม่แพ้ค่ายใด และเดินเกมเชิงรุก ดึงดาราดัง “ญาญ่า” และ “คิมเบอร์ลี่” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมยิงโฆษณาสม่ำเสมอ จุดขายสำคัญของปาร์ตี้ แดรี่ จะชูคุณประโยชน์สินค้าช่วยด้านการขับถ่าย เป็นต้น
ขณะที่โฟร์โมสต์ โยโมสต์ เป็นของยักษ์ใหญโฟร์โมสต์ ซึ่งไม่ได้ทำตลาดมากนัก แต่ยังมีสินค้าจำหน่ายอยู่ รวมถึงแอนลีน ที่เป็นของยักษ์ใหญ่สวิตเซอร์แลนด์ และจับกลุ่มเป้าหมายค่อนข้างเฉพาะ
ส่วนที่มาของ “เอบีเวีย” ก็มีเครือข่ายธุรกิจหลากหลาย โดย “นูทริดอร์” เป็น 1 ในบริษัทลูกของ “ทีจีไอ กรุ๊ป : TGI GROUP” ซึ่งก่อตั้งโดยชาวเนเธอร์แลนด์ มีธุรกิจหลักอยู่ในไนจีเรีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โดยไนจีเรียมีสัดส่วนรายได้ถึง 80% และในปีนี้บริษัทรุกขยายธุรกิจมายังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) อย่างเอเชีย ส่วนกิจการของบริษัทมีมากมาย ทั้งรีเทล การเกษตร อาหารแช่แข็ง เวชภัณฑ์ยา และเคมีภัณฑ์ฯ เช่น CHI retail Chi Pharmaceuticals CHI farms CHI Limited ที่สำคัญปีที่ผ่านมา บริษัทยังมียักษ์น้ำดำระดับโลก Coca-Cola เข้าไปถือหุ้นใน CHI Limited ด้วย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์นม ขนมขบเคี้ยว และน้ำผลไม้ เป็นต้น
ดีกรีการแข่งขันตลาด โยเกิร์ตพร้อมดื่ม คงคึกคักขึ้นแน่ๆ เพราะรายใหม่ก็ไม่ธรรมดา ส่วนจะสู้ศึกในตลาดที่ได้ชื่อว่า “ปราบเซียน” มานักต่อนักแล้ว ได้หรือไม่ ต้องติดตาม !