บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) LALIN ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือภาพรวมของตลาด ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2560 ขยายตัวได้สูงอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรับรู้รายได้ในไตรมาสสามที่ 1,041.8 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 38% ในขณะที่ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเหนือตลาด ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 204.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 44% ในส่วนของตัวเลข 9 เดือน บริษัทมียอดรับรู้รายได้แล้วกว่า 2,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.2% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 489 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ผลประกอบการในรอบไตรมาสที่สาม ปี 2560 บริษัทฯ ยังคงเติบโตในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยรับรู้รายได้ อยู่ที่1,041.8 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 38% ในขณะที่ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเหนือตลาด ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 204.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 44% สวนทางภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในปี 2560 นี้จะไม่สดใสนัก
ดังนั้น บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้จะเป็นอีกปีที่เติบโตได้ดีกว่าภาพรวมของตลาด ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากในปีก่อนที่เติบโตได้ราว 30% จากปี 2558 โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 15%หรือตั้งเป้ารับรู้รายได้ที่ 3,100 ล้านบาท ขณะที่รอบ 9 เดือนแรก สามารถรับรู้รายได้ คิดเป็น 83% ของเป้าหมายแล้ว โดยอยู่ที่ 2,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.2% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 489 ล้านบาท เติบโตขึ้น27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงเชื่อมั่นว่าในปีนี้จะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ นอกจากบริษัทจะสามารถทำผลงาน มียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัวได้ดีแล้ว บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี โดยในช่วง 9 เดือนแรกนี้ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ระดับราว 40% ในขณะที่การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทำได้ดี ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ราว 11.8% ส่งให้ใน 9 เดือนแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิแล้วกว่า 489 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในปีที่แล้วทั้งปี
ในแง่การขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 1-2 โครงการในช่วงที่เหลือของปี ส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่สามารถขายและปิดโครงการได้หลายโครงการ ตลอดจนเป็นการสนับสนุนให้บริษัทมีการขยายตัวที่มั่นคงต่อไป ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายโครงการใหม่ในปีนี้ไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท แต่ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน บริษัทยังคงความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน มีระดับหนี้ที่สามารถบริหารจัดการได้ มีการใช้แหล่งของเงินกู้ที่หลากหลาย และมีอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อควบคุมต้นทุนทางการเงิน โดย ณ สิ้นไตรมาสสาม 2560 นี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.85 เท่า ซึ่งเท่ากันกับ ณ สิ้นปี 2559 และเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่า