บมจ.มั่นคงเคหะการ พร้อมโตตามกระแสเศรษฐกิจ หลัง สศช. คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 61 ขยายตัวร้อยละ 3.6 – 4.6 อัดงบลงทุน 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งลงทุนในธุรกิจเพื่อขาย 4,000 ล้านบาท และลงทุนในธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการอีก 1,000 ล้านบาท หวังเพิ่มรายได้ทั้งขายและเช่า พร้อมส่ง 7 โครงการใหม่ บนทำเลศักยภาพลงตลาด ตั้งเป้ารายได้จากการขายโครงการ 3,500 ล้านบาท
นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เกี่ยวกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP พบว่าในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.6 – 4.6 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวในเกณฑ์ดีของเศรษฐกิจโลกที่ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนภาคส่งออกอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ที่เห็นได้ชัดอีกประการคือการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนในภาคเอกชนตลอดจนเศรษฐกิจหลักที่สำคัญมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และการปรับตัวดีขึ้นของการจ้างงานและฐานรายได้ของประชาชนในระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่มาตรการดูแลเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 5.0 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.1 และร้อยละ 5.5 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.9 – 1.9 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 8.1 ของ GDP ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะกลับมาผลักดันให้ธุรกิจเศรษฐกิจไทยก้าวสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
“จากการคาดการณ์ของหลายฝ่ายเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ส่งผลให้ บมจ.มั่นคงเคหะการ ทุ่มงบพัฒนาธุรกิจทั้งส่วนการขายและการเช่าอย่างเต็มรูปแบบ โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องและส่วนใหญ่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ท่ามกลางกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องตลอดมา และเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ บริษัทฯ จึงได้ทุ่มงบลงทุน 5,000 ล้านบาท พัฒนาทั้งธุรกิจเพื่อขาย เพื่อเช่าและการบริการ โดยมุ่งไปยังกลุ่มตลาดระดับกลางและระดับบน เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนด้วย พร้อมดึงระบบเทคโนโลยีและดิจิตอลเข้ามาเพิ่มศักยภาพด้านการให้บริการและการขาย รวมถึงวางแผนขยายไลน์ธุรกิจไปยังกลุ่มใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทฯ ด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะเป็นทั้งบริหารจัดการด้วยตนเอง และการจับมือพันธมิตรทางธุรกิจชั้นแนวหน้าของประเทศร่วมพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มความต้องการ” นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ กล่าวเสริม
ทั้งนี้ ในปี 2561 บมจ.มั่นคงเคหะการ มีแผนพัฒนาโครงการใหม่รวม 7 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ และโครงการทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่ารวมทั้ง 7 โครงการประมาณ 4,720 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาโครงการในทำเลใกล้เคียงกับโครงการเดิมในปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพตลอดจนยังมีกำลังซื้ออยู่มาก อาทิ กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก กรุงเทพฯ ตอนเหนือ และกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ซึ่งทำเลกรุงเทพ-ปทุมธานีถือว่าเป็นทำเลที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีที่สุดทำเลหนึ่ง ประกอบกับทางบริษัทฯได้มีการพัฒนาและปรับโฉมคลับเฮ้าส์สนามกอล์ฟใหม่ในปีที่ผ่าน โดยพร้อมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะยิ่งเพิ่มศักยภาพให้กับทำเลดังกล่าวมากขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทในเครือนั้น นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน คลังสินค้าและโรงงานเพื่อเช่า ประกอบด้วย พื้นที่ประกอบการอุตสาหกรรมและเขตปลอดอากรย่านบางนา บางพลี สมุทรปราการนั้น ถือว่ามีการเติบโตอย่างมากในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ปล่อยเช่ารวม 115,000 ตารางเมตร และจะพัฒนาต่อเนื่องในปีนี้เพิ่มเติมอีกประมาณ 38,000 ตารางเมตร และในส่วนของบริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ที่ให้บริการด้านการบริหารจัดการอาคารและที่พักอาศัยนั้น ในปี 2561 วางแผนขยายบริการเพิ่มอีก 8 โครงการ”
ด้านมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยในปี 2561 นั้น นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า “ในปี 2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตประมาณ 6-8% (ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์) เป็นผลมาจากทิศทางตลาดในไตรมาส 3-4 ของปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะยังคงไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก เพราะภาครัฐและภาคการเงินต้องการเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าซับพลายที่อยู่อาศัยในตลาดกทม.-ปริมณฑลปี 2561 จะมีเพิ่มขึ้นในปีนี้เช่นกัน สอดคล้องกับตัวเลขจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่ระบุว่าจะมีจำนวนหน่วยประมาณ 154,200 หน่วย แบ่งเป็นโครงการแนวราบประมาณ 74,300 หน่วย คิดเป็น 48.2% ขณะที่อาคารชุดมีประมาณ 79,900 หน่วย คิดเป็น 51.8% โดยหน่วยที่มีมากสุดคือ อาคารชุด 51.8% รองลงมาเป็นทาวน์เฮาส์ 29.1% และบ้านเดี่ยว 13.6% ที่เหลือเป็นบ้านแฝดและอาคารพาณิชย์”