ครั้งแรกของการให้สัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟเจเนอเรชั่นที่สองของตระกูล “เจียอาภา” พร้อมเปิดตัว 3 โปรเจ็กต์ใหญ่มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท และธุรกิจแนวใหม่ของครอบครัว


ขึ้นแท่นผู้บริหารเจเนอเรชั่นที่สองของครอบครัว “เจียอาภา” เต็มตัว ชินทัต เจียอาภา ผู้บริหาร อาคารชาร์เตอร์สแควร์  อาคารลำดับแรกบนถนน สาทร พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อน 3 โปรเจ็กต์ใหญ่ที่ถือเป็นธุรกิจใหม่ของครอบครัว และเปิดโอกาสให้สื่อ มวลชนร่วมสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นครั้งแรกในฐานะ “ผู้นำ” และ “ผู้บริหาร” ยุคใหม่ ทีผสมผสาน หลักการบริหารธุรกิจแบบ Conservative (เน้นการบริหารแบบรอบคอบและมั่นคง) เข้ากับการนำเทคโน โลยีสุดล้ำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบที่คำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม


หลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทำให้ “ชาร์เตอร์ สแควร์” เป็นอาคารแห่งแรกในเมืองไทย และลำดับที่สามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผู้นำด้านการออกแบบที่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อมและการจัดการพลังงานอย่าง “LEED Gold 2017” (Leadership in Environment and Energy Design) สาขา Existing Buildings : Operations and Maintenance (EB:OM) จาก US. Green Building Council (USGBC) เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่วัย 34 ปี ก็พร้อมก้าวสู่ การบริหารธุรกิจโรงแรมและสนามกอล์ฟเป็นครั้งแรกบนทำเลที่กำลังได้รับความนิยมสูงในกรุงเทพฯ และพัทยา ท่ามกลางอุณหภูมิการแข่งขันในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร้อนระอุ


ในเรื่องนี้ ชินทัต เจียอาภา ผู้บริหารเจเนอเรชั่นที่สองของตระกูล กล่าวว่า “ในฐานะผู้เล่นหน้าใหม่ในธุรกิจโรงแรมและสนามกอล์ฟ ซึ่งถือเป็น 3 โปรเจ็กต์ใหญ่ที่ท้าทายความสามารถผมจึงต้อง ใช้ความละเอียดรอบคอบอย่างมากในการทำงาน รวมถึงการร่วมงานกับทีมพาร์ทเนอร์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานในโปรเจ็กต์ใหญ่ที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกับการร่วมงานกับเครือโรงแรมระดับโลกอย่างโรงแรมในซอยคอนแวนต์เราเลือกเชนของ Hyatt Place ส่วนที่พัทยาใช้เชนโรงแรม Andaz ครับ สำคัญที่สุดเราเน้นโลเกชั่นที่ดีและพร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต


“จริงๆ แล้วเราไม่ได้วางตัวเองเป็น “คู่แข่ง” กับบริษัทอื่นเลยครับ แต่เราวางจุดยืนเป็นการเติมเต็มหรือสนับสนุนซึ่งกันและกันมากกว่าอย่างโรงแรมในซอยคอนแวนต์ระดับ 4 ดาว ขนาด 150 ห้อง สูง 25ชั้น ใช้งบลงทุนในการกสร้างราว 900 ล้านบาท ไม่ร่วมมูลค่าที่ดินกว่า 1 ไร่ เพราะเราศึกษามาแล้วว่าบริเวณนี้มีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตสูง โดยส่วนใหญ่จะเน้นกลุ่มไฮเอนด์หรือพรีเมียมไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานและโรงแรมระดับ 5 ดาว เราจึงเน้นตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างอย่างน้องๆ โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ที่บ้านอยู่ไกลมักจะมองหาที่พักเพื่อความรวดเร็วในการเดินทางช่วงใกล้สอบ หรือกลุ่มคนที่เข้าใช้บริการโรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH Hospital) เพราะโลเกชั่นของโรงแรมจะอยู่ตรงข้าม กับทั้งสองแห่งเลยครับทำให้เดินทางสะดวกสบายและเน้นการให้บริการระดับเดียวกับโรงแรม


“อีกแห่งเราตั้งเป้าว่า จะสร้างเป็น  “Destination Resort” ของพัทยาครับ ผมอยากให้คนรู้สึกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเดินทางมาพักผ่อนที่พัทยา เขาต้องอยากมาพักที่รีสอร์ตของเรา โดยเราจะสร้างเป็น รีสอร์ตระดับ 5 ดาว ขนาด 206 ห้อง ไม่มีอาคารสูงบดบังทัศนียภาพที่งดงาม และใช้งบในการลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท ไม่รวมมูลค่าที่ดิน 37 ไร่ โดยจุดเด่นของเราจะอยู่ที่ Master Plan ซึ่งแตกต่างจากโรงแรม ส่วนใหญ่เพราะเราเน้นที่ “คุณค่า” และความเคารพในสถานที่ที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวความเป็นมาเราอนุรักษ์ เรือนไม้สองหลังที่มีอายุกว่า 50 ปี รวมถึงความร่มรื่นของต้นไม้หลายต้นที่มีอายุกว่า 80 ปีแล้ว”


“ชินทัต” มองว่าหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในแบบของเจียอาภา เริ่มต้นจากการมี “ต้นทุน” ที่ดี ในที่นี้หมายรวมถึง “โลเกชั่น” ที่สมบูรณ์พร้อม บวกกับหลักการทำธุรกิจในแบบของคุณณฤทธิ์ที่เน้นการเติบโตเพื่อความยั่งยืน (Corporate Sustainability)


“ในทุกโปรเจ็กต์ที่เราลงทุนจะไม่ได้เน้นการตัดสินใจแบบรวดเร็วหรือเน้นความเสี่ยงครับเพราะคุณพ่อ สอนเสมอเรื่องหลักการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน รวมถึงเรายังคงยึดหลักการทำงานแบบConservative บนพื้นฐานของการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบ


“ส่วนโปรเจ็กต์แรกที่เราจะเปิดตัวภายในควอเตอร์สองของปีนี้คือ ‘Chee Chan Golf Resort’สนามกอล์ฟขนาด 550 ไร่ บนที่ดินที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของพัทยาโปรเจ็กต์นี้ใช้งบลงทุนประมาณ 950 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ของคุณพ่อ เพราะท่านเป็นคนรักการเล่นกอล์ฟมากคนหนึ่งครับเรานำประสบการณ์และความประทับใจของท่านมาพัฒนาต่อยอดเป็นแนวคิดในการสร้างสนามกอล์ฟในแบบที่คนรักกอล์ฟน่าจะชื่นชอบ เพื่อมอบประสบการณ์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟด้านการให้บริการและวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในพัทยาอย่างการออกรอบพร้อมกับชื่นชมความสวยงามของเขาชีจรรย์ต้นหญ้าสีเขียวสดในทุกมุมมอง ทั้งยังใช้เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานเข้ามาใช้ในการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และเพื่อความสุขของคนเล่นกอล์ฟ ด้วยครับ


“ส่วนโปรเจ็กต์โรงแรมทั้งสองแห่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทำ Master Plan ครับ ปัจจุบันแล้วเสร็จไปกว่า 90% ภายในระยะเวลา 8 เดือน ส่วนตัวผมค่อนข้างพิถีพิถันและให้เวลากับขั้นตอนนี้อย่างมากครับ เพราะผมอยากให้เราใช้เวลาในการคิดงานอย่างละเอียดรอบคอบมากที่สุด แต่เมื่อไหร่ที่ Master Planเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผมจะควบคุมให้กรอบการทำงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งคาดการณ์ว่า โปรเจ็กต์โรงแรมทั้งสองแห่งจะใช้เวลาในการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในสามปีครึ่ง”


นอกจากความสำเร็จของ “ชาร์เตอร์ สแควร์” จะเป็นบทพิสูจน์ความสามารถของนักธุรกิจหนุ่มมากฝีมือคนนี้ ผู้หญิงเก่งที่อยู่เคียงข้างในทุกโปรเจ็กต์อย่าง ธนัญชกร เจียอาภา ภรรยาสาวเวิร์คกิ้ง วูแมนและคุณแม่รุ่นใหม่ ยังเป็นกำลังใจสำคัญและผู้ช่วยมือหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถก้าวเดินได้อย่างมั่นคง


“ไทน์จะคอยเก็บรายละเอียดของข้อมูลให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของเขาให้ดีที่สุดค่ะ บางครั้งเราอาจมองเห็นในมุมที่คุณนิค (ชินทัต) มองไม่เห็น หรือช่วยดูแลในบางมุม ที่เรามีความถนัดมากกว่า อย่างตอนที่ทำโปรเจ็กต์ LEED เราต้องลงทุนลงแรงอย่างมาก เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้เช่าอาคารและเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ตั้งแต่การนำเทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศ และเปลี่ยนลิฟต์ใหม่หมดเพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงาน รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพน้ำก่อนปล่อยออกจากอาคาร


การคัดแยกขยะแต่ละประเภทให้เหมาะสม และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในอาคาร สำคัญที่สุดเราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้เช่าอาคารและทีมงานทุกคน เพราะเราอยากดูแลผู้เช่าให้ดีที่สุด


“นอกจากนี้ เรายังนำแนวคิดเรื่องการประหยัดพลังงาน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่ได้จากการทำโปรเจ็กต์ LEED มาใช้ในการออกแบบสนามกอล์ฟและโรงแรมทั้งสองแห่งรวมถึงการเลือกวัสดุในทุกขั้นตอนที่ช่วยในการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


“เพราะเราเน้นธุรกิจเพื่อความยั่งยืนขององค์กรและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญค่ะ”