“การบินไทย” ชวนลัดฟ้าสู่ “อินเดีย” สัมผัสมนต์เสน่ห์ ดินแดนอารยธรรม และประวัติศาสตร์อันยาวนาน เติมความสุข สุดอัศจรรย์


เมื่อกล่าวถึง ประเทศที่โดดเด่นด้วยอารยะธรรมและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีในทวีปเอเชียทุกคนต่างนึกถึง “อินเดีย” หรือ ที่เราเรียกขานว่าเป็นดินแดนภารตะ ซึ่งอินเดียถือเป็นแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่และมีเสน่ห์มนต์ขลังแห่งหนึ่งของโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแลนด์มาร์คสุดฮิตอย่าง ทัชมาฮาล สัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์ ที่ถูกนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก นอกจากนี้ อินเดียยังมีประติมากรรมสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่อีกหลากหลาย ทั้งในเมืองมุมไบและออรังกาบัด ที่กำลังเป็นที่นิยมและหลายคนใฝ่ฝันอยากไปสัมผัส รวมถึงทัศนียภาพที่งดงามอย่างเทือกเขาหิมาลัย หนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยว ที่หากไปเที่ยวอินเดียแล้วต้องไปเยือนที่นี่สักครั้ง


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “การบินไทย” ได้ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยรู้สึกได้ว่า การไปประเทศอินเดีย “ใกล้นิดเดียว” และสะดวกสบาย ง่ายกว่าที่คิด โดยให้บริการบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่ประเทศอินเดีย แลนดิ้งที่เมืองท่องเที่ยวได้หลายเมือง ได้แก่ กัลกัตตา, เชนไน, เดลี, มุมไบ, เบงกาลูรู, พาราณสี, พุทธคยา, ไฮเดอราบัด ด้วยราคาบัตรโดยสารไป – กลับ เริ่มต้นเพียง 8,375/ท่าน ใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น กับการมอบโอกาสให้หัวใจได้สัมผัสความสุข สุดอัศจรรย์ ในดินแดนภาระตะที่มีมนต์ขลัง และพร้อมจะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมเพียงคลิก https://bit.ly/2HsfiZ0


ประเทศอินเดีย (India) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (Republic of India) มีประชากร 1.13 พันล้านคน (มากเป็นอันดับ 2 ของโลก) มีพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก) ใหญ่กว่าประเทศไทย 6 เท่า หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีเมืองหลวง คือ เดลี อยู่ในรัฐหรยาณา เป็นประเทศสำคัญในภูมิภาคเอเชียที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 5,000 ปี ที่สำคัญ อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่เก่าแก่ และเจริญรุ่งเรืองมาแต่ครั้งโบราณกาล


ชื่อประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาล เรียกกันว่า “ชมพูทวีป” แปลว่า “ทวีปแห่งไม้หว้า” เพราะมีต้นหว้าขึ้นมากในดินแดนแห่งนี้ ส่วนคำว่า “อินเดีย” เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเรียกแม่น้ำสินธุว่า “ฮินดู” เนื่องจากชาวเปอร์เซียรู้จักอินเดีย โดยเข้ามาทางลุ่มน้ำนี้เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว ต่อมา เมื่อชาวกรีกเริ่มเข้ามาได้ออกเสียงคำว่าฮินดูได้เพี้ยนไปเป็น “อินโดส” และเพี้ยนไปเป็น “อินดุส”และ “อินเดีย” ตามลำดับ แต่สำหรับชาวอินเดียแล้ว นิยมเรียกประเทศตนเองว่า “ภารตะ” หรือ “ภารตวรรษ” ซึ่งแปลว่า “ประเทศภารตะ” และเรียกตนเองว่าเป็น “ ชาวภารตะ” ทั้งนี้สืบเนื่องจากความเชื่อที่ว่า ชาวอินเดียสืบเชื้อสายมาจากท้าวภรต (อ่านว่า พะ-รต) ซึ่งเป็นต้นวงศ์ของเรื่องราวในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดียคือ “มหาภารตยุทธ์” ซึ่งมีชื่อเสียงคู่กันกับ “มหากาพย์รามายณะ” หรือที่คนไทยเรารู้จักกันดีในชื่อ “รามเกียรติ์”


เสิร์ชเอ็นจิ้นหลายสำนัก ได้กล่าวถึง 10 เมืองดังในภาคเหนือและใต้ ชมธรรมชาติสวยงาม สักการะศาสนสถานอันยิ่งใหญ่ และสถานที่ท่องเที่ยวอินเดียเด็ดๆ ที่ “ต้องเที่ยว” สำหรับนักเดินทางที่อยากปักหมุดไปเที่ยว ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวอินเดีย สุดฮิต ที่รับประกันความประทับใจ ไว้ดังนี้


อินเดียเหนือ


1. เมืองเลห์-ลาดักฮ์ (Leh-Ladakh)
เมืองในหุบเขาฉายา “ทิเบตน้อย” แห่งดินแดนชมพูทวีป นับเป็นเมืองที่อยู่สูงที่สุด เพราะตั้งอยู่บนเขา ในช่วงฤดูหนาวราวเดือนมกราคม-ปลายเดือนกุมภาพันธ์จะมีหิมะตก ในเมืองดาลักฮ์นี้ มีวัดพุทธนิกายมหายานตั้งอยู่ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น พระราชวังเก่า สต็อคพาเลซ (Stok Palace) วัดเฮมิส-วัดลามะนิกายหมวกแดง (Hemis Gompa) วัดธิคเซย์-วัดลามะนิกายหมวกเหลือง (Thiksey Gompa) ทะเลสาบพันกอง (Pangong Lake) ทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลก และนูบร้าวัลเลย์ (Nubra Valley) หุบเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์และเป็นแหล่งปลูกแอพริคอตเลื่องชื่อ ช่วงน่าเที่ยว คือ เดือนมกราคม-ปลายเดือนกุมภาพันธ์


2. เมืองเอกร้าหรืออัครา (Agra)
เมืองแห่งตำนานความรักนิรันดร์ของกษัตริย์ชาห์จาฮันและพระมเหสีมุมทัช มาฮาล เมืองที่ตั้งของปราสาทหินอ่อนอันสวยงามและเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก “ทัชมาฮาล” (Taj Mahal) ในยุคศตวรรษที่ 16 เมืองนี้ถือเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมากที่สุดเมืองหนึ่ง สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจนอกจากทัชมาฮาลแล้วก็ยังมี ป้อมโบราณมรดกโลก ป้อมอัครา (Agra Fort) และเขตพระราชฐานฟาร์เตปูร์สิคริ (Fatehpur Sikri) และอนุสรณ์สถานอิตมัด-อุด-โดละห์ อักราเป็นอดีตเมืองหลวงของอินเดีย และเป็น
หนี่งในเมืองที่มีคนมาเที่ยวมากที่สุด ตลอดปี


3. เมืองชัยปุระ (Jaipur)
ราชธานีที่เคยรุ่งเรืองในแถบตะวันออก เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องผังเมืองที่สวยงาม จุดเด่นของเมืองนี้ คือ อาคารบ้านเรือนที่เป็นสีชมพู นอกจากนั้นเมืองนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องงานศิลปหัตถกรรมต่างๆ เช่น เครื่องประดับ ผ้าทอ และสินค้าแกะสลัก เป็นต้น มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น หอดูดาว (Jantar Mantar) ป้อมปราการ-พระราชวังแอมเบอร์ (Amber Fort) พระราชวังสายลม (Palace of the Wind-Hawa Mahal) วงเวียนบาดี โชปาร์ (Badi Chaupar) วงเวียนโชติ โชปาร์ (Choti Chaupar) พระตำหนักมูบารัก มาฮาล (Mumarak Mahal) จุดชมวิวสวาร์กาสูลี (Swargasuli) วัดลักษมีนารายัน (Laxmi Narayan) และอนุสรณ์สถานมหาราชาแห่งชัยปุระ (Royal Gaiotor) เป็นต้น ช่วงน่าเที่ยว คือ เดือนตุลาคม-เดือนมีนาคม


4. เมืองเดลี (Delhi)
เมืองท่องเที่ยวสำคัญและเมืองหลวงเก่าแก่ที่มีความเป็นมานานกว่าห้าพันปี ก่อนคริสตกาล เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น ซากมัสยิดโบราณเฟอรอซอาบัด (Ferozabad) อาคารสถาปัตยกรรมโบราณ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1325 (พ.ศ.1868) เพื่อเป็นที่ฝังศพของนักบุญในอดีต (Sheikh Nizamuddin Aulia) ป้อมตุกกะลาบัด (Tughluqabad) ป้อมแดง (The Red Fort) ที่เคยเป็นเขตวังเก่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุสานกษัตริย์โบราณหุมายุน (Humayun’s Tomb) และมัสยิดจามา (Jama Masjid) ช่วงน่าเที่ยว คือ เดือนพฤศจิกายน-เดือนมีนาคม

อินเดียใต้


5. เมืองบังกาลอร์ (Bangalore)
เมืองแห่งเทคโนโลยี การศึกษา และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 5 ของอินเดีย ถึงแม้จะมีความเจริญมาก และมีประชากรหนาแน่น แต่เมืองนี้ก็เป็นเมืองสีเขียวจนได้ชื่อว่าเป็น “การ์เด้น ซิตี้” (Garden City) บังกาลอร์มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น สวนพฤกษศาตร์ลา โบก์ฮ (Lal Baugh) ที่ทำการของสภานิติบัญญัติ (Vidhana Soudha) อาคารสถาปัตยกรรมนีโอดาวีเดียน (Neo Dravidian) อันสวยงาม พระราชวังบังกาลอร์ (Bangalore Palace) สวนคับบอน (Cubbon Park) วัดวัว (Bull Temple) ป้อมปราการของสุลต่านทิปู (The Fort and Tipu Sultan’s Palace) และหอดูดาวจาวาฮาลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru Planetarium) ช่วงน่าเที่ยว คือ เดือนตุลาคม-เดือนกุมภาพันธ์


6. เมืองไฮเดอราบาด (Hyderabad)
เมืองที่มีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรม อาหารอร่อย และท่องเที่ยวประหยัด นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งจำหน่ายไข่มุกที่มีชื่อเสียงอีกด้วย แต่เดิมเป็นเขตรัฐอิสระปกครองตนเอง (ภายใต้การดูแลของประเทศอังกฤษ) ในยุคสมัยอาณานิคม จึงทำให้เมืองนี้มีตึกรามบ้านช่อง และสถาปัตยกรรมแบบยุโรปหลายแห่ง เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ ทะเลสาบฮุสเซน ซาการ์ (Hussain Sagar Lake) เมืองภาพยนตร์ราโมจิ (Ramoji) ป้อมโกลคอนดา (Golconda Fort) ประตูชัยชาร์มินา (Charminar) ช่วงน่าเที่ยว คือ เดือนกันยายน-เดือนกุมภาพันธ์


7. เมืองเชนไน (Chennai)
เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 4 ของประเทศ เป็นเมืองอุตสาหกรรมภาพยนตร์อันดับ 2 รองจากมุมไบ เป็นเมืองเก่าที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังเป็นถิ่นกำเนิดนาฏศิลป์อินเดีย แหล่งประติมากรรม จิตรกรรมและงานศิลปะชั้นเลิศของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น วัดเจ้าแม่ลักษมีกาปาลีชวา (Kapaleeshwar Temple) โบสถ์เซนต์โธมัส (The Santhome Cathedral Basilica Church) โบสถ์ที่เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังศพของสาวกของพระเยซูที่มีอยู่เพียงแค่ 3 แห่งในโลกเท่านั้น อีก 2 แห่ง คือ ในประเทศสเปน และประเทศอิตาลี แหล่งผ้าทอกัญจีปุรัม (Kanchipuram) เทวาลัยไกรลาสนาถ ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา อายุกว่า 1,200 ปี และวัดวรทะราชาเปรุมาล (Varadaraja Perumal Temple) วัดโบราณ ช่วงเวลาน่าเที่ยว คือ เดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์


8. เมืองมุมไบ (Mumbai)
แต่เดิมนั้นชื่อเมืองบอมเบย์ (Bombay) แต่ได้เปลี่ยนมาเป็นมุมไบเมื่อปี ค.ศ. 1995 เป็นแหล่งผลิตภาพยนตร์ชั้นนำ “บอลลีวู้ด” (Bollywood) เป็นเมืองท่า เมืองคมนาคม และเมืองการค้าสำคัญที่ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองเศรษฐกิจของโลก ทำให้เป็นที่ตั้งของสถาบันการเงินที่สำคัญของประเทศ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะเจฮานัวร์ (Jehanoir Art Gallery) พิพิธภัณฑ์ปรินซ์ออฟเวลส์ (Prince of Wales Museum) ถนนเลียบชายหาด (Marine Drive) ถ้ำเทวสถานโบราณ (Elephanta Caves) อาคารเก่ามรดกโลก สถานีรถไฟวิคตอเรีย (Victoria Terminus) อาคารที่ทำการรัฐสภา และแลนด์มารค์สำคัญของเมือง ประตูสู่อินเดีย (Gateway of India) นอกจากนี้ ไม่ควรพลาดสักการะพระพิฆเนศวร์ ณ วัดสิทธิวินายัค (Siddhivinayak) ที่ถือว่าเป็นองค์หนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของอินเดีย กับคนที่นับถือพระพิฆเนศวร์ และไม่เคยมาที่เทวาลัยอย่างนี้ ต้องขวนขวายมาให้ได้


9. เมืองออรังกาบัด (Aurangabad)
เป็นเหมือนเมืองแพ็กคู่สุดฮิต หากเที่ยวมุมไบต้องไปเที่ยวกันต่อที่ออรังกาบัด เพราะเต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรพลาดเช่นเดียวกัน อย่างหมู่ถ้ำเอลโลร่า (Ellora Caves) ถ้ำสำคัญของศาสนาฮินดูที่น่าตื่นตาตื่นใจ และหมู่ถ้ำอชันต้า (Ajanta Caves) เป็นหมู่ถ้ำที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับพุทธศาสนิกชน เพราะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา สถาปัตยกรรมต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์ให้คงสภาพดี ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป สถานที่ สภาพแวดล้อมต่างๆ เห็นถึงความสวยงาม และการลงรายละเอียด นับเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่พุทธศาสนิกชนคนไทยไม่ควรพลาด และถึงแม้ไม่ได้เป็นชาวพุทธก็เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าชมอย่างยิ่ง


10.เมืองลัคเนาว์ (Lucknow)
เป็นเมืองหลวงของรัฐอัททาปราเดช ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ พร้อมอยากสัมผัสศิลปะและสถาปัตยกรรม ตลอดจนวิถีชีวิตของชาวมุสลิม อาทิ บาราอิมามบารา (Bara Imambara) หรืออัครมัสยิด ศาสนสถานของชาวมุสลิมที่สร้างด้วยศิลปะผสมผสานระหว่างฮินดูกับมุสลิมที่มีชื่อเสียง บนชั้นสองมีเขาวงกตที่มีเอกลักษณ์ ขณะที่ทางเข้าเมืองเก่ายังมีประตู รูมิ ดะร์วาซา (Rumi Darwaza) หรือ “ประตูเตอร์กิซ” ประตูเมืองที่ยิ่งใหญ่สง่างาม เป็นสถาปัตยกรรมในแบบ Classic Awadhi นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น หมู่บ้านชาวอังกฤษ Chota Imambara และ Chattar Manzil การคมนาคมในเมืองลัคเนาว์มีทั้งรถโดยสาร แท็กซี่ สามล้อเครื่อง และรถม้าลากที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองอย่าง แทงกา (Tanga) ควรทราบว่า ในฤดูร้อน เมืองนี้จะมีอากาศร้อนอบอ้าวมาก ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทาง คือ เดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์


เล่ามาถึงตรงนี้ สำหรับใครที่สนใจบินไปพักผ่อนท่องเที่ยวในดินแดนที่มีมนต์ขลัง ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปสัมผัส “อินเดีย” วันนี้สามารถบินง่ายสะดวกสบายกว่าที่คิด ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น “การบินไทย” พร้อมให้บริการทุกวัน นำแลนดิ้งสู่เมือง กัลกัตตา, เชนไน, เดลี, มุมไบ, เบงกาลูรู, พาราณสี, พุทธคยา, ไฮเดอราบัด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมสำรองที่นั่ง และออกบัตรโดยสารได้เพียงคลิกhttps://bit.ly/2HsfiZ0


เกี่ยวกับประเทศอินเดีย


ประเทศอินเดีย (India) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย ( Republic of India ) มีประชากร 1.13 พันล้านคน (มากเป็นอันดับ 2 ของโลก) มีพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก) ซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทย 6 เท่า หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศสหรัฐอเมริกา  เมืองหลวงของประเทศอินเดีย คือ เมืองเดลี อยู่ในรัฐหรยาณา และในแต่ละรัฐจะมีเมืองหลวงของรัฐนั้นๆ ด้วย เป็นประเทศสำคัญในภูมิภาคเอเชีย ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 5,000 ปี ที่สำคัญอินเดียเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่เก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมาแต่ ครั้งโบราณกาล


ชื่อประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาล เรียกกันว่า “ ชมพูทวีป ” ซึ่งแปลว่า “ ทวีปแห่งไม้หว้า ” เพราะมีต้นหว้าขึ้นมากในดินแดนแห่งนี้ ส่วนคำว่า “อินเดีย” เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเรียกแม่น้ำสินธุ ว่า “ ฮินดู ” เนื่องจาก ชาวเปอร์เซียรู้จักอินเดีย โดยเข้ามาทางลุ่มน้ำนี้เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว  ต่อมาเมื่อชาวกรีกเริ่มเข้ามาได้ออกเสียงคำว่า ฮินดูเพี้ยนไปเป็น “อินโดส” และเพี้ยนออกไปเป็น “อินดุส” และ “อินเดีย” ตามลำดับ


แต่สำหรับชาวอินเดียแล้ว นิยมเรียกประเทศตนเองว่า “ภารตะ” หรือ “ภารตวรรษ” ซึ่งแปลว่า “ ประเทศภารตะ ” และเรียกตนเองว่าเป็น “ชาวภารตะ” ทั้งนี้สืบเนื่องจากความเชื่อที่ว่า ชาวอินเดียสืบเชื้อสายมาจากท้าวภรต (อ่านว่า พะ-รต)  ซึ่งเป็นต้นวงศ์ของเรื่องราวในมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดีย คือ  “มหาภารตยุทธ์” ซึ่งมีชื่อเสียงคู่กันกับ “มหากาพย์รามายณะ” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “รามเกียรติ์”


เมื่อกล่าวถึงอินเดีย มิใช่เฉพาะประเทศในซีกโลกตะวันออกเท่านั้นที่รู้จักโดยทั่วกัน แม้แต่ประเทศในซีกโลกตะวันตก ต่างก็รู้จักดินแดนแห่งนี้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (356-323 B.C.) แห่งมาซิโดเนีย ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เคยยาตราทัพมายังดินแดนแถบนี้ โดยมุ่งหมายจะยึดครองอินเดียให้จงได้ ตามข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดี ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ภาคเหนือของอินเดียได้เคยมีการติดต่อกับอารยธรรมเมโสโปเตเมียในลุ่มแม่น้ำไท กริสและยูเฟรติสมาก่อนแล้ว


สภาพภูมิอากาศ : อินเดีย มีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างมากเนื่องจากมีพื้นที่กว้างใหญ่ ตอนเหนืออยู่ในเขตหนาว ขณะที่ตอนใต้อยู่ในเขตร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยในที่ราบช่วงฤดูร้อน ประมาณ 35 องศาเซลเซียส และฤดูหนาว ประมาณ 10 องศาเซลเซียส อินเดียมี 3 ฤดูกาลได้แก่


ฤดูร้อน ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 35 องศาเซลเซียส


ฤดูฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 28 องศาเซลเซียส


ฤดูหนาว ระหว่างเดือนตุลาคม-มีนาคม อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 10-17 องศาเซลเซียส โดยอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ – 3 องศาเซลเซียส เฉพาะบางเมืองเท่านั้น


เวลา : เวลาในประเทศอินเดียช้ากว่าในประเทศไทย 1.30 ชั่วโมง แต่การทำกิจกรรมและบริหารเวลาจะต่างกันมาก โดยทั่วไปชาวอินเดียส่วนใหญ่จะเริ่มงานและรับประทานอาหารเช้าเวลา 10:00 น. และพักเที่ยงตอน 14:00 น.หรือ 15.00 น. และรับประทานอาหารเย็นตอน 20:00 น.


ภาษา : ภาษาฮินดีเป็นภาษาที่ใช้โดยประชาชนส่วนใหญ่ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในวงราชการและธุรกิจ นอกจากนั้น ยังมีภาษาท้องถิ่นอีกนับร้อยภาษา


เงินตรา : รูปีอินเดีย (INR) หน่วยย่อยของรูปีเรียก เปซ่า (Paise) อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 64.9150 รูปีอินเดีย และ 1 รูปี เท่ากับ 0.48 บาท (เมษายน 2561) บัตรเครดิตที่สามารถใช้ได้ทั่วไปคือบัตร Visa American Express และ Mastercard


สิ่งที่ต้องเตรียม เมื่อไปอินเดีย


เสื้อผ้า ช่วงเดือนธันวาคม อากาศในประเทศอินเดียจะหนาวมาก ดังนั้น เครื่องกันหนาวจึงควรเตรียมไปให้พอเพียง ขอแนะนำให้เตรียมหมวกกันหนาวไปด้วยในกรณีที่นั่งในรถแล้วแอร์จะเป่าลงมาที่ศีรษะ เนื่องจากอินเดียใช้รถโดยสารที่ผลิตในประเทศ ดังนั้น จึงไม่รับประกันในเรื่องการปรับระบบความเย็นภายในรถ อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในเดือนธันวาคม ประมาณ 5 – 20 องศาเซลเซียส


รองเท้า : ควรเป็นรองเท้าเดินที่ใส่สบาย เนื่องจากในแต่ละสถานที่มีความกว้างขวางใหญ่โต และต้องใช้การเดินชมเป็นส่วนใหญ่ จึงควรเลือกรองเท้าที่เดินสบาย และควรเตรียมถุงเท้าไปด้วย
เงิน : ควรแลกเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐไปแล้วจึงไปแลกเป็นเงินรูปีอินเดียที่ โรงแรมที่พัก เนื่องจากในประเทศอินเดียห้ามนำเงินรูปีออกนอกประเทศ ควรแลกเงินเป็นธนบัตรใบละ 100 และ 50 ดอลลาร์ไป เนื่องจากจะแลกเงินรูปีได้ราคาดีกว่า ธนบัตรใบละ 10 และ 20 ดอลล่าร์


ระบบไฟฟ้า ประเทศอินเดียใช้ไฟ 220 แต่ปลั๊กไฟจะเป็นแบบรูกลม 3 ขา ซึ่งอาจลำบากกับผู้เดินทางบ้างในกรณีที่ต้องชาร์จแบตเตอรรี่ แต่สามารถขอสะพานสายต่อได้ที่โรงแรมที่พัก