WICE เผยผลประกอบการไตรมาสแรก รายได้ 330.36 ล้านบาท โต 17.19% กำไรสุทธิชะลอตัวเล็กน้อย จากผลกระทบค่าเงินบาท และค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการ มั่นใจธุรกิจยังมีแนวโน้มที่ดี ทั้งปีรายได้ทำนิวไฮ 1,800 ล้านบาท เดินหน้าขยายงานต่อเนื่อง พร้อมคุมความเสี่ยงค่าเงิน Q2 เห็นแววคึกคักงานโลจิสติกส์เริ่มไฮซีซั่น เจรจาลูกค้าใหม่ 2-3 ราย รับบริหารจัดการคลังสินค้า ล่าสุดเตรียมปิดดีลรับงานบริหารจัดการคลังสินค้าผู้ผลิตกระจกรายใหญ่ คาดชัดเจนกลางปี 61
นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (WICE ) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/60 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 387.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 330.36 ล้านบาท จำนวน 56.82 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.19% และมีกำไรสุทธิ 18.61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.18 ล้านบาท จำนวน 5.56 ล้านบาท หรือลดลง 23.02%
ทั้งนี้ สาเหตุที่ผลประกอบการของบริษัทชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำไว้เป็นสกุลดอลลาร์ จำนวน 3.31 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทมีค่าใช้จ่ายงวดสุดท้ายจำนวน 1.28 ล้านบาท ที่ใช้เพื่อการศึกษาในกรณีเข้าซื้อ Universal Worldwide Transportation Limited (UWT) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อมั่นว่าการชะลอตัวของผลประกอบการดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการเติบโต โดยรายได้รวมปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% หรืออยู่ที่ประมาณ1,800 ล้านบาท สร้างสถิติการเติบโตสูงสุดต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยสนับสนุนมาจากกลยุทธ์ขยายธุรกิจแบบ Organic จากการเพิ่มปริมาณงานบริการทุกประเภท และการเติบโตแบบ Inorganic ด้วยการต่อยอดธุรกิจร่วมกันระหว่าง WICE , SEL และ UWT มุ่งเน้นการขยายปริมาณงานในประเทศจีนและฮ่องกง อีกทั้งบริษัทจะให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงค่าเงินมากขึ้น เพื่อรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสม
สำหรับแนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 2/61 มีการขยายตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการนำเข้าและส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆมีปริมาณงานเพิ่มมากขึ้น และเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นซึ่งจะยาวต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นและธุรกิจโลจิสติกส์มีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นตาม
นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการลงทุนเพื่อขยายภาคการผลิตเดิม การย้ายฐานการผลิต และการลงทุนด้านอีคอมเมิร์ซ ที่เข้าสู่ประเทศในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนด้วยเช่นกัน ปัจจัยเชิงบวกดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณงานของบริษัทเติบโตทุกช่องทาง
ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในแหลมฉบังใช้พื้นที่ไปแล้วกว่า 70-80% ของพื้นที่รวม 1.3 หมื่นตารางเมตร และมีลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีการเจรจากับลูกค้าใหม่เพิ่ม 2-3 ราย เพื่อรับงานบริหารจัดการแบบ Onsite service และงานรับหาพื้นที่คลังสินค้าให้ลูกค้า ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นตาม โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงในสัญญาจากงานบริหารจัดการคลังสินค้าให้ผู้ผลิตโรงงานกระจกรายใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในช่วงกลางปี 61
ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ในสิงคโปร์ จีนและฮ่องกง บริษัทมีการขยายบริการขนส่งทางอากาศ ( Air Freight ) โดยใช้เครือข่ายการทำงานของ SEL กับฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการเพิ่มปริมาณงานบริการและ เจรจาลูกค้ารายใหม่ร่วมกับ UWT ในจีนและฮ่องกง ด้วยเช่นกัน
Related