“STOREHUB บุกไทยขยายตลาด POS หวังติดปีก SMEs และ Startup ในไทย สู่การเป็น New Retail 4.0”

ในยุคที่การสื่อสารต้องรวดเร็วและเรียลไทม์ ระบบจัดการหน้าร้านและหลังร้านถือเป็นสิ่งสำคัญ บริษัท สโตร์ฮับ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเทคโนโลยีและให้บริการระบบการจัดการสต็อกสินค้า หรือระบบ POS บน iPad มุ่งสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs พร้อมขยายตลาดสู่ประเทศไทยแบบเต็มกำลังภายในสิ้นปีนี้ หลังจากได้ทุนสนับสนุนมูลค่า 5.1 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก Vertex Ventures ในการระดมทุนรอบ Series A แนะผู้ประกอบการยุคใหม่ต้องเริ่มปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง มั่นใจธุรกิจ SMEs ในประเทศไทยเติบโตแน่นอน

นาย ไว ฮง ฟง ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า StoreHub ระบบบริหารจัดการการขายปลีกบนคลาวด์ ประกอบด้วย ระบบบริหารจุดขายบนไอแพด (POS) ระบบบริหารสินค้าคงคลังอัจฉริยะ CRM ระบบวิเคราะห์ธุรกิจ และการบริหารลูกค้า ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ในประเทศมาเลเซีย และมีสำนักงานตั้งอยู่ในภูมิภาค 4 แห่ง ดูแลลูกค้าในกว่า 15 ประเทศ อาทิ กัวลาลัมเปอร์ มนิลา เซี่ยงไฮ้ กรุงเทพฯ เป็นต้น โดยอุปกรณ์ iPad เป็นการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น อีกทั้งเป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัย มี UI (User Interface) ที่สวยงาม ใช้งานง่าย และประหยัด ทำให้ StoreHub เติบโตและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่า 3,700 ร้าน ใน 15 ประเทศ ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นยอดการขายปลีกรวมได้มูลค่า 270 ล้านเหรียญสหรัฐในเวลาเพียง 12 เดือน

สำหรับในปี 2561 บริษัทเตรียมทุ่มเงินลงทุน ในการขยายตลาดหลักในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพในการเติบโต ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีเอกลักษณ์และการมีสีสันของธุรกิจ SMEs นอกจากจะมีธุรกิจ SMEs แบบทั่วไปแล้ว ยังมีธุรกิจบนโลกโซเชียล (Social Commerce)อีกมากมาย ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดค้าปลีกเป็นอย่างมาก สำหรับตลาดขายปลีกในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 1.1 ล้านร้านค้า เพราะฉะนั้นธุรกิจค้าปลีกแบบเดิมๆ จึงต้องพยายามอย่างหนักในการปรับตัวเพื่อให้ก้าวได้เร็วขึ้นกว่าคู่แข่ง ทั้งในเรื่องของยอดขายและกำไรสุทธิ StoreHub จึงนับเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับเหล่าผู้ประกอบการ SMEs และ Startup ยุคใหม่ ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง อาทิ ร้านขายปลีก ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของชำ ร้านกาแฟ รวมไปถึงร้านสปา ซาลอน เป็นต้น โดยตั้งเป้ายอดใช้บริการ Storehub เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 ร้านค้า ภายในปี 2561 นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายเปิดรับพนักงานมากขึ้น และคาดว่าจะมีทีมงานใหญ่ขึ้นถึง 3 เท่า รวมถึงมุ่งหาพันธมิตรทางธุรกิจ กับร้านค้าปลีก สถาบันไฟแนนซ์ และธุรกิจ FMCG เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในประเทศไทย พร้อมมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ อีคอมเมิร์ซ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจขนาดเล็กกับการก้าวสู่การค้าออนไลน์ได้อย่างสะดวกสบายแม้ว่าเจ้าของธุรกิจจะไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี โดยผลิตภัณฑ์นี้คาดว่าจะออกสู่ตลาดภายในปีนี้

นาย ไว ฮง ฟง ยังกล่าวอีกว่า เราเชื่อในการช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ และเพิ่มประสิทธิภาพของ SMEs ที่มี หน้าร้าน โดยเฉพาะในยุคที่อีคอมเมิร์ซกำลังมาแรง และมีสินค้าราคาถูกจากจีนเป็นคู่แข่ง เน้นเรื่องการสร้างระบบเพื่อร้านค้า สำหรับธุรกิจร้านค้าที่ใช้บริการ StoreHub มีทั้งหมด 3 ประเภท แบ่งเป็นสัดส่วนได้ ดังนี้ ค้าปลีก 75% อาหารและเครื่องดื่ม 20% บริการ 5% และสำหรับการใช้งาน StoreHub ยังมีฟังก์ชั่้นการใช้งานที่หลากหลายบนแอพพลิเคชั่นของ StoreHub ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ

1. แอพพลิเคชั่น เครื่องมือสำหรับพนักงานรับออเดอร์ พิมพ์ใบเสร็จ และเก็บเงิน ออกแบบมาเพื่อความเรียบง่ายและใช้งานสะดวก เหมาะสำหรับร้านค้า เนื่องจากธุรกิจลักษณะนี้มักเปลี่ยนพนักงานบ่อยและอาจต้องใช้พนักงานชั่วคราวในบางครั้ง การมีระบบที่ใช้ง่ายถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก

2. ระบบจัดการที่อยู่บนคลาวด์ ใช้เพื่อรายงานและบริหารสินค้า สามารถเข้าสู่ข้อมูลได้จากทุกที่ในโลกเพียงใช้อินเตอร์เน็ต เจ้าของธุรกิจสามารถดูข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจธุรกิจได้ เช่น สินค้าแบบไหนขายดีที่สุด เพื่อให้สามารถบริหารกิจการได้ง่าย ๆ ทุกที่ ทุกเวลา

นอกจากนี้ StoreHub ยังทำการพัฒนาบริการเรื่องอีคอมเมิร์ซ ที่ช่วยให้ร้านค้าออฟไลน์ สามารถขยายสู่ออนไลน์ได้ง่ายขึ้น แม้ว่าเจ้าของธุรกิจจะไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยสนับสนุน SMEs และช่วยให้ธุรกิจก้าวหน้าในอนาคต รวมถึง StoreHub ยังเน้นเรื่องบริการหลังการขายให้กับลูกค้า โดยทีมงานประจำในประเทศซึ้งพร้อมทำงานกับลูกค้าและบริการในทุกเมื่อ

สำหรับในยุคที่ที่ทุกการติดต่อสื่อสาร การตัดสินใจ ต้องรวดเร็ว ฉับไว และเรียลไทม์ ผู้ประกอบการ SMEs ค้าปลีก, Startup ในประเทศไทยไทย ควรมีการปรับตัวเข้าสู่การตลาดในยุค Thailand 4.0 ซึ่งต้องอาศัยการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานแบบเดิม ๆ อาจจะไม่เหมาะสมอีกต่อไป การติดตามข้อมูล วิเคราะห์ และตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลจะช่วยให้ได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งจุดนี้การลงทุนในคลาวด์เป็นสิ่งสำคัญ การเก็บข้อมูลไว้ในคลาวด์ช่วยให้เก็บข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และรายงานผลได้ทันที ช่วยในการวิเคราะห์และช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะขายอะไร จะเลิกขายอะไร และจะเปลี่ยนแปลงอะไร รวมทั้งผสมผสานออนไลน์และออฟไลน์ เมื่อใช้อินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ ก็ทำให้เกิดคู่แข่งที่เป็นธุรกิจออนไลน์มากขึ้น อนาคตของการค้าปลีกขึ้นอยู่กับว่าสามารถสร้างสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างไร การติดตามและวัดผลเป็นสิ่งสำคัญในการหาวิธีชนะใจผู้บริโภค นาย ไว ฮง ฟง กล่าวสรุป

เกี่ยวกับผู้ก่อตั้ง

ไว ฮง ฟง เติบโตในประเทศมาเลเซีย โดยใช้ระยะเวลา 4 ปีในสิงคโปร์ ในฐานะนักวิชาการอาเซียน และอาศัยในเมลเบิร์นกว่า 10 ปี ทันทีที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (ด้านสื่อและสื่อสารมวลชน ประวัติศาสตร์และปรัชญา) ณ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ไว ฮง ฟง ได้ร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการผู้จัดการ OZHut กว่า 5 ปี นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ยอดเยี่ยมในปี 2011 โดย StartupSmart และ เป็นหนึ่งในร้อยบุคคลที่ทรงอิทธิพลของเมลเบิร์น โดยหนังสือพิมพ์ The Age ในปีเดียวกัน

ไว ฮง ฟง ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเซี่ยงไฮ้เป็นเวลา 1 ปีครึ่ง ซึ่งเขาได้เรียนภาษาจีนกลาง และในที่สุดก็เดินทางกลับประเทศมาเลเซียในปี 2013 เขาได้ก่อตั้ง StoreHub ซึ่งเป็นระบบการจัดการร้านค้าแบบสมาร์ทแบบครบวงจร เขามีความหลงใหลในการสร้างธุรกิจที่มีกำไร แต่จุดมุ่งหมายและวิธีการสร้างธรุกิจนั้น ควรทำด้วยความซื้อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเอื้ออาทร ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.linkedin.com/in/waihongfong

เกี่ยวกับ Vi Oparad

คุณวี โอภารัตน์ Country Manager บริษัท สโตร์ฮับ (ไทยแลนด์) จำกัด, เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการตลาดตลอดอาชีพการงานของเธอ เคยทำงานกับบริษัทยูนิลีเวอร์ โดยดูแลในส่วนผลิตภัณฑ์แบรนด์วาสลีน และโดฟ ก่อนที่จะย้ายไปดูแลผลิตภัณฑ์โอโม่ ในฐานะผู้จัดการแบรนด์ ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่เธอดำรงตำแหน่ง แบรนด์โอโม่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และในขณะที่เธอกำลังการศึกษาปริญญาโทบริหารธุรกิจที่ MIT Sloan ก็ได้ค้นพบโลกที่น่าสนใจของอินเทอร์เน็ต ทำให้เธอได้เข้าไปร่วมงานกับ Google และ Facebook ในเวลาต่อมา ซึ่งการทำงานกับ 2 แพลตฟอร์มนี้ทำให้เธอเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดแก่ผู้ลงโฆษณาหลายร้อยรายและให้พวกเขาเติบโตออนไลน์ ปัจจุบัน คุณวี ทำงานร่วมกับ Storehub ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถจัดการ POS และสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.linkedin.com/in/tavipat

เกี่ยวกับ Vertex Ventures SEA & India

Vertex Ventures SEA & India เป็นกองทุนร่วมทุน ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์และอินเดีย กองทุนมุ่งเน้นไปที่ บริษัท ที่มีแนวโน้มเติบโตในตลาดผู้บริโภคและตลาดองค์กรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้

Vertex Vertures SE Asia และอินเดียอยู่ในเครือข่ายของกองทุนแต่ละแห่งจะดำเนินงานอิสระโดยมีทีมงานของตนเองและหุ้นส่วนผู้จัดการ ซึ่งจะช่วยให้แต่ละกองทุน Vertex Ventures สามารถทำการตัดสินใจลงทุนในท้องถิ่นได้ในขณะที่เชื่อมต่อกับมุมมองด้านเทคโนโลยีทั่วโลก

การลงทุนที่โดดเด่นของทีม Vertex Vertures SEA / India รวมถึงได้แก่ Grab, Reebonz, M17, Patsnap และ Tickled Media.