มินิ ประเทศไทย เสริมสร้างคาแรคเตอร์ที่เด่นชัดและเสน่ห์ของรถยนต์สัญชาติอังกฤษ ด้วยการเปิดตัวรถยนต์มินิรุ่นปรับโฉมใหม่ถึง 4 รุ่น คือ มินิ แฮทช์ 3 ประตู มินิ แฮทช์ 5 ประตู มินิ คอนเวิร์ตทิเบิล เปิดประทุน และมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ 3 ประตู พร้อมโฉมใหม่รอบคัน ทั้งโลโก้ ไฟหน้า ล้อและการตกแต่งภายใน โดดเด่นด้วยไฟท้ายลายธงยูเนียน แจ็คอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมความสะดวกสบายจากกล้องมองหลัง รวมถึงเปลี่ยนเครื่องยนต์และชุดเกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตอกย้ำความมุ่งมั่นของมินิ ประเทศไทยในการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมที่มีรูปลักษณ์ทันสมัย ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมชั้นเลิศ
ไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง สว่างชัดยิ่งขึ้น
เด่นสะดุดตาไปกับโคมไฟหน้าแบบฮาโลเจนในรุ่นคูเปอร์ และคูเปอร์ ดี ที่เน้นรายละเอียดด้วยพาเนลสีดำด้านในโคมไฟ และการปรับโฉมไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวงในดีไซน์ใหม่ ในรุ่นคูเปอร์ เอส ที่ให้ความสว่างมากขึ้นทั้งในโหมดไฟต่ำและไฟสูงด้วยไฟหน้า LED พร้อมด้วยไฟ LED Daytime Running Light และฟังก์ชันไฟเลี้ยวภายในวงแหวนเดียวกัน โดยไฟจะเปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีส้มขณะที่ทำการเปิดไฟเลี้ยว
เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Adaptive LED Headlights ในรุ่น จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ ช่วยปรับความสว่างของไฟหน้าแบบอัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง และปรับองศาไฟขณะเข้าโค้ง นอกจากนี้ ระบบนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Matrix light ที่ยกระดับทัศนวิสัยในการขับขี่ด้วยการเปิด–ปิดระบบไฟส่องสว่างโดยอัตโนมัติเมื่อกล้องในรถยนต์ตรวจจับได้ว่ามีรถยนต์คันอื่นสวนมา เพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทาง
ไฟท้ายลายธงยูเนียน แจ็ค
เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์สัญชาติอังกฤษ มินิ ได้ปรับ
ไฟท้ายของรถใหม่ให้มีความโดดเด่นด้วยรูปทรงและเส้นไฟ LED ลายธงยูเนียน แจ็คแห่งสหราชอาณาจักร ในรุ่นคูเปอร์ เอส และจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ โดยไฟเบรกจะใช้เส้นแนวตั้ง ส่วนไฟเลี้ยวจะเป็นเส้นแนวนอนกึ่งกลาง และไฟท้ายจะเปิดเป็นเส้นแนวทะแยง เมื่อไฟหน้าเปิดอยู่ ทำให้ภาพรวมของท้ายรถรุ่นปรับโฉมใหม่นี้มีความสวยงาม โดดเด่นจากการผสมผสานเส้นไฟเข้ากับรายละเอียดของลายธง
โลโก้ MINI แบบใหม่ในสไตล์เรียบง่าย
ตราสัญลักษณ์ ‘MINI’ แบบใหม่นี้ยังคงดีไซน์ความเป็นมินิมอลในสไตล์มินิ แต่ให้ความสบายตามากขึ้นด้วยการออกแบบ 2 มิติ โดย
โลโก้ใหม่นี้จะอยู่ที่ 4 ตำแหน่งด้วยกันคือ บริเวณฝากระโปรงหน้ารถ ฝากระโปรงท้ายรถ บนพวงมาลัย และบนกุญแจรีโมท ซึ่งโลโก้ใหม่นี้ยังสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของแบรนด์กับการขับขี่ที่สนุกสนาน การออกแบบที่โดดเด่นและคุณภาพยนตรกรรมระดับพรีเมียม อันเป็นหัวใจสำคัญของมินิ
สีตัวถังใหม่ 3 สี สวยสะดุดตา
มินิรุ่นปรับโฉมใหม่ทั้ง 3 ประเภทตัวถัง (มินิ แฮทช์ 3 ประตู, มินิ แฮทช์ 5 ประตู และ มินิ คอนเวิร์ตทิเบิล)
มาพร้อมตัวเลือกของสีตัวถังใหม่เพิ่มอีก 3 สี คือสีเทา Emerald Grey Metallic สีน้ำเงิน Starlight Blue Metallic และสีส้ม Solaris Orange Metallic พร้อมเสริมความสปอร์ตดุดันในรุ่นคูเปอร์ เอส ด้วย Piano Black Exterior สีดำเงาที่กรอบโคมไฟหน้า โคมไฟท้าย และกระจังหน้ารถ
นอกจากนี้ ยังมีล้ออัลลอยลายใหม่ทั้งหมด 4 แบบที่ต่างกันไปในแต่ละรุ่น คือ ลาย Victory Spoke Black ขนาด 16 นิ้ว ลาย Roulette Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว ลาย Rail Spoke 2-tone ขนาด 17 นิ้ว และ ลาย MINI Yours Vanity Spoke 2-tone ขนาด 18 นิ้ว ที่มาพร้อมฝาครอบล้อใหม่ลาย MINI Yours
ปรับปรุงการตกแต่งภายใน เพิ่มทางเลือกให้กับ มินิ คอนเวิร์ตทิเบิล
ภายในรถ มีการเพิ่มตัวเลือกของสีเบาะที่นั่งและห้องโดยสารทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Leather Chester, Leather Malt Brown, Leather Cross Punch Carbon Black และล่าสุดกับ Leather Lounge Satellite Grey ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความไม่เหมือนใคร และเติมความโดดเด่นบนท้องถนนให้กับมินิ
คอนเวิร์ตทิเบิลขณะขับขี่แบบเปิดหลังคา
เครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่
การปรับโฉมรอบนี้ มินิ ได้ทำการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ขับสนุกมากขึ้น โดยมินิเครื่องยนต์เบนซินทุกรุ่นจะมีการเพิ่มแรงดันสูงสุดในการฉีดน้ำมันจาก 200 เป็น 350 บาร์ ควบคู่ไปกับใบพัดเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนสูง รวมถึงมีการปรับแรงดันหัวฉีดน้ำมันทำให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ขณะที่ฝาครอบเครื่องยนต์นำวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) มาใช้เป็นครั้งแรก จึงทำให้มีน้ำหนักเบาลง เสริมสมรรถนะให้รวดเร็วฉับไวขึ้น
มินิ แฮทช์ มาพร้อมกับขุมพลังเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo โดยมีให้เลือกสรรทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ในรุ่นคูเปอร์ และ คูเปอร์ ดี และเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2 ลิตรในรุ่นคูเปอร์ เอส ที่ให้พละกำลังได้สูงสุดถึง 192 แรงม้า ควบคู่กับแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร
ส่วนระบบส่งกำลัง ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมด้วยคันเกียร์ใหม่ในระบบไฟฟ้า โดยในรุ่นคูเปอร์และคูเปอร์ เอส จะมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 7 สปีด คลัตช์คู่ (Double Clutch Transmission) ที่มอบจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วและไหลลื่นยิ่งขึ้น เร่งความเร็วได้ทันใจ รวมถึงมีอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ขับขี่ได้คล่องตัวและพร้อมตอบสนองความท้าทายทุกโจทย์บนท้องถนน ส่วนในรุ่น จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ เสริมความสปอร์ตด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่ตอบสนองรวดเร็วในสไตล์รถแข่ง เติมความสนุกในทุกจังหวะการขับขี่
มินิ คูเปอร์ แฮทช์ 3 ประตู ให้กำลังสูงสุดที่ 136 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.8 วินาที ส่วนมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 5 ประตู สามารถให้กำลังได้สูงสุด 192 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 6.7 วินาที และสำหรับรถมินิ คูเปอร์ เอส คอนเวิร์ตทิเบิล ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้าโดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.1 วินาที
พวงมาลัยและหน้าจอแบบใหม่ ใช้งานได้หลากหลายขึ้น
สำหรับพวงมาลัยรุ่นใหม่จะเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นสามก้าน โดยที่มีฟังก์ชันการใช้งานแตกต่างกันไปในมินิแต่ละรุ่น ทางด้านซ้ายจะมีปุ่มควบคุม Speed Limit ที่กำหนดความเร็วสูงสุดของรถได้ ส่วนชุดควบคุมด้านขวาจะเกี่ยวข้องกับระบบความบันเทิงและเครื่องเสียง นอกจากนี้ มินิทุกรุ่นยังมาพร้อมกับหน้าจอดิจิทัลพร้อมระบบสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว หรือ 8.8 นิ้วที่มีเทคโนโลยีไร้สายแบบ Bluetooth ติดตั้งในตัวเพื่อเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้ รวมถึงเทคโนโลยี MINI Connected ที่จะเชื่อมต่อฟังก์ชั่นต่างๆ บนรถยนต์กับสมาร์ทโฟนได้
เพิ่มลูกเล่นด้วยการฉายไฟโลโก้ลงพื้น และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
ชุดอุปกรณ์เสริม MINI Excitement มาพร้อมกับระบบ MINI Logo Projection ที่สร้างเอกลักษณ์สะดุดตาด้วยการฉายโลโก้มินิลงบนพื้นนอกตัวรถบริเวณฝั่งคนขับเมื่อเปิดหรือปิดประตูรถ
ส่วนในรุ่นจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ มินิยังนำเทคโนโลยีล่าสุดอย่างแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charging) มาติดตั้งไว้ยังบริเวณช่องในที่วางแขนกึ่งกลางตัวรถ โดยสามารถวางโทรศัพท์รุ่นที่รองรับระบบการชาร์จไร้สายบนแท่นเพื่อชาร์จได้เลย นอกจากนี้ยังมีทางเลือกเสริมให้ติดตั้งพอร์ต USB เพิ่มเติมที่คอนโซลหน้ารถได้อีกด้วย
เสริมความแรงเร้าใจเต็มพิกัดกับมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ 3 ประตู
นอกจากการปรับโฉมมินิ แฮทช์และมินิ คอนเวิร์ตทิเบิลแล้ว มินิยังเปิดตัวโฉมใหม่ของมินิ แฮทช์ ตัวแรงจากตระกูลจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ในระดับรถแข่งพันธุ์แท้ ทำให้การขับขี่ในวันธรรมดาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจราวกับอยู่ในสนามแข่ง โลดแล่นด้วยเครื่องยนต์ทรงพลัง ระบบช่วงล่าง ชุดแต่ง จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ และขุมพลังจากเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo มอบความเร็วเร้าใจด้วยกำลังสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 6.1 วินาที สำหรับมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ 3 ประตู และยังคงเอกลักษณ์ดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นสะดุดตาด้วยชุดแต่งในตระกูลจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ ขนานแท้ ไม่ว่าจะเป็นล้ออัลลอยแบบ John Cooper Works Cup Spoke, 2-tone ขนาด 18 นิ้ว และเอกลักษณ์จานเบรคสีแดง พร้อมด้วยโลโก้จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ มอบความรู้สึกทรงพลังด้วยความคลาสสิกสไตล์มินิอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถอุ่นใจด้วยโปรแกรม MINI Service Inclusive (MSI) ให้เลือกสรรตามความต้องการ ด้วยแพ็คเกจเริ่มต้น MSI Standard ที่ครอบคลุมระยะการบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม. และรับประกัน 3 ปีไม่จำกัดระยะทาง โดยมินิ แฮทช์ มินิ คอนเวิร์ตทิเบิล และมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ รุ่นปรับโฉมใหม่ จะประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้
แฟนๆ มินิและผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่อย่างมีเอกลักษณ์ สามารถสัมผัสประสบการณ์ความเร้าใจของ มินิ แฮทช์ และ มินิ คอนเวิร์ตทิเบิล รุ่นปรับโฉมใหม่ ได้ที่ผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ และติดตามข่าวสารและกิจกรรมของมินิ ประเทศไทย ได้ที่เฟสบุ๊ค แฟนเพจ www.facebook.com/MINI.Thailand หรือติดต่อ MINI Contact Center ได้ที่ 1-401-269-269
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เราผลิตและจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ, โรลส์–รอยซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยมีเครือข่ายการผลิต 30 แห่งใน 14 ประเทศ อีกทั้งยังมีเครือข่ายผู้จำหน่ายและบริการมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก
ในปี พ.ศ 2560 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มียอดขายรถยนต์ 2,463,500 ล้านคัน และมอเตอร์ไซค์กว่า 164,000 คันทั่วโลก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มีพนักงานทั้งหมด 124,729 คนทั่วโลก
ความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้รับการขับเคลื่อนจากพลังแห่งวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และให้บริการกับลูกค้าอย่างดีที่สุด นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในทุกผลิตภัณฑ์และในทุกขั้นตอนการผลิตอีกด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เป็นสาขาของ BMW AG ประเทศเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม2541 ประกอบด้วย สามบริษัท ได้แก่ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด รับผิดชอบด้านการขายและการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รับผิดชอบด้านการผลิตรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ภายใต้แบรนด์ บีเอ็มดับเบิลยู และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด และบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รับผิดชอบด้านบริการทางการเงินสำหรับผู้จำหน่ายรถยนต์และลูกค้าบุคคล
ในปี 2560 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประสบความสำเร็จเป็นประวัติการณ์ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ จำนวน 11,030 คัน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ปี 2560 ซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 39% และถือเป็นยอดขายระดับ 5 หลักครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัท ด้านบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ทั้งสิ้น 2,001 คัน โตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยสถิติดังกล่าว ทำให้ปี 2560 เป็นปีที่ประสบความสำเร็จที่สุดของทั้งสามแบรนด์ภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ที่สร้างยอดการเติบโตที่ 43% นับว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับยอดขายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก
ในด้านการผลิต โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เป็นเครื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของบีเอ็ม ดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มีต่อตลาดในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ว่าเป็นตลาดที่สามารถเติบโตได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่ตั้ง ฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง และพนักงานผู้เชี่ยวชาญในด้านยนตรกรรม ทำให้บีเอ็ม ดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการประกอบยนตรกรรมของบีเอ็มดับเบิลยูในภูมิภาคอาเซียนที่ผ่านมานอกจากนี้ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการขยายกระบวนการประกอบภายในโรงงานและเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สืบเนื่องจากการจัดซื้อชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศไทยในแต่ละปีเป็นจำนวนมากเพื่อป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตในประเทศและเพื่อส่งออก คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี บีเอ็มดับเบิลยูจึงจัดตั้งสำนักงานจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์ขึ้นในประเทศไทยด้วย เพื่อจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์จากซัพพลายเออร์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับเครือข่ายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู 31 แห่ง ใน 14 ประเทศทั่วโลก
ณ ปี พ.ศ. 2560 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สามารถประกอบรถยนต์รุ่นต่างๆ ทั้งหมด 17 รุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 1 บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 Gran Turismo บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 บีเอ็มดับเบิลยู X1 บีเอ็มดับเบิลยู X3 บีเอ็มดับเบิลยู X4 และบีเอ็มดับเบิลยู X5 สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู F 800 R บีเอ็มดับเบิลยู F 800 GS บีเอ็มดับเบิลยู F 700 GS บีเอ็มดับเบิลยู R 1200 GS บีเอ็มดับเบิลยู R 1200 GS Adventure บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR และ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 XR นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทยยังขยายสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด 4 รุ่นในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 330e บีเอ็มดับเบิลยู 530e บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive40e M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู 740Le
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 เป็นต้นมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทยยังพัฒนาศักยภาพในการประกอบรถยนต์เพื่อรองรับการส่งออกรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X5 และ บีเอ็มดับเบิลยู X3 สู่ตลาดในประเทศจีนอีกด้วย