แอลจีเผยผลประกอบการไตรมาสที่สองและครึ่งปีแรก ประจำปี 2561

แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) เผยรายได้ยอดขายรวมทั่วโลกของกลุ่มบริษัทมีมูลค่า 13.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.59 แสนล้านบาท) และกำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่สองประจำปี 2561 มูลค่า 715.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.36 หมื่นล้านบาท) โดยยอดขายไตรมาสที่สองเติบโตขึ้น 3.2 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 16.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลกำไรที่แข็งแกร่งมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศ และผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ในกลุ่มพรีเมียม ช่วยชดเชยการขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสที่สองของกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์และกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ

ยอดขายและกำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ล้วนแต่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติการณ์ รายได้เพิ่มขึ้น 3.2 เปอร์เซ็นต์จากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 เป็นมูลค่า 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 9.24 แสนล้านบาท) และรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 18.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นมูลค่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.61 หมื่นล้านบาท) เนื่องด้วยความไม่แน่นอนของสภาวะตลาดการแข่งขัน และขอบเขตการค้าระหว่างประเทศในอนาคต แอลจีจึงวางแผนที่จะดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี ด้วยการให้ความสำคัญกับความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนและการเติบโตด้านผลกำไรมากยิ่งขึ้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศ เผยยอดขายอันแข็งแกร่งในไตรมาสที่สองของปี 2561 ที่ 4.88 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.61 แสนล้านบาท) และ ผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 424.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.39 หมื่นล้านบาท) รายได้ประจำไตรมาสได้เติบโตขึ้น 4.3 เปอร์เซ็นต์จากปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากยอดขายตามฤดูกาลที่แข็งแกร่งของเครื่องปรับอากาศ และการส่งมอบผลิตภัณฑ์ LG Styler และเครื่องฟอกอากาศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดภายในประเทศเกาหลี นอกจากนี้ รายได้จากการดำเนินงานประจำไตรมาสเพิ่มขึ้น 1.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2560 ซึ่งขับเคลื่อนโดยการจัดการต้นทุนและยอดขายของเครื่องซักผ้าและตู้เย็นระดับพรีเมียม ช่วยชดเชยผลกระทบจากราคาวัสดุที่สูงขึ้นและอัตราการแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้ออำนวย รายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศนั้นมีมูลค่าสูงสุดในประวัติการณ์ของบริษัท ด้วยมูลค่าที่สูงกว่า 9.46 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.12 ล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก

กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รายงานยอดขายประจำไตรมาสที่สองที่ 3.54 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.17 แสนล้านบาท) และกำไรจากการดำเนินงานที่ 377.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.25 หมื่นล้านบาท) ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น 4.1 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสเดียวกันในปี 2560 เป็นผลจากยอดขายที่แข็งแกร่งของแอลจี OLED ทีวี แอลจี SUPER UHD และผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมอื่นๆ และมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 44.1 เปอร์เซ็นต์ จากไตรมาสที่สองของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ผลกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์เติบโตในอัตราเลขสองหลัก เช่นเดียวกับไตรมาสแรกของปี 2561 สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 แม้มีการคาดการณ์ว่าตลาดทีวีทั่วโลกจะมีความต้องการลดลงด้วยเศรษฐกิจที่ตกต่ำในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา แอลจียังวางแผนที่จะดำเนินกลยุทธ์ในการสร้างผลกำไรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมและเพิ่มระดับความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนให้สูงขึ้น

กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ มียอดขายคิดเป็น 192.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6.34 พันล้านบาท)และงบขาดทุนจากการดำเนินงาน 171.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.67 พันล้านบาท) ซึ่งยอดขายของไตรมาสที่สองลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 เนื่องจากความซบเซาของตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก และยอดขายสมาร์ทโฟนของตลาดระดับกลางและระดับล่างที่ลดลงในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา งบขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นผลจากยอดขายที่ลดลงและต้นทุนด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแฟลกชิพ สำหรับในครึ่งหลังของปี 2561 ซึ่งการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่อาจรุนแรงมากขึ้น รวมถึงการเติบโตที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง แอลจีจึงมีเป้าหมายในการพัฒนาโครงสร้างธุรกิจและกระตุ้นยอดขายของสมาร์ทโฟนรุ่นแฟลกชิพ LG G7 ThinQ และ LG V35 ThinQ ในตลาดหลักทั่วโลก

กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ปิดไตรมาสที่สองด้วยยอดขาย 809.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ2.67 หมื่นล้านบาท) และงบขาดทุนที่ 30.14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 9.95พันล้านบาท) โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 3.9 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลจากการที่แอลจีเริ่มการผลิตครั้งใหญ่สำหรับหลายโครงการใหม่  สำหรับงบขาดทุนของไตรมาสที่ผ่านมาสะท้อนถึงต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และทรัพยากรที่เพิ่มเติมขึ้นจากการดำเนินการโครงการใหม่ ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนในตลาดยานยนต์ทั่วโลก และนโยบายด้านการค้าของสหรัฐอเมริกา จะยังคงสร้างความท้าทายให้แก่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ตลอดทั้งปีนี้ แม้ว่าการคาดการณ์การเติบโตของเทคโนโลยีเชื่อมต่อในยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของแอลจีในระยะยาวก็ตาม

กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร มียอดขายในไตรมาสที่สองที่ 545.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) และผลกำไรจากการดำเนินงานที่ 36.17 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.19 พันล้านบาท)เติบโตขึ้น 10.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์จอดิจิทัลเชิงพาณิชย์และแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง โดยผลกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้นถึง 73.3  เปอร์เซ็นต์จากปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยความนิยมของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมและจากการตั้งราคาที่เหมาะสมมากขึ้นในการแข่งขันกับราคาท้องตลาด นอกจากนี้ยังคาดว่าความนิยมในผลิตภัณฑ์จอดิจิทัลเชิงพาณิชย์ระดับพรีเมียมจะยังคงเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี2561  ในขณะที่ธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์อาจมีการแข่งขันและความท้าทายที่เข้มข้นขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดการค้าระหว่างประเทศที่ไม่หยุดนิ่ง

ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในไตรมาสที่ 2 ของปี 2561

รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน

ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2561 อยู่ที่ 33 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)

เกี่ยวกับ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ ในประเทศไทย

บริษัทแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ประเทศไทย (จำกัด) หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าโทรศัพท์มือถือและกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านภายใต้แบรนด์ แอลจี โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นแบรนด์ชั้นนำของเมืองไทยที่จะเติมเต็มชีวิตของผู้บริโภคชาวไทยด้วยนวัตกรรมระดับโลกโดยในประเทศไทยนั้น ประกอบไปด้วย4หน่วยธุรกิจสำคัญ ได้แก่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ธุรกิจเครื่องปรับอากาศและโซลูชั่นด้านพลังงานแอลจีเป็นผู้นำด้านการผลิตทีวีจอแบน อุปกรณ์ภาพและเสียง อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็นที่มีคุณภาพระดับโลก นอกจากผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ เทคโนโลยีและคุณภาพที่วางใจได้แล้ว แอลจียังมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ผ่านกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบที่น่าสนใจและหลากหลายเพื่อให้สอดคล้องกับสโลแกน “Life’s Good”

ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแอลจีได้ที่ www.LGnewsroom.com และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอลจี ประเทศไทย ได้ที่ www.lg.com/th