เฮงเค็ล รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 โดยสามารถสร้างยอดขายได้สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 5,143 ล้านยูโร โดยมีการเติบโตทั่วโลกที่ 3.5% หลังจากธุรกิจสินค้าผู้บริโภคในอเมริกาเหนือกลับมาให้บริการตามปกติ นอกจากนี้ยังปรับปรุงตัวเลขคาดการณ์ตลอดทั้งปีใหม่เพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากค่าเงินที่ผันผวนและราคาวัตถุดิบสูงขึ้น โดยคาดว่ายอดขายของทุกธุรกิจจะเติบโต 2-4% และส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี*เติบโตราว 18% ส่วนกำไรต่อหุ้น*เติบโตขึ้น 3-6% ทั่วโลกตลอดทั้งปี
ฮานส์ แวน ไบเล่น ซีอีโอ ของเฮงเค็ล กล่าวว่า “การผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้เฮงเค็ลมีพัฒนาการที่ดีในไตรมาสที่ 2 แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินที่ผันผวนและราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เราสามารถทำสถิติยอดขายต่อไตรมาสได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสร้างส่วนต่างกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ที่ดีขึ้น รวมทั้งมีรายได้ต่อไตรมาสซึ่งทำสถิติสูงสุด โดยกลุ่มธุรกิจกาวมีการเติบโตของยอดขายที่ดีมาก ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน และกลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์มีพัฒนาการในเชิงบวก”
เฮงเค็ลมียอดขายเติบโตในทุกภูมิภาค โดยมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลาดเกิดใหม่ ในขณะเดียวกันก็ยังคงเผชิญอุปสรรคจากค่าเงินและราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นเช่นเดียวกับไตรมาสที่ 1 โดยค่าเงินได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อรายงานยอดขายที่ 6.1% หรือราว 310 ล้านยูโร ส่วนกำไรจากการดำเนินงานและกำไรต่อหุ้นของเฮงเค็ลก็ได้รับผลกระทบจากค่าเงินเช่นกัน หากไม่นับผลกระทบจากค่าเงินแล้ว เฮงเค็ลสร้างการเติบโตของกำไรต่อหุ้นได้อย่างดีเยี่ยมที่ 7.7%
สำหรับตัวเลขคาดการณ์ในปี 2561 เฮงเค็ลได้ปรับปรุงในบางส่วน โดยคาดว่ายอดขายของทุกธุรกิจจะเติบโต 2-4%ตามที่เคยคาดไว้ ส่วนยอดขายของกลุ่มธุรกิจกาวคาดว่าจะเติบโต 4-5% จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2-4% ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนจะเติบโตระหว่าง 2-4% และคาดว่ากลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์จะมียอดขายเติบโตราว 0-2%
สำหรับผลตอบแทนจากการขาย (EBIT) เฮงเค็ลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วราว 18% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะมากกว่า 17.5% ทั้งนี้จากความผันผวนของค่าเงินและราคาวัตถุดิบ เฮงเค็ลคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำไรต่อหุ้นที่ปรับปรุงแล้วได้ระหว่าง 3-6% จากเดิมที่เคยคาดไว้ 5-8%
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีกาวทำยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 5.2% ในไตรมาสที่ 2 โดยในภาพรวมมียอดขายเพิ่มขึ้น 2.6% อยู่ที่ 2,432 ล้านยูโร ส่วนกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1.5% อยู่ที่ 462 ล้านยูโร และผลตอบแทนจากการขาย น้อยกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย
ด้านกลุ่มธุรกิจบิวตี้แคร์ มียอดขายเติบโต 0.4% ยอดขายในภาพรวมเติบโตขึ้น 3.8% อยู่ที่ 1,035 ล้านยูโร กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 4.4% อยู่ที่ 187 ล้านยูโร ส่วนผลตอบแทนจากการขายเพิ่มขึ้น 0.1 จุดไปอยู่ที่18.1%
สำหรับกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน มียอดขายเติบโตขึ้น 2.9% ในไตรมาสที่ 2ส่วนยอดขายโดยรวมอยู่ที่ 1,644 ล้านยูโร เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 1,703 ล้านยูโร กำไรจากการดำเนินงานลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 ส่วนผลตอบแทนจากการขายเพิ่มขึ้น 0.4 จุดไปอยู่ที่ 17.9%
การเติบโตของยอดขายในภูมิภาคยุโรปตะวันตกอยู่ที่ 0.1% ซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ส่วนในยุโรปตะวันออก ยอดขายเติบโต 8.2% แอฟริกาและตะวันออกกลาง ยอดขายเติบโต 4.7% ในอเมริกาเหนือ มียอดขายเพิ่มขึ้น 4.9% ละตินอเมริกา ยอดขายเติบโต 6.3% และเอเชียแปซิฟิกมียอดขายเพิ่มขึ้น 1.9%
กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) เพิ่มขึ้น 1.8% ทำสถิติใหม่โดยเพิ่มจาก 909 ล้านยูโร ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 926 ล้านยูโร
ผลตอบแทนจากยอดขาย (EBIT) เพิ่มขึ้น 0.2 จุด ไปอยู่ที่ 18.0%
กำไรต่อหุ้น เติบโตขึ้น 1.9% จาก 1.55 ยูโร ไปอยู่ที่ 1.58 ยูโร ผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนต่อการเติบโตของ EPS อยู่ที่ -5.8% กำไรต่อหุ้นบุริมสิทธิที่ยังไม่คำนวณผลกระทบจากค่าเงิน เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่7.7%
เงินทุนหมุนเวียนสุทธิ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยอดขายอยู่ที่ 6.3% สูงกว่าไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 ซึ่งอยู่ที่ 5.2%
นับถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 เฮงเค็ลมีเงินทุนสุทธิอยู่ที่ -3,597 ล้านยูโร (วันที่ 31 ธันวาคม 2560 อยู่ที่ -3,225 ล้านยูโร)
Related