2 ยักษ์ค้าปลีก เซ็นทรัล-สยามพิวรรธน์ ชักธงรบสู้ศึก ร้านมัลติแบรนด์ ชิงเค้กความงาม 6 หมื่นล้าน

ตลาดร้านความงามจึงดุเดือดขึ้นมาทันที เมื่อสองค่ายยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเปิดเกมรุกเช่นนี้

ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม  ถือเป็นไม่กี่ธุรกิจที่แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เพราะผู้หญิงไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดูดีตลอดเวลา 

ที่สำคัญการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามยังซับซ้อนมากขึ้นแม้จะยังไม่ถึงกับสาวๆในประเทศเกาหลีหรือญี่ปุ่นแต่ก็เพิ่มชนิดการใช้เฉพาะแค่ล้างหน้าต่ำๆก็ต้อง 3 ขั้นตอน ยังไม่รวมบำรุงผิว แต่งหน้า

ทำให้สินค้าบิวตี้จึงกลายเป็นตลาดที่หมายตาของบรรดาเจ้าของธุรกิจขายสินค้าความงามประเภทร้านสเปเชียลตี้สโตร์ประเภทมัลติแบรนด์เข้ามาในตลาดนี้เพิ่มขึ้นทั้งอีฟแอนด์บอยเข้าสู่ตลาดมา 10 กว่าปี มีแฟนประจำเป็นสาววัยรุ่นจำนวนมาก, บิวเทรี่ยม ที่กำลังทุ่มงบขยายสาขาทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมือง เพื่อรับมือกับการแข่งขัน, เฮ้ สตรีท บิวตี้ ของบริษัท ซีโฟร์ โกลบอล  ล่าสุด หนึ่งสุริยน ศรีอรทัยกุล เจ้าของธุรกิจเพชรชื่อดัง ยังต้องกระโดดลงมาร่วมวงเปิดร้าน บิวตี้24 ย่านสยามสแควร์

ทำให้ห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพราะประเมินแล้วว่าธุรกิจบิวตี้ไปได้สวยแต่หากปล่อยไว้มีสิทธิ์โดนชิงส่วนแบ่งตลาดไปได้ง่ายๆ

ภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บจ.เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล บอกว่า พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ทุกเพศทุกวัยให้ความสำคัญต่อการดูแลด้านสุขภาพและความงาม โดยกลุ่มลูกค้าเจเนอเรชันวายมีความถี่ในการซื้อสินค้าเพื่อความงามเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้าวัยทำงานซึ่งมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ความสำคัญต่อการซื้อสินค้าในกลุ่มดูแลสุขภาพ ส่งผลให้ในปี 2560 ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม มีมูลค่ารวมสูงถึง 5.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 3.8% (ข้อมูลจากวิจัยชุดตลาดเครื่องสำอางและความงามไทย)

ล่าสุดบริษัทเซ็นทรัลฟู้ดรีเทลจำกัดในเครือเซ็นทรัลจึงทำการปรับโฉมครั้งใหญ่กับโซนสินค้าสุขภาพและความงามใหม่หมดโดยใช้ชื่อว่าลุคส์ (LOOKS)” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับช้อปออนไลน์ความงามของกลุ่มเซ็นทรัล ประเดิมเปิดสาขาแรกที่ ท็อปส์ มาร์เก็ต ชั้นจี เซ็นทรัลพลาซา พระราม 3 เมื่อต้นเดือนนี้

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2558 ทางท็อปส์ก็รับไลเซนส์บริหารร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ (Matsumoto Kiyoshi ) ร้านความงามและสุขภาพอันดับ 1 ของญี่ปุ่นมาแล้วประเดิมสาขาแรกที่เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าวปัจจุบันมีสาขากระจายไปทั่วในเครือข่ายเซ็นทรัล

ในขณะที่ลุคส์ (LOOKS)” เป็นแฟลกชิปบิวตี้สโตร์ ประเภทมัลติแบรนด์ จำหน่ายสินค้าความงาม, Personal Care จากแบรนด์ทั่วโลกนับหมื่นรายการและกลุ่มสินค้าดูแลผมจากแฮร์ซาลอนชั้นนำหวังขยายกลุ่มลูกค้าสู่เจนวายให้เข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น

ตามแผนจะเปิด 10 สาขาภายในสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายในกลุ่มสินค้าสุขภาพและความงามได้ 15-20%

หากมองการขยายสาขาของลุคส์แล้วไม่น่าจะยากในเรื่องการหาทำเลสถานที่เพราะอยู่ในเครือข่ายของกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งมีพื้นที่มากมายรองรับอยู่แล้ว

แต่ ลุคส์ ต้องสร้างมีทั้งความหลากหลาย แบ่งเป็น 7 โซน ตามประเภทสินค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพิ่มกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่ อาทิ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก หรือกลุ่มสินค้าที่มีความพรีเมียมมากขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับดูแลเส้นผมที่จากแฮร์ซาลอนชั้นนำ หรือผลิตภัณฑ์บิวตี้ที่นำเข้ามาจากเอเชียและยุโรป 

ลุคส์จึงกลายเป็นอีกอาวุธใหม่ของเครือเซ็นทรัลภายใต้การคุมเกมของท็อปส์ ที่จะต่อกรกับคู่แข่งในตลาดรวม

สยามพิวรรธน์ ควงไอสไตล์รุกตลาดความงาม

ไม่ต่างจาก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ที่มองเห็นโอกาสจากธุรกิจความงามที่ยังมีโอกาสได้อีก โดยเฉพาะร้านมัลติแบรนด์ ซึ่งเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่มากกว่าเคาน์เตอร์แบรนด์ตามศูนย์การค้า

สยามพิวรรธน์ จึงไปจับมือกับบริษัท istyle Inc. (ไอสไตล์ อิงก์) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวของประเทศญี่ปุ่น เข้ามาร่วมทุนกันจัดตั้ง บริษัท ไอสไตล์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อรุกตลาดรีเทลและออนไลน์ร้านบิวตี้โดยเฉพาะ ในชื่อว่า @COSME หรือแอดคอสเม่

โดยไอสไตล์ถือหุ้น 70% และกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ถือหุ้น 30% จากทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

อุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง กล่าวว่ากิจการร่วมทุนครั้งนี้จะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับสยามพิวรรธน์ในการเติบโตจากการแตกไลน์ธุรกิจซึ่งหนึ่งในนั้นคือธุรกิจรีเทลและออนไลน์ความงามที่ตลาดในไทยยังคงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

ในประเทศญี่ปุ่น @COSME กระแสเขย่าวงการดูแลความงามมาตั้งแต่ก่อตั้ง โดยในจำนวนผู้หญิงญี่ปุ่นที่มีอายุ 20 – 30 ปี ในทุกๆ 3 คน จะมี  2 คน ที่ใช้บริการเว็บไซต์นี้ในการหาคำแนะนำด้านความงาม ซึ่ง ‘@cosme store’ ได้ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของเว็บไซต์ @cosme สร้างเป็นจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์

“@COSME” ชูไทยตลาดหลักในเซาท์อีสเอเชีย

ฮาจิเมะ เอนโดะ รองประธานอาวุโส กิจการบริการด้านความงามของไอสไตล์ อิงก์ กล่าวว่าการขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทยครั้งนี้ ผ่านความร่วมมือกับสยามพิวรรธน์ ที่ถือเป็นค้าปลีกที่ได้การยอมรับสูง เป็นผู้ปฏิวัติแนวคิดค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยไทยเป็นประเทศที่ 5ในเอเชียที่ไอสไตล์ อิงก์เข้ามาดำเนินธุรกิจ

โดยเมื่อปีที่แล้ว (2560) เริ่มขยายธุรกิจออกไปยังประเทศอื่นๆ เปิดสาขาแรกในต่างประเทศ ที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน เดือนพฤษภาคม 2560 และได้เปิดร้าน ‘@cosme store’ เพิ่มอีก 4 สาขา ในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา ในไต้หวัน และฮ่องกง และเกาหลีใต้

แบรนด์ @COSME หรือ แอดคอสเม่ มีเป้าหมาย 3 ปีจากนี้ ต้องเปิดสาขาแบบออฟไลน์ให้ได้ถึง 5 สาขาในไทย ซึ่งนำร่องสาขาแรกที่ไอคอนสยาม พื้นที่ 300 ตารางเมตร  เปิดเดือนพฤศจิกายนนี้ และตามด้วยสยามเซ็นเตอร์ รวมทั้งการบุกช่องทางออนไลน์และเว็บไซต์ด้วย ขายผ่านอีคอมเมิร์ซ มีเดียมาร์เก็ตติ้ง และการเปิดแอปพลิเคชัน ตามโมเดลที่เกิดในญี่ปุ่น แต่จะทยอยรุกตลาดในหลายโมเดล

การรุกตลาดเข้ามาประเทศไทย ถือเป็นตลาดที่ไอสไตล์ให้ความสำคัญและความสนใจอย่างมากซึ่งดูได้จากการที่ไอสไตล์ถือหุ้นมากกว่าสยามพิวรรธน์ และยังเป็นผู้บริหารธุรกิจเองด้วย

ฮาจิเมะ กล่าว

สำหรับจุดเด่นและความแตกต่างของ @COSME เมื่อเทียบกับเชนอื่น คือ มีการจัดอันดับสินค้ายอดนิยมและยอดขายที่สูงที่สุดเพื่อให้ลูกค้าได้รับรู้ จากการมีข้อมูลที่มากมายจากกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการ ซึ่งจะเป็นการบอกถึงเทรนด์และกระแสในช่วงนั้นอย่างดีว่า สินค้าอะไร แบรนด์อะไร เป็นที่ต้องการของตลาดและกำลังฮิต  ซึ่งบริการจัดอันดับแบบนี้ไม่มีในเชนร้านเครื่องสำอางแบรนด์อื่นในตลาด

จากข้อมูลระบุว่า เว็บไซต์ @cosme มีการรีวิวจากผู้บริโภคแล้วมากกว่า 14 ล้านรีวิว ครอบคลุมเครื่องสำอางมากกว่า 300,000 รายการ จากกว่า 32,000 แบรนด์ เป็นแหล่งข้อมูลที่มีความหลากหลายและเชื่อถือได้สำหรับผู้บริโภคทุกคน และได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาจากผู้บริโภคมาต่อยอดสร้างเป็นพื้นที่ขายสินค้า

สำหรับ ‘@cosme store’ คือร้านจำหน่ายเครื่องสำอางยอดนิยมหลากหลายแบรนด์ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสร้างนิยามใหม่แห่งประสบการณ์การชอปปิ้งเครื่องสำอางที่เหนือกว่า ด้วยบริการจัดอันดับเครื่องสำอางจากฐานข้อมูลที่ใหญ่มากของเว็บไซต์ @cosme นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์เกือบทั้งหมดในร้าน ‘@cosme store’ จะมีสินค้าตัวอย่างเตรียมพร้อมเอาไว้ให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองสนใจและชื่นชอบ พร้อมคำแนะนำจากที่ปรึกษาความงามมืออาชีพ เพื่อหาเครื่องสำอางที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด ซึ่งนี่คือกระบวนการที่ @cosme เรียกว่า Discover, Experience, Your @cosme”

ทั้งนี้ istyle Inc. มีธุรกิจเว็บไซต์ @cosme สื่อออนไลน์ที่ให้บริการรีวิวและจัดอันดับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และเป็นเจ้าของเครือข่ายร้านสเปเชียลตี้สโตร์เครื่องสำอางที่ชื่อว่า ‘@cosme store’ ซึ่งมีร้าน ‘@cosme store’ ทั้งหมด 25 สาขาในประเทศญี่ปุ่น

ฮาจิเมะ มองว่า ตลาดความงามในไทย เป็นตลาดที่มีการเติบโตดีและน่าสนใจ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ทีสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตลาดในไทยขณะนี้เปรียบเหมือนกับตลาดในญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 11 ปีที่ผ่านมา ที่จะเติบโตได้อีกมาก จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เปลี่ยนไป ชอบลองสินค้าใหม่ๆ ชอบซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น และค้นหาข้อมูลมากขึ้นก่อนการซื้อสินค้า.