บล.โกลเบล็ก มองหุ้นไทยได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวดี ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ให้กรอบดัชนี 1,695-1,735 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น MAI ที่น่าสนใจจากผลประกอบการครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง ชู XO-CHAYO-TACC ส่วนราคาทองคำมองว่ามีโอกาสที่จะกลับมาขาขึ้นหากยืนเหนือ 1,200 ดอลลาร์อีกครั้ง จึงให้คำแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ค. 2561 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวดี แม้การส่งออกและภาคท่องเที่ยวชะลอตัว และกระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนี CPI หรือตัวเลขเงินเฟ้อในเดือน ส.ค. ขยายตัว 1.62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 0.26% จากเดือนก่อนหน้าแม้สูงกว่าคาดการณ์ในช่วง 1.51-1.59% แต่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2561 ดัชนี CPI ขยายตัวเฉลี่ย 1.12% ยังอยู่ในกรอบคาดการณ์เฉลี่ยทั้งปีที่ระดับ 1.2% ซึ่งไม่กดดันต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากนัก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านลบที่ยังคงกดดันการลงทุนอยู่ อาทิ ความกังวลสงครามการค้าโลกในการเจรจาการค้าทวิภาคีของสหรัฐและประเทศคู่ค้า หากตกลงกันไม่ได้ เหตุการณ์อาจจะบานปลายและขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับ จีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตในเดือนส.ค. อยู่ที่ระดับ 50.6 ลดลงจากระดับ 50.8 ในเดือนก.ค. โดยแสดงถึงการขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบกว่า 1 ปี เนื่องจากยอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออกหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ขณะที่ผู้ประกอบการในภาคการผลิตได้ลดการจ้างงาน และวิกฤตเศรษฐกิจอาร์เจนตินาที่ส่งผลให้ธนาคารกลางประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้ไม่มีผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย แต่ส่งผลกระทบเชิงลบด้านจิตวิทยาในการลดความเสี่ยงในตลาดหุ้นและทำให้ fund flow ไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่
ส่วนปัจจัยที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้ เริ่มตั้งแต่ วันที่ 4 ก.ย. และสหรัฐเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนส.ค. ดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค. การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือน ก.ค. และยอดขายรถยนต์เดือนส.ค. ส่วนอียู เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ก.ค. วันที่ 5 ก.ย. จับตาการเจรจาการค้าสหรัฐ-แคนาดา สหรัฐ เปิดเผยดุลการค้าเดือนก.ค. และดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์กเดือน ส.ค. ส่วนอียู เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือน ส.ค. และยอดค้าปลีกเดือนก.ค.
นอกจากนี้ ในวันที่ 6 ก.ย. สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนส.ค. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน ก.ค. ดัชนีภาคบริการเดือน ส.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ วันที่ 7 ก.ย. อียู เปิดเผย ตัวเลข GDP ในช่วงไตรมาส 2/2561 ซึ่งเป็นประมาณการครั้งสุดท้าย สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ส.ค. และในวันที่ 8 ก.ย. จีน เปิดเผยยอดส่งออก นำเข้า และดุลการค้าเดือน ส.ค.
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนในกรอบ 1,695-1,735 จุด แนะลงทุนในหุ้น Theme EEC play ได้แก่ AMATA, WHA, EASTW, ATP3 และ ORI หุ้นที่คาดว่าครึ่งปีหลัง 2561 จะเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ ANAN, ORI, SC, KCE, CPF, SSP และ SVI และหุ้น MAI ที่น่าสนใจจากผลประกอบการครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ XO, CHAYO และ TACC
ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สัปดาห์นี้ติดตามผลการเจรจาทวิภาคีแคนาดา-สหรัฐฯ หากสำเร็จจะเป็นการยุติสงครามการค้าในกลุ่ม NAFTA ซึ่งจะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น นอกจากนี้ คำกล่าวของผู้ว่าฯแบงก์ชาติญี่ปุ่นที่ระบุว่า จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอีกเป็นเวลานาน และผลกระทบจากสงครามการค้าได้เพิ่มความเสี่ยงด้านการลงทุนของประเทศในกลุ่ม BRICS และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ แต่เป็นบวกต่อราคาสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งสกุลเงินดอลลาร์และกลุ่มโลหะมีค่า อย่างไรก็ตาม สำหรับมุมมองทางเทคนิค ฝ่ายวิจัยมองว่ามีโอกาสที่ราคาทองคำจะกลับทิศทางเป็นขาขึ้นหากกลับไปยืนเหนือ 1,200 ดอลลาร์ อีกครั้ง จึงให้คำแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว
Related