แสนสิริฯ ชูจุดเด่นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์วงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัวเดอะสแตนดาร์ด แบรนด์บูติก โฮเต็ล ตั้งเป้า 5 ปีเปิด 20 สาขาเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งภูเก็ต–หัวหิน คาดผลตอบแทนจากการลงทุน 15-20% พร้อมเปิดแอปพลิเคชั่น “One Night” ครั้งแรกในกทม. ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิตอล ตั้งเป้าขยายฐานครอบคลุม 30 เมืองทั่วโลกภายในปี 63
อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า กระแสโลภิวัฒน์ทำให้โลกเปลี่ยนไป ตลาดมีการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยแสนสิริฯเองก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ที่ผ่านมามีการร่วมมือกับพันธมิตรผู้นำแบรนด์ชั้นนำต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับกลุ่มลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยปี 2560 ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนไปในธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนมาก และอนาคตก็จะเสริมความแกร่งให้กับธุรกิจอีกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าไปถือหุ้นในบริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด (The Standard)บูทีค โฮเทลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ในสัดส่วน 35% คิดเป็นมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 1,900 ล้านบาท
“ต้องยอมรับว่าโลกเปลี่ยนไป การทำธุรกิจอสังหาฯเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ผมมองว่าการลงทุนร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จะช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเรา ลูกค้าจะได้รับประโยชน์เข้าถึงบริการจากธุรกิจเหล่านี้ได้จริง การเปิดตัว The Standard และ One Night ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของแสนสิริ ที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต ซึ่งจะสร้างรายได้ประจำ เสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทในอนาคต และคาดว่าจะมีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ประมาณ 15-20%”
อภิชาติ ยังบอกอีกว่าแสนสิริจะยังคงเดินหน้าค้นหาและต้องการจะร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ดังที่มีความแข็งแกร่งและโดดเด่นในแต่ละด้านอีกซึ่งจะได้เห็นภาพดังกล่าวในอนาคตแต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มธุรกิจใด
สำหรับเข้าร่วมทุนใน “เดอะ สแตนดาร์ด” ของแสนสิริครั้งนี้ ส่งผลให้แบรนด์บูติก โฮเต็ลชื่อดัง มีแผนที่จะขยายสาขาโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทั่วโลก ซึ่งตั้งเป้าภายในระยะเวลา 3 ปี จะขยายให้ได้ 10 สาขา โดยมี 2 สาขาในประเทศไทย คือที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นการเทกโอเวอร์โรงแรมเก่าบริเวณ banana beach ใกล้อุทยานแห่งชาติลายันมารีโนเวทใหม่และอีกแห่งคือที่หัวหินแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นอกจากนี้ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งเป้าขยายให้ได้ 20 สาขาทั่วโลก เน้นทำเลใจกลางเมือง และเมืองตากอากาศชั้นนำทั่วโลก อันได้แก่ ลอนดอน ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาส 1/2562 จำนวน 262 ห้องพัก นอกจากนี้ยังขยายไปที่ ปารีส, มิลาน, เบอร์ลิน, ลิสบอน ปราก แมดริด, ชิคาโก, ลาสเวกัส, นิวออร์ลีนส์, แอตแลนต้า, ดูไบ, สิงคโปร์ ,จีน ,ฮ่องกง ,ไต้หวัน ,จาการ์ตา ,บาหลี,กรุงเทพฯ,ภูเก็ต และ หัวหิน โดยเมืองเป้าหมายทั้งหมดข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นทำเลที่ The Standard มีแผนดำเนินการพัฒนาโรงแรมที่เป็นรูปธรรมแล้ว หรือมีความคืบหน้าในขั้นตอนเจรจาตกลง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ขณะที่ อามาร์ ลาลวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บอกว่า การขยายแบรนด์ The Standard ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ได้มอบประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นสู่ผู้คนอีกมากมาย ซึ่งในช่วง 5 ปีเปิดให้บริการแบรนด์ “เดอะ สแตนดาร์ด”ในสหรัฐอเมริกาไปแล้ว 5 แห่ง คือ HOLLYWOOD จำนวน 139 ห้อง อัตราการเข้าพัก 97% ,DOWNTOWN LA จำนวน 207 ห้อง อัตราการเข้าพัก 125% ,MIAMI BEACH จำนวน 100 ห้อง อัตราการเข้าพัก 124% ,HIGH LINE NEW YORK 338 ห้อง อัตราการเข้าพัก 108% และ EAST VILLAGE NEW YORK จำนวน 144 ห้อง อัตราการเข้าพัก 119% ส่วนที่ LONDON จะเปิดให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2562 มีจำนวนห้องพัก 262 ห้อง
“รูปแบบการเข้าพักในโรงแรมของผู้คนในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่หลับนอนเท่านั้น หากแต่ต้องการที่พักที่ได้ผจญภัยอีกด้วย เราตระหนักในสิ่งนี้ดีจึงออกแบบโรงแรมเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่ผ่านมา The Standard สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ หรือ 6,600 ล้านบาท มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 85% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 121% โดยทุกสาขามีอัตราที่ใกล้เคียงกัน The Standard ยังมีสัดส่วนการจองห้องพักจากลูกค้าโดยตรงและการกลับมาใช้บริการซ้ำของแขกที่สูงเป็นอย่างมาก เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่โดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่น”
อามาร์ บอกว่า เขายังมีแผนเปิดโรงแรม The Standard แห่งแรกในไทยคือที่ภูเก็ต ซึ่งนอกจากโรงแรมแล้ว ยังมี Standard Residences ซึ่งเราพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ความร่วมมือกับแสนสิริ ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่ามาเยี่ยมเยือน รวมถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ The Standard เมื่อประกอบเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกัน เราจึงตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคของเราเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง” อามาร์ กล่าว
จิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง One Night แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมภายในวันเดียวกับที่เข้าพัก กล่าวว่า ได้ขยายมาเปิดตัวแอปพลิเคชั่น “One Night” ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจสู่เอเชียเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังเป็นการผลักดันให้การพักในโรงแรมกลายเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อหลีกหนีจากชีวิตประจำวันที่จำเจ ตามเทรนด์ Staycation ที่กำลังมาแรง นอกจากนั้นตัวแอปพลิเคชั่น ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสนใจบริเวณโดยรอบโรงแรมอีกด้วย
สำหรับ One Night ที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ ได้รวบรวมโรงแรมอิสระที่ดีที่สุด 16 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมอาคิระ สุขุมวิท, โรงแรมอาคิระ ทองหล่อ, แบงค็อก ริเวอร์ไซด์, ปาเฮ่า เกสต์เฮาส์ เยาวราช, โรงแรมคาโบชอง, โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, ริว่าอรุณ, ริวา เซอร์ยา, เซี่ยงไฮ้แมนชั่น, เดอะสยาม, สยามแอทสยาม, โรงแรมสุโขทัย, โรงแรม เดอะ สุโกศล, 137 พิลล่าร์ สวีท แอนด์ เรสซิเด้นซ์, โรงแรมอำแดง, จอช โฮเทล และวันเดย์ โฮสเทล โดยลูกค้าแสนสิริสามารถรับสิทธิพิเศษสำหรับการจองโรงแรมในกรุงเทพมหานครผ่านแอปพลิเคชั่น One Night ได้ระหว่างวันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2561 ด้วยส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท สำหรับลูกค้า Sansiri Family และส่วนลด 1,500 บาทสำหรับลูกค้า Siri Priority
นอกเหนือจากกรุงเทพฯ ปัจจุบัน One Night ได้เปิดให้บริการแล้วในอีก 15 เมืองหลักในสหรัฐอเมริกา และลอนดอน ครอบคลุมโรงแรมอิสระกว่า 170 แห่ง และมีแผนขยายขอบข่ายให้ครอบคลุม 30 เมืองทั่วโลก รวมทั้งในเอเชีย และยุโรป ภายในสิ้นปี 2563.