ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือ “ทีรีท” (TREIT) เผยผลการดำเนินงาน หลังปิดงบประมาณกองทรัสต์ปี 2561 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา โชว์ความสำเร็จ 9 เดือน มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,953 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 384 เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2560 ครองการเป็น “กองทรัสต์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย” ต่อเนื่องเป็นปีที่2 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์กว่า 35,000 ล้านบาท และประกาศจ่ายผลตอบแทนไตรมาสที่ 3 นี้ในอัตรา 0.1600 บาทต่อหน่วย โดยการเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้เป็นผลมาจากการเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งด้วยการบริหารจัดการอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มศักยภาพกองทรัสต์ ล่าสุดเตรียมแผนปีงบประมาณ 2562 ลุยลงทุนในทรัพย์สินที่มีศักยภาพการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ เพื่อดึงดูดความสนใจนักลงทุน และสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่ผู้ถือหน่วย
นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ TMAN ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือทีรีท (TREIT) เปิดเผยว่า TREIT ได้มีการปรับรอบบัญชี (Fiscal Year) ใหม่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ที่ประกาศรอบบัญชีปี 2561 มีระยะเวลาดำเนินงานเพียง 9 เดือน โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 และเริ่มรอบบัญชีใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดยผลการดำเนินงานของ TREIT ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,953 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1,550 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 384 มีรายได้จากการลงทุนสุทธิ1,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 955 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 380 มีการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น3,012 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นร้อยละ 19.57 ล่าสุดได้ประกาศจ่ายผลตอบแทนไตรมาสที่ 3 นี้ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในอัตรา 0.1600 บาทต่อหน่วย ซึ่งเมื่อรวมการจ่ายผลตอบแทนของกองทรัสต์ในรอบบัญชีปี 2561 (จากผลการดำเนินงาน 9 เดือน) TREIT อนุมัติจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนรวมทั้งสิ้น 0.4800 บาทต่อหน่วย
สำหรับการเติบโตของ TREIT ดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลมาจากการบริหารจัดการกองทรัสต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีนี้ได้มีการเข้าลงทุนในทรัพย์สินที่มีคุณภาพสูงเพิ่มเติมทั้งจากกลุ่มบริษัทไทคอน และลงทุนในทรัพย์สินนอกกลุ่มบริษัทไทคอนเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นทรัพย์ของบริษัท สตาร์ ไมโครนิคส์ พรีซีชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “สตาร์ ไมโครนิคส์” รวมมูลค่าการเข้าลงทุนปีนี้สูงถึง 1,783 ล้านบาท และมีการขายทรัพย์สินในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองด้วยมูลค่าการขาย 55 ล้านบาท ตลอดจนได้มีการเสนอขาย และออกหุ้นกู้มูลค่า 3,740 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน พร้อมเดินสายโรดโชว์สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบัน TREITเป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 35,000 ล้านบาท มีจำนวนทรัพย์สินที่เป็นอาคารโรงงานและคลังสินค้ารวมทั้งสิ้น 516 ยูนิต โดยเป็นทรัพย์สินที่ถือครองกรรมสิทธิ์ (Freehold) ประมาณร้อยละ 70 และสิทธิการเช่า (Leasehold) ประมาณร้อยละ 30 ซึ่งเป็นทรัพย์สินคุณภาพสูงที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์เพื่อการอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ อยุธยา ปทุมธานี สมุทรปราการ และพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี มาพร้อมผู้เช่าที่เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ ธุรกิจโลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 79.2 ขณะเดียวกันยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหรือเครดิตเรทติ้งที่ระดับ A และมีสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยอยู่ที่ 10.5141 ล้านบาท
“ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ คาดว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมของประเทศไทยในปี 2562 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความคืบหน้าของนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลดีกับความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงทิศทางของเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลที่ผลักดันให้กลุ่มธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ขยายใหญ่ขึ้น จึงทำให้ความต้องการใช้คลังสินค้า และโรงงานเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ในปีงบประมาณ2562 เรายังคงวางเป้าหมายที่จะบริหารจัดการกองทรัสต์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 2,000 – 3,000 ล้านบาทต่อปี และก้าวสู่การเป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมแนวหน้าในระดับภูมิภาคอาเซียน จึงได้เตรียมแผนการลงทุน และการดำเนินงานเชิงรุก โดยเดินหน้านำสินทรัพย์คุณภาพสูงเข้ามาเพิ่มเติมในกองทรัสต์ ซึ่งไม่ได้จำกัดการลงทุนเฉพาะทรัพย์สินในกลุ่มไทคอนเท่านั้น แต่ยังพิจารณาการลงทุนทรัพย์สินนอกกลุ่มด้วย” นายพีระพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย