เอไอเอส ผนึกกำลังพาร์ทเนอร์ระดับโลก โนเกีย หัวเหว่ย และ แซดทีอี ทดสอบเทคโนโลยี 5G เป็นรายแรก เชิญคนไทยร่วมเตรียมความพร้อมรับเทคโนโลยีอนาคต พร้อมทดลองสัมผัสประสบการณ์ก่อนใคร เพื่อให้ภาคธุรกิจ และทุกอุตสาหกรรมเห็นภาพของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจาก 5G ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ช่วยเสริมแรงบันดาลใจที่จะเตรียมความพร้อมองค์กรให้สอดรับกับเทคโนโลยีอนาคตที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้
นายวีรวัฒน์ เกียรติพงษ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หน้าที่หลักในฐานะ Digital Life Service Provider คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ดีที่สุดเพื่อประเทศ เราจึงไม่เคยหยุดทำงานพร้อมนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมามอบให้แก่คนไทยเสมอ นอกจากนี้อีกหน้าที่หลักซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการซึ่งมีคลื่นความถี่มากที่สุดคือ 120 MHz เราจะต้องนำทรัพยากรคลื่นความถี่มาสร้างมูลค่าและประโยชน์ให้แก่อุตสาหกรรมและประเทศไทยอย่างดีที่สุด หมายรวมถึง การศึกษา ค้นคว้า วิจัย เทคโนโลยีใหม่ๆอย่างกรณี 5G ที่ต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างสม่ำเสมอ เพราะอย่างที่ทราบกันดีกว่า 5G คือ โอกาสครั้งสำคัญที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมไปอีกขั้น”
“จึงเป็นที่มาว่าในเดือนตุลาที่ผ่านมา เอไอเอสและโนเกีย จึงยื่นเรื่องขอทดสอบ 5G และได้รับอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์เพื่อดำเนินการสาธิต 5G จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561 และได้ยื่นเรื่องขอดำเนินการสาธิต 5G ให้กับ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองงานของ กสทช ด้านกิจการโทรคมนาคม เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 โดยวันนี้คณะกรรมการ กสทช. ได้อนุมัติให้เอไอเอสและโนเกียสามารถเปิดการสาธิต 5G บนคลื่น ความถี่ย่าน 26.5-27.5 GHz ได้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2561 ซึ่งพร้อมเปิด ให้คนไทย และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้สัมผัสประสบการณ์และใช้เทคโนโลยี 5G ครั้งแรกในเมืองไทย ในงาน “5G the First LIVE in Thailand by AIS” ณ AIS DC ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย) เพื่อให้เห็นประโยชน์ของ 5G ที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจทุกระดับ อันจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถเศรษฐกิจและสังคม โดยจะทยอยนำเสนอเทคโนโลยีจากพันธมิตรระดับโลกรายอื่นๆอย่างต่อเนื่อง”
ภายในงาน “5G the First LIVE in Thailand by AIS” เริ่มต้นด้วยความร่วมมือกับ NOKIA ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ที่นำการสาธิต 5G ผ่าน 5 รูปแบบนวัตกรรมสุดล้ำ ครั้งแรกของเมืองไทย ประกอบด้วย
-
5G Super Speed
การแสดงศักยภาพที่สำคัญของเครือข่าย 5G เช่น ความเร็วในการรับส่งสัญญาณ (Throughput) และความหน่วง (Latency)
-
5G Ultra Low Latency – Cooperative Cloud Robot
การสาธิตประสิทธิภาพการตอบสนองที่รวดเร็วของเครือข่าย 5G โดยการใช้หุ่นยนต์สามตัวในการหาจุดสมดุล ที่ทำให้ลูกบอลอยู่กึ่งกลางกระดาน การสาธิตแสดงเวลาที่หุ่นยนต์ใช้ในการหาจุดสมดุลผ่านการสื่อสารระหว่างกันโดยใช้เครือข่าย 4G เปรียบเทียบกับเครือข่าย 5G
-
5G for Industry 4.0
หุ่นยนต์จะมีบทบาทอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 การทำงานร่วมกันของเครื่องจักรจากหลายสายการผลิตต้องการการเชื่อมต่อไร้สายที่มีความหน่วงต่ำและความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งจะทำให้สายการผลิตทำงานได้เร็วขึ้น ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสาธิตหุ่นยนต์ YuMi® Dual-Arm Collaborative Robot จาก ABB ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 5G
-
5G Virtual Reality – immersive video
การสาธิต การดูวีดีโอที่แสดงสภาวะเสมือนจริง (immersive video) ผ่านเครือข่าย 5G ผู้ที่ใส่แว่นตา VR จะสามารถมองเห็นได้รอบด้าน 360 องศา การดูวีดีโอ VR ที่มีความคมชัด ต้องการ bandwidth ที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการถ่ายทอดสด หรือ live streaming
-
5G FIFA Virtual Reality
ทดลองความเร็วของเครือข่าย 5G ด้วยตัวคุณเอง โดยการเตะลูกบอล Virtual Reality ที่จุดโทษผ่านเครือข่าย 5G
นายวีรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราเชื่อว่า 5G จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพจากคุณสมบัติ 3 ส่วน
– ยกระดับความเร็วการใช้ดาต้า (Enhanced Mobile Broadband-EMBB) เน้น “ความเร็ว(Speed)”
– ขยายขีดความสามารถการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่ออุปกรณ์ (Massive machine type communications-mMTC) เน้น สนับสนุน IoT ที่จะถูกนำมาใช้อย่างมหาศาล
– เพิ่มคุณภาพเครือข่ายให้สามารถตอบสนองได้รวดเร็วและเสถียรที่สุด (Ultra-reliable and low latency communications) เน้น ประสิทธิภาพความเร็วในการตอบสนอง หรือ Low Latency ที่จะตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางการแพทย์ หรือ อุตสาหกรรมยานยนต์อย่าง Self Driving Car อย่างมีประสิทธิภาพ
“ซึ่งเอไอเอสได้เตรียมวางรากฐานเครือข่ายในทั้ง 3 แกนมาอย่างต่อเนื่อง อย่างในแกน Speed ได้เปิดตัว 4.5G ที่เร็วระดับกิกะบิท และ เปิดตัว Massive MIMO 32T32R ครั้งแรกในโลก รวมถึงการเปิดให้บริการ NEXT G พร้อมผนึกกำลังพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตชิปและสมาร์ทโฟน ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์เร็วแรงระดับกิกะบิทครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในแกน IoT นอกจากการพัฒนาเครือข่ายทั้ง NB IoT และ EMTC แล้ว ยังเป็นรายแรกในไทยที่เปิดให้บริการ IoT เชิงพาณิชย์อีกด้วย ส่วนในแกน การตอบสนอง หรือ Latency เอไอเอสก็ได้เริ่มศึกษาและเป็นรายแรกที่เริ่มต้นปรับโครงสร้างเครือข่ายหลักที่กระจายอยู่ในแต่ละภูมิภาค (AIS Core Network Architecture Ready for 5G) ให้สามารถสื่อสารตรงไปยังเซิร์ฟเวอร์บริการต่างๆได้ทันที โดยไม่ต้องย้อนกลับมาผ่านศูนย์กลางเครือข่ายในส่วนกลาง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้อัตราการตอบสนองได้เร็วขึ้น เพราะค่า Latency ต่ำ ทำให้เมื่อประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ แล้วจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด”
“และการทดสอบเทคโนโลยี 5G ครั้งนี้ คือ 1 ในการเตรียมความพร้อมของเอไอเอส ที่จะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ และพร้อมนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อตอบสนองการพัฒนาประเทศในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน” นายวีรวัฒน์ ย้ำในตอนท้าย
งาน “5G the First LIVE in Thailand by AIS” จะจัดแสดงตั้งแต่ 22 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2561 ณ AIS DC ชั้น 5 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม (ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย)
#5GThe1stLiveByAIS