“ไทคอน” จับมือ “เอสทีที จีดีซี” ลุยพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย

“ไทคอน” ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างขออนุมัติการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม จับมือ “เอสทีที จีดีซี” บริษัทชั้นนำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์จากสิงคโปร์ในสัดส่วนการลงทุน 51:49 ตามลำดับ เผยเตรียมร่วมกันพัฒนาออกแบบและสร้างอาคารดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกบนที่ดินขนาดพื้นที่กว่า 15 ไร่ ย่านรามคำแหงใจกลางกรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ประเทศไทย 4.0 และแผนแม่บทเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) จะมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีส่วนทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของไทย (GDP) ในปี 2570เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 25 ขณะเดียวกันการใช้บริการคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยไม่รวมประเทศญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการเติบโตประจำปี (CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 32.58 ในระหว่างปี 2559 ถึงปี 2564 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของระบบดิจิทัลและการนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจจะส่งผลต่อกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถของศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยและภูมิภาค

นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่นจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นถึงศักยภาพของตลาดในการขยายธุรกิจให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิถีชีวิตชุมชนเมืองตามแนวคิดเมืองอัจฉริยะ(Smart Cities) ทั้งนี้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัลของศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ให้มีความทันสมัยคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้เราก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจรูปแบบใหม่อย่างเต็มตัว เราจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ เอสทีที จีดีซี ซึ่งถือเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการผนึกความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทจะช่วยให้เราสามารถส่งมอบบริการเพื่อตอบสนองแผนการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัลของลูกค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

ด้าน นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวเสริมว่า “เราได้ดำเนินธุรกิจตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศไทยด้วยบริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานระดับสากลมานานกว่า 28 ปี การร่วมทุนในครั้งนี้จะช่วยขยายการบริการด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีของไทคอนให้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้นจากเดิมที่มุ่งเน้นส่งมอบบริการในฐานะผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมเรามั่นใจว่าด้วยประสบการณ์การให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมของเราที่มีมาอย่างยาวนาน ตลอดจนความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในระดับโลกของ เอสทีที จีดีซี ในการพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์จะสามารถประสานความร่วมมือในการทำงานและเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยได้”

ด้าน มร. บรูโน่ โลเปซ ประธานเจ้าหนาที่บริหารกลุ่ม เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ กล่าวว่า “ความคืบหน้าของการดำเนินธุรกิจร่วมกันครั้งนี้นับเป็นการรุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยครั้งแรกของเอสทีที จีดีซี โดยจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำทั่วโลก เรามั่นใจว่าความเชี่ยวชาญในการออกแบบ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ตลอดจนการดำเนินงานด้านดาต้าเซ็นเตอร์ให้ได้มาตรฐานสูงสุด ซึ่งเราให้บริการกระจายตามตลาดหลักๆ ในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ จีน อินเดียและอังกฤษ เมื่อผสานความเชี่ยวชาญของไทคอนที่มีความเข้าใจตลาดและความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยเป็นอย่างดี จะทำให้เราสามารถเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย และมีส่วนช่วยสร้างการเติบโตทางด้านดิจิทัล รวมถึงเสริมให้ลูกค้าตระหนักถึงความสำคัญของนโยบายประเทศไทย 4.0”

สำหรับในเฟสแรกจะใช้งบประมาณกว่า 7,300 ล้านบาท เพื่อดำเนินการพัฒนาและรองรับการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบ Hyperscale ทางบริษัทฯ ได้เริ่มพัฒนาโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 15 ไร่ในย่านรามคำแหงใจกลางกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอาคารได้ภายในกลางปี 2562 และจะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการทุกแวดวงธุรกิจได้ในปี 2563

เกี่ยวกับ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขออนุมัติการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม มุ่งมั่นพัฒนาและต่อยอดธุรกิจเพื่อตอบความต้องการของลูกค้าในโลกอุตสาหกรรม 4.0ประกอบด้วยธุรกิจภายใต้การดำเนินงาน 3 กลุ่ม ได้แก่ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม” ดำเนินธุรกิจในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ปัจุบันมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารจัดการรวมทั้งสิ้นกว่า 2.7 ล้านตารางเมตร บนทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ โรงงานและคลังสินค้าของกลุ่มบริษัทไทคอนมีทั้งแบบพร้อมใช้ (Ready-Built)และสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) โดยมีบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด หรือ TPARK เป็นบริษัทในกลุ่มที่เริ่มดำเนินธุรกิจพัฒนาโลจิสติกส์พาร์ครายแรกในประเทศไทย ขณะเดียวกันไทคอนเริ่มขยายธุรกิจการพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมในต่างประเทศ โดยในปี 2558 ไทคอนได้ขยายการลงทุนไปยังประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศแรก “กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์” ซึ่งได้จับมือพันธมิตรระดับโลกอย่างเอสทีที จีดีซี บริษัทชั้นนำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์จากสิงคโปร์ รุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย และ “กลุ่มสมาร์ทโซลูชั่น” ที่ผนึกพันธมิตรอย่างจัสท์โค ผู้ให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซอันดับหนึ่งจากประเทศสิงคโปร์ เพื่อเพิ่มการให้บริการแก่ลูกค้าของไทคอนอย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทไทคอนยังได้จัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน(TREIT) โดยมี บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ TMAN เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ ปัจจุบัน TREIT เป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 35,000 ล้านบาท

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดู  www.ticon.co.th

เกี่ยวกับ เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้า เซนเตอร์ (เอสทีที จีดีซี)

บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้า เซนเตอร์ หรือ เอสทีที จีดีซี (ST Telemedia Global Data Centres – STT GDC) คือผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์รวมกว่า 70 แห่งในประเทศต่างๆ ที่เป็นตลาดสำคัญทางธุรกิจ เช่น สิงคโปร์ จีน อินเดีย และสหราชอาณาจักร เป็นต้น เอสทีที จีดีซี ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่สร้างขึ้นตามมาตรฐานสูงสุดของอุตสาหกรรมนี้ มีโซลูชั่นด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่ครบถ้วนตั้งแต่ต้นจนจบและสามารถต่อขยายได้,การเชื่อมต่อ, รวมถึงบริการสนับสนุนต่างๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการเก็บข้อมูลของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดู  www.sttelemediagdc.com